เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 356 คุณมาหาผมเหรอ?
ตอนที่ 356 คุณมาหาผมเหรอ?
……….
หอหงเยวี่ย
ในห้องทำงาน หลี่ม่านหงกำลังง่วนอยู่กับเครื่องคิดเลขตรงหน้า
เงินที่ไหลเข้าบัญชีอย่างมหาศาล ไม่ได้ทำให้ภาระงานของเธอลดน้อยลงเลย
เพราะนอกเหนือจากจะต้องคำนวณผลกำไรแล้ว เธอยังต้องคำนวณค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าด้วย
สำหรับคลับเฮาส์อย่างหอหงเยวี่ย ลำพังแค่ปริมาณการวื้อสินค้าก็ทำให้ต้องนั่งคำนวณสักพักใหญ่ๆ
อันที่จริงด้วยกำไรอันมหาศาลในตอนนี้ หอหงเยวี่ยสามารถจ้างนักบัญชีมาทำงานพวกนี้แทนยังได้
ทว่าหลี่ม่านหงเป็นคนพิถีพิถัน และยืนกรานที่จะจดบัญชีด้วยตัวเองมาเป็นเวลาหลายปี ต้องทำแบบนี้เธอถึงจะสบายใจ
เหลือบไปเห็นเยวี่ยเอ๋อร์นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้หนังฝั่งตรงข้าม หลี่ม่านหงก็ทำหน้าขรึมทันที
“ไม่คิดจะช่วยฉันบ้างหรือไง วันๆ มีของตั้งเยอะแยะ แกช่วยฉันจดสักอย่างก็ได้นี่”
วันนี้เยวี่ยเอ๋อร์สวมชุดเครื่องแบบสีขาว กางเกงรัดรูปโอบรัดต้นขาเรียวยาวของเธออย่างสวยงาม
เรียวขาสองข้างพาดอยู่บนโต๊ะทำงาน ช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงาม
เยวี่ยเอ๋อร์เลิกคิ้ว “ฉันทำบัญชีเป็นที่ไหนล่ะ ทำผิดเดี๋ยวเจ๊ก็เป็นบ้าอีก”
หลี่ม่านหงจ้องเธอด้วยสายตาพิฆาต “แกจงใจชัดๆ เอาแต่จดผิดอยู่เรื่อย”
“ฉันไม่ค่อยเก่ง เจ๊หงอย่าวีนเลยนะคะ”
พูดจบ เยวี่ยเอ๋อร์ก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะ
“ยังจะหัวเราะอีก นังคนไม่มีหัวใจ!”
“ฉันไม่ได้หัวเราะเจ๊ ฉันขำอีตานี่ต่างหาก มาถึงหอเยวี่ยซีทั้งที แต่กลับไม่ซื้ออะไรสักอย่าง”
“หือ?” หลี่ม่านหงผงะ “พูดถึงใคร คนไหนนะ”
“ก็คนที่ช่วยขอทานไงเจ๊ ชื่ออะไรแล้วนะ ซ่ง?”
“โอ้ ใช่ๆ ชื่อจำย๊ากยาก” เยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มเผล่
“จำยากตรงไหน ไม่เห็นจะยากนี่”
“ไม่ยากกี่โมง? คนชื่อจางเลี่ยง เจ้ากัง หวงฟาพวกนี้ยังจำง่ายซะกว่า”
หลี่ม่านหงกลอกตาใส่เธอ “ก็แค่เพิ่มชื่อมาคำเดียวเองนี่ เยวี่ยเอ๋อร์ ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าแกเป็นผู้หญิงหรือเปล่า”
“ฮิๆ ถ้าเป็นของปลอม เจ๊อยากลองดูไหมล่ะ”
“ไปไกลๆ เลย!”
หลี่ม่านหงออกปากไล่ แล้วหอบสมุดบัญชีเดินออกไป
เยวี่ยเอ๋อร์หัวเราะชอบใจ แล้วกลับไปดูคลิปวิดีโอในโทรศัพท์ต่อ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ตระกูลตู้ก็วุ่ยวายแต่เช้า
นอกจากจะยุ่งกับการเสิร์ฟอาหารแล้ว ยังต้องจัดวิลล่าอีกด้วย
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะคนสำคัญที่สุดของตระกูลตู้กำลังจะกลับมา นั่นคือตู้อวิ๋นเลี่ยง
เพิ่งผ่านพ้นเวลาสิบสองนาฬิกา รถเก๋งโรลส์รอยซ์ก็ขับเข้ามาในลานบ้าน
โชคดีที่ลานบ้านของตระกูลตู้กว้างขวางพอ มิฉะนั้นคงจอดรถเก๋งคันยาวสองคันไม่ได้
ตู้อวิ๋นกังและลูกชายตู้เหวินจงกำลังคอยอยู่ที่ลานบ้าน ส่วนหลิวฟางกำลังยุ่งกับการพาท่านผู้เฒ่าเดินลงบันได
เนื่องจากตู้อวิ๋นเลี่ยงออกไปอยู่ข้างนอกเสียนาน ตระกูลตู้จึงไม่ค่อยรับประทานอาหารเย็นร่วมกันบ่อยๆ
เมื่อคนขับรถจอดรถดีแล้ว พอประตูหลังเปิดออก ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ก้าวออกมาจากรถทันที
ถ้าไม่ได้กลับบ้าน ตู้อวิ๋นเลี่ยงจะไม่มีวันลงจากรถก่อนเป็นอันขาด นอกเสียจากว่าคนของคู่เจรจาอีกฝ่ายจะมาเปิดประตูให้
หรือบอดี้การ์ดที่นั่งเบาะข้างคนขับจะลงมาเปิดประตูให้
แต่ที่นี่คือบ้านตระกูลตู้ เขาไม่มีทางวางตัวแบบนั้น ยิ่งอยู่ต่อหน้าพ่อและพี่ชาย เขาไม่มีทางทำตัวอวดดีแบบนั้นเด็ดขาด
“กลับมาแล้วเหรอ อวิ๋นเลี่ยง”
“พี่ อยู่ที่บ้านเหนื่อยมากไหม ตรงหน้าบาดเจ็บรุนแรงมากเลยเหรอ”
“เฮ้ เลิกพูดเรื่องพวกนี้ก่อน เข้าไปก่อนเถอะ พ่อมารอแล้วน่ะ”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพยักหน้า ก่อนจะลูบศีรษะตู้เหวินจง “เหวินจงกลับมาแข็งแรงแล้วนะเนี่ย”
“อารอง ยินดีต้อนรับกลับมานะครับ”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปในวิลล่า
วิลล่านี้ถูกซื้อโดยตู้อวิ๋นเลี่ยง เดิมทีเขาซื้อไว้เพิ่อจะอยู่ดูแลพ่อของเขา แต่เนื่องจากเขาต้องไปอยู่ต่างจังหวัด จึงให้ครอบครัวของตู้อวิ๋นกังเข้ามาอยู่ด้วย
ทันทีที่ตู้อวิ๋นเลี่ยงนั่งที่โต๊ะอาหาร เขาก็เอ่ยถามถึงสภาพร่างกายของพ่อ เมื่อเห็นว่าพ่อยังแข็งแรงดี เขาจึงรู้สึกโล่งใจ
เขาวางตะเกียบลงและหันไปหาตู้อวิ๋นกัง
“พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่กับเหวินจงถึงบาดเจ็บกันขนาดนี้ล่ะ”
ตู้อวิ๋นกังถอนหายใจ “เฮ้อ เรื่องมันยาว คราวนี้ดวงซวยของจริง”
“ดวงซวยอะไรล่ะ ความจริงก็คือเหวินจงโดนรังแก จนคุณทนไม่ไหว สุดท้ายก็โดนลูกหลงไปด้วยไม่ใช่หรือไง!” หลิวฟางกล่าว
ตู้อวิ๋นเลี่ยงหันไปพูดกับหลิวฟาง “พี่สะใภ้จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูกนะครับ พี่ชายของผมไม่ใช่พวกนักเลงใต้ดิน เจอเรื่องแบบนี้แล้ว จะทำอะไรได้”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงรู้จักพี่สะใภ้ของตนดี เรื่องดีๆ เกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีเธอ แต่เรื่องร้ายๆ ต้องเกิดขึ้นเมื่อมีเธออยู่เท่านั้น
หลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ได้ ‘ภรรยาที่แสนดี’ คนนี้ ชีวิตของตู้อวิ๋นกังคงจะดีกว่านี้
ที่ตู้อวิ๋นกังกลายเป็นคนแบบทุกวันนี้ ต้องกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน ถ้ามีงานเข้าสังคม ก็ต้องขออนุญาตจากหลิวฟางเสียก่อน
บางครั้งถึงกับต้องวิดีโอคอลเพื่อพิสูจน์ด้วยซ้ำ
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ทำให้พี่ชายของเขาขายขี้หน้ากับคนข้างนอกแล้ว
ดังนั้นตู้อวิ๋นเลี่ยงจึงไม่ได้ยกย่องพี่สะใภ้คนนี้มากนัก
ได้ยินตู้อวิ๋นเลี่ยงพูดเช่นนี้ หลิวฟางก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เพราะเธอกับสามีคิดว่าตัวเองนั้นถือตัวเหนือกว่าใคร แต่ตู้อวิ๋นเลี่ยงไม่หลงกลเธอ
เมื่อเห็นว่าหลิวฟางเงียบไป ตู้อวิ๋นเลี่ยงจึงพูดต่อ “เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นคำยั่วยุของพี่สะใภ้สินะครับ ผู้หญิงน่ะ รู้จักสงบปากสงบคำไว้บ้างก็ดี การรู้จักอยู่เงียบๆ ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งนะครับ”
“อยู่เงียบๆ? แล้วคอยดูลูกชายตัวเองถูกรังแกเฉยๆ งั้นเหรอ” หลิวฟางถาม
ตู้อวิ๋นเลี่ยงแค่นหัวเราะ “ก็เพราะเหวินจงเลียนแบบนิสัยพี่มาไง ถึงได้ไปทำตัวจองหองข้างนอกนั่น!”
ขณะพูด ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็หันไปมองตู้เหวินจง
“เหวินจงหนอเหวินจง เรื่องบางเรื่องไม่ต้องไปทำตามพ่อแม่แกก็ได้ จำไว้ให้ดี ยิ่งเก่งมากเท่าไรยิ่งต้องถ่อมตัว ไม่งั้นสักวันแกจะต้องเสียใจ เหนือฟ้ายังมีฟ้า!”
หลายปีมานี้ ตู้อวิ๋นเลี่ยงเห็นโลกภายนอกมาแล้วมากมาย มีทั้งคู่ค้าทั่วไป และคนที่แข็งแกร่ง
ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้จักถ่อมตน การทำตัวเย่อหยิ่งไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“เป็นถึงอารอง งั้นที่แกจะพูดคือจะไม่สนใจเรื่องนี้ใช่ไหม”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงจ้องเธอตาขวาง “ถ้าไม่คิดจะสนใจ ผมก็ไม่กลับมาหรอก ผมก็แค่บอกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า พี่สะใภ้ ถ้ายังทำตัวแบบนี้ต่อไป บ้านเราได้ซวยคราวใหญ่แน่”
“ซวยคราวใหญ่อะไร” หลิวฟางสวน
“พี่สะใภ้ ถ้าพี่คิดว่าบ้านเราไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ทำไมถึงไม่ไปหาเรื่องนายกเทศมนตรีล่ะ”
“ฉัน…” หลิวฟางพูดไม่ออก
“ใครเป็นเบอร์หนึ่งในตู้เหมิน หวงฟาไง อย่างเราไปยุ่งกับเสี่ยหวงได้เหรอ แค่ไปสะกิดคนพวกนั้น เราก็สู้ไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ต้องปล่อยพวกมันมาล้างบางตระกูลตู้ของเรา ถ้าอดตายกันหมดพี่จะอยู่ได้เหรอ”
หลิวฟางที่ถูกตู้อวิ๋นเลี่ยงต่อว่าหน้าแดงสลับขาว
“ไอ้หยา นี่ก็ไม่ได้ไปหาเรื่องคนพวกนั้นไม่ใช่หรือไง พี่ใหญ่ของแกบอกแล้วไงว่าเป็นฝีมือคนแปลกหน้า”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงคร้านจะสนใจเธอ “พี่ใหญ่ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
“มันแปลกมาก ฉันไม่เคยเจอเจ้าหนุ่มนั่นมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้ฉันเคยขอให้เสี่ยเจียงจัดการกับเขา คิดไม่ถึงว่าเสี่ยเจียงจะเกรงใจเขามากทีเดียว”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงฟังจบแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “แม้แต่เสี่ยเจียงก็ยังรู้จัก? แถมยังเป็นคนหนุ่มด้วย? นี่มันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ”
หลิวฟางแค่นเสียง “เหอะๆ หรือว่าอารองของลูกก็ไม่มีปัญญาเหมือนกัน”
แม้จะได้ยินคำพูดจิกกัด ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ยังไม่สนใจ
“ตอนบ่ายผมจะลองไปสืบดู ถ้าจัดการพวกมันได้ ผมจะจัดการพวกมันแทนพวกพี่เอง แต่ถ้าไม่ได้…พวกเราค่อยคิดหาทางกันใหม่”
ตู้อวิ๋นกังหยักหน้า แต่หลิวฟางกลับหัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าช่วงนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของอารองจะไม่ค่อยดีสินะ พูดจาไม่มีพลังเอาซะเลย”
“เธอน่ะเงียบไปเลย!” ตู้อวิ๋นกังตวาด
“หึๆ พี่สะใภ้ แบบนี้เขาไม่เรียกว่าไม่มีพลัง แต่เพราะเจอคนมาเยอะต่างหาก ถึงได้รู้ว่าตระกูลตู้ของเราไม่ได้ดีเด่อะไรเลย
ทางที่ดีก็ตั้งใจหาเงินแล้วใช้ชีวิตให้ดีเถอะครับ ไม่งั้นถ้าทำตัวจองหอง ไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งเข้า…จะได้กลับไปอยู่ในสภาพก่อนที่จะโดนปลดแอกในชั่วข้ามคืน”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอ…” หลิวฟางเบือนหน้าบ่น
เกี่ยวกับหลิวฟาง ตู้อวิ๋นเลี่ยงไม่ได้รู้จักเธอขนาดนั้น จึงไม่พูดอะไรอีก
หลังจากอาหารเย็น ตู้อวิ๋นเลี่ยงพูดคุยกับพ่อและพี่ชายสักพัก จากนั้นจึงพาพวกเขาไปที่ร้านสวนสวินเฟิง
ขณะนี้ สวนสวินเฟิงเพิ่งพ้นช่วงพีคเวลาอาหารกลางวันมาหมาดๆ พวกบริกรกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องโถงหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังดูตำราสูตรอาหาร ซางเทียนซั่วก็เอ่ยขึ้น “อาจารย์ โรลส์รอยล์มาเว้ยเฮ้ย หูว ร้านเรามีลูกค้ารายใหญ่เพิ่มแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็คิด “ไม่หรอกมั้ง เวลานี้…พวกลูกค้าประจำยังไม่กลับมาเลย”
“นั่นสิ ตอนนี้ทุกคนน่าจะทำงานกันหมดแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า แล้วกลับไปอ่านตำราสูตรอาหารต่อ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจชอบกล
เขาวางตำราลงแล้วพูดว่า “ไป เทียนซั่ว พวกเราไปดูกันหน่อย”
โรลส์รอยซ์…มาเวลานี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกผิดสังเกต
สวนสวินเฟิงมีคนระดับประธานและผู้นำมาใช้บริการมากมาย แต่ไม่มีคนไหนที่หัวสูงพอจะขับโรลส์รอยซ์
แม้ว่าพวกเขาจะมีกำลังซื้อเพียงพอก็ตาม…
บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก จึงตัดสินใจไปดูสักหน่อย
ณ ห้องโถง ตู้อวิ๋นเลี่ยงเดินเข้ามาพร้อมกับบอดี้การ์ดคนหนึ่ง
บอดี้การ์ดคนนั้นไม่ได้ดูแข็งแกร่งเท่าเหลียงฮั่น แต่ท่าทางเอาเรื่อง
คนมีวิชาย่อมบอกได้ว่าร่างกายของคนคนนี้ไม่ธรรมดา
เมื่อเห็นตู้อวิ๋นเลี่ยง บริกรคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน “ขออภัยครับ ตอนนี้พวกเราปิดร้านแล้วครับ”
“อ้อ เหอะๆ ผมไม่ได้มาทานข้าว แต่มาหาคนครับ”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพูดด้วยความสุภาพ
“มาหาใครเหรอครับ” บริกรถาม
“เอ่อ ไม่ทราบว่า…หัวหน้าเชฟอยู่หรือเปล่าครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น บริกรก็ตะโกนเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง “หัวหน้าเชฟเจิ้ง มีคนมาหา”
ปกติช่วงบ่าย เจิ้งฮุยจะเปิดห้องส่วนตัวไว้พักผ่อน ในห้องมีโซฟาให้งีบหลับตอนกลางวันได้
ประมาณหนึ่งนาทีให้หลัง เจิ้งฮุยก็งัวเงียเปิดประตูออกมา
“ใคร ใครมาหาฉัน”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพินิจดูเจิ้งฮุยตรงหน้า เพราะตู้อวิ๋นกังบอกว่าเชฟที่นี่เป็นคนหนุ่ม
แต่ดูสภาพชายวัยกลางคนตรงหน้าแล้ว…ดูจะไม่เข้าเค้าเลยสักนิด
“คุณเป็นหัวหน้าเชฟเหรอครับ”
“อืม มีอะไร ไม่รู้จักแล้วจะมาหาผมทำไม”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงรู้สึกสับสน นี่เขามาผิดที่หรือไง? หรือว่า…มีบางอย่างผิดปกติ?
หรือว่า…สวนสวินเฟิงไม่ได้มีสาขาเดียว ยังมีสาขาย่อยอีก?
“สวนสวินเฟิงมีกี่สาขาครับ” ตู้อวิ๋นเลี่ยงหันไปถามบริกร
“มีแค่สาขาเดียวครับ ตกลงคุณมาหาใครกันแน่ครับ”
บริกรชักจะมึนงง คนคนนี้ท่าทางแปลกๆ เข้ามาตามหาคน พอเจอก็ดันไม่รู้จัก…
“คือ…สวนสวินเฟิงมีหัวหน้าเชฟแค่คนเดียวใช่ไหมครับ” ตู้อวิ๋นเลี่ยงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
เจิ้งฮุยเริ่มจะหัวเสีย “แม่แกสิ ประสาทกลับเรอะ มาหาความบันเทิงช่วงบ่ายหรือไง”
ได้ยินดังนั้น ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ไม่ได้พูดอะไร แต่บอดี้การ์ดคนนั้นกลับตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของเจิ้งฮุย
“แก…แกจะทำอะไร…”
“พูดจาดีๆ หน่อย” บอดี้การ์ดรั้งเจิ้งฮุยไว้ ก่อนจะคลายมือออก
ขณะที่ตู้อวิ๋นเลี่ยงกำลังสับสนอยู่นั้น ก็มีเสียงก้าวเดินลงมาจากบันได
“คุณมาหาผมงั้นเหรอ”
…………………………………………………………
……….