เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 354 ตลาดมืด
ตอนที่ 354 ตลาดมืด
……….
พูดว่าเป็นการต่อแถว แต่คนมีเงินพวกนี้ไม่ได้เดินเข้าไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ผู้คนกระจายตัวกันอย่างเห็นได้ชัด หากไม่รู้ คงคิดว่าคนเหล่านี้เดินย่ำไปมาอยู่ที่เดิม
ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังเกิดการทะเลาะวิวาทอยู่บ้าง
เนื่องจากมีคนมาเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือต่างเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน
เป็นขาใหญ่ในถิ่นของตัวเองจนคุ้นชิน จึงเกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย หรืออาจจะทะเลาะกันขึ้นมา
บางคนถึงขนาดไม่รีบร้อนเข้าไปในตลาด แต่กลับวิ่งไปสู้ตัวต่อตัวอยู่อีกด้านหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนก็คิดว่ามองเรื่องบันเทิงเท่านั้น เพราะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และไม่รู้จักกัน
ทว่าเขารู้สึกว่าตลาดมืดนี้เป็นเหมือนกับโลกอีกใบหนึ่งจริงๆ มีคนทุกประเภท
ซ่งจื่อเซวียนพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกใหม่
เดินไปได้ประมาณสี่ห้านาที พวกซ่งจื่อเซวียนก็เดินมาถึงหน้าบ้านหลังเก่า
มองดูบ้านตรงหน้าที่เหลือเพียงหลังคาครึ่งหนึ่ง แม้แต่ประตูก็ยังไม่มี พวกเขาได้ก้าวเข้ามาแล้ว
“นายท่านรอง เชิญก่อนเลย ข้างหน้าก็คือบันได”
ซ่งจื่อเซวียนมองดู มีอุโมงค์มืดๆ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างหนึ่งเมตรกว่าและยาวเกือบสองเมตรอยู่ตรงมุมกำแพง
แต่ข้างในน่าจะมีไฟอยู่ ถึงแม้จะไม่สว่างมาก ทว่ายังพอมองเห็นตัวบันไดอยู่บ้าง
เมื่อครู่มีหลายคนเดินเข้าไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าเหมือนกัน
เดินลงไปตามบันได ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าคงจะไม่ได้มีชั้นใต้ดินชั้นเดียวธรรมดาๆ ต้องมีสองชั้นเป็นอย่างน้อย
และสภาพแวดล้อมโดยรอบ เปลี่ยนจากสว่างเล็กน้อยกลายเป็นสว่างจ้ามองเห็นได้ทั่ว
ต่อจากนั้น เสียงดังเซ็งแซ่ก็เข้ามาข้างหู เหมือนกับตลาดสดก็ไม่ปาน เรียกได้ว่าคึกคักเป็นอย่างมาก
พอเดินลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย ทิวทัศน์ตรงหน้าของซ่งจื่อเซวียนก็เป็นความแปลกใหม่อย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นหรูหรา แต่เรียกว่าเจริญตาเจริญใจก็ไม่มีปัญหา
ร้านค้าสองข้างทางเรียงรายไปจนสุดทาง ตรงกลางเป็นร้านแผงลอย เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านค้า หรือว่าหน้าแผงลอยก็มีคนอยู่ไม่น้อย
มองครั้งแรกก็เหมือนกับเมืองโบราณที่เคยไปสมัยวัยเด็ก เพียงแต่ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่า ของมีค่าที่นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองโบราณแน่นอน
ซ่งจื่อเซวียนเริ่มเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับความหวัง
เสี่ยเจียงเอ่ยว่า “วันนี้นายท่านรองอยากหาอะไรเหรอ”
“อ้อ ยังไม่ต้องรีบครับ พวกเราดูไปเรื่อยๆ ก่อนครับ” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
เดิมทีเขาอยากมาหาหญ้าสวินหย่งอย่างเดียว แต่พอเห็นสถานที่จริงแล้ว ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ดังนั้นจึงเดินดูไปเรื่อยๆ ก่อน ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นจนพอใจ
อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็ชอบเดินเล่นเมืองโบราณกับฟางจิ่งจือมาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนเขาจะตามหาความรู้สึกในวัยเด็กเจอแล้ว
เมื่อเดินผ่านร้านแผงลอยแห่งหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนมองเข้าไป ร้านนี้ขายสัตว์สตัฟฟ์เป็นส่วนใหญ่
ทั้งยังมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่จำนวนมาก และยังมีสัตว์แปลกหายากผสมอยู่บ้าง
บางชนิดเป็นถึงสัตว์คุ้มครองที่ถูกกำหนดในบางประเทศ
“เสี่ยเจียง มีขายอะไรอีกบ้างครับ”
เสี่ยเจียงพยักหน้าเบาๆ “มี มีทุกอย่างเลย ขอแค่ราคาสูง ที่นี่ก็มีขายหมด
ของบางอย่างหยิบมาวางขายในตลาดแล้วอาจจะยังไม่มีคนเห็น แต่ที่นี่สามารถขายได้ในราคาสูง เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก
รวมถึงของบางอย่างที่ไม่สามารถขายบนดินได้เพราะถูกควบคุมโดยหน่วยราชการ ก็จะมาขายที่นี่
เนื่องด้วยธรรมเนียมของที่นี่ ไม่มีคนไปแจ้งความ ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องสู้ด้วยกำลังและเงินทองอย่างเต็มที่”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ มองหัวสิงโต หัวเสือกับหัวกวางตัวผู้ที่แขวนอยู่บนแผงลอย รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันใด
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าของพวกนี้ราคาแพงไม่ธรรมดา และคนมีเงินมากมายก็ชอบสะสม แต่ก็ยังรู้สึกว่าโหดเหี้ยมทารุณเกินไป
หัวสิงโตนั่นแสดงใบหน้าดุดันน่ากลัวออกมา ดูแล้วทรงพลังน่าเกรงขาม แต่จริงๆ นั่นคือศักดิ์ศรีสุดท้ายก่อนตาย
นึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าแขวนของพวกนี้ไว้ในบ้านหรือที่ทำงานไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่ได้ดู…ทรงพลังมีอำนาจ แต่ดูหัวรุนแรงมากกว่า
ต่อจากนั้นเขาก็เดินไปร้านแผงลอยด้านหน้า มีของจำพวกเครื่องเคลือบลายครามและสีฝ้าหลางวางขายอยู่
ร้านแผงลอยนี้ไม่ใหญ่มาก สินค้าเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่กลับสวยงามและมีความประณีต หน้าตาดูดี มีอายุนานหลายปีพอสมควร
จะว่าไปแล้วสิ่งของพวกนี้มีราคาธรรมดาในแวดวงของโบราณ แต่หน้าตาแบบนี้ กลับขายได้ราคาสูงอยู่เหมือนกัน
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมองร้านค้าที่อยู่รอบๆ อีกครั้ง เป็นแบบนี้เช่นกัน บ้างขายสัตว์สัตว์ บ้างขายภาพเขียนจีนโบราณ
แต่ข้อได้เปรียบของร้านค้าก็คือสามารถแขวนของเหล่านี้บนกำแพงได้ ผลของการโชว์สินค้าดีกว่าร้านแผงลอยแน่นอน
“แม่งเอ๊ย ฉันเห็นอันนี้ก่อนนะ!”
ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ เสียงคนทะเลาะกันก็ดังมาจากหน้าประตูร้านค้าแห่งหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนจึงมองตามทันที
และยังมีคนบางกลุ่มเดินเข้าไปมุงล้อม ดูความคึกคัก…เหมือนจะเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่งของหลายคน ซึ่งรวมถึงคนมีเงินเหล่านี้
“หึ ฉันจองของไว้เมื่อสองสามวันก่อน แต่นายบอกว่านายเห็นก่อนงั้นเหรอ”
คนที่พูดคือท่านชายไป๋นั่นเอง
เวลานี้ท่านชายไป๋เชิดหน้ามองหวังต้าลี่ที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้รูปร่างจะไม่กำยำเหมือนอีกฝ่าย แต่มาดกลับไม่ด้อยไปกว่ากัน
ส่วนหวังต้าลี่ที่อยู่ตรงหน้าเขา เห็นได้ชัดว่าฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย ได้แต่ยืนตัวใหญ่อยู่ตรงนั้น โกรธกระฟัดกระเฟียด
“ฉันไม่สนว่านายจองไว้หรือเปล่า วันนี้ฉันเห็นก่อน!” หวังต้าลี่ตะโกน
ท่านชายไป๋ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย “เถ้าแก่ คุณพูดมาจะขายให้ใคร”
เถ้าแก่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน มองสองคนนี้ ไม่กล้าพูดไปชั่วขณะ
สุดท้ายบอกว่าจะขายให้ใครก็ผิดใจกับอีกฝ่ายอยู่ดี เขาแค่ทำธุรกิจ ไม่ได้อยากผิดใจกับใคร
“เสี่ยเจียง หวังต้าลี่คนนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลเลย คนอื่นจองสินค้าไว้ล่วงหน้าแล้วแต่เขาคิดจะแย่งนี่”
เสี่ยเจียงพลันหัวเราะ “นายท่านรอง ตลาดแห่งนี้มีกฎแค่สองสามข้อ”
“หืม”
“ข้อแรก ไม่มีใครพูดความจริง พวกเราไม่รู้ว่าเขาจองไว้จริงๆ หรือเปล่า
ข้อสอง ไม่มีใครมาก่อนมาหลัง มีแต่คนที่ให้ราคาสูง
ข้อสาม ไม่ว่าเป็นใคร เพราะอะไร ก็ห้ามทำร้ายพ่อค้าเด็ดขาด ยังไงพวกเขาก็คือรากฐานของที่นี่”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ไม่มีพ่อค้า ก็ไม่มีตลาด”
“เพราะงั้นพวกเราแค่มองก็พอ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เสี่ยเจียงพูดยิ้มๆ
เมื่อเห็นเถ้าแก่ไม่พูด หวังต้าลี่จึงตะโกนใส่ว่า “แม่งเอ๊ย ฉันเห็นก่อนนะ ถ้านายกล้าขายให้เขาฉันจะแทงนายให้ตาย!”
ถึงแม้จะไม่อนุญาตให้ทำร้ายพ่อค้าที่นี่ แต่ด้วยนิสัยของหวังต้าลี่ ใครจะไปรู้ว่าสามารถทำเรื่องพิเรนทร์ได้แค่ไหน
เถ้าแก่คนนั้นถอยหลังครูดด้วยความตกใจ “อย่า อย่าครับเสี่ย ผมแค่เปิดร้าน คุณมาหาเรื่องทำไมกัน พวกคุณปรึกษากันเองเถอะ”
“เหอะๆ มีปัญญาแค่นี้ เถียงกับเถ้าแก่มันเก่งตรงไหน ถ้าแน่จริงก็รอคนของฝ่ายดูแลบริหารเข้ามาก่อน แล้วนายค่อยพูด”
ท่านชายไป๋ยิ้มบางๆ หักนิ้วพลางพูด
ท่าทางแบบนั้นแค่มองก็รู้ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับหวังต้าลี่
“นายหยุดพูดไร้สาระไปเลย ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันจะเอาเห็ดเซียนให้ได้ ไม่อย่างนั้นใครก็อย่าคิดซื้อ!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงพูดว่า “เสี่ยเจียง มีฝ่ายดูแลบริหารที่นี่ด้วยเหรอ ทำอะไรครับ”
“นายท่านรอง ฝ่ายดูแลบริหารก็คือดูแลตลาดมืดน่ะ เกิดขึ้นเองมานานแล้ว” เสี่ยเจียงตอบ
“เกิดขึ้นเองเหรอครับ พ่อค้าพวกนี้ก็ยอมรับด้วยเหรอ”
“แน่นอน ฝ่ายดูแลบริหารมีลูกน้องฝีมือดีไม่น้อย มีไว้ปกป้องพ่อค้า พวกเขาต้องจ่ายค่าดูแลประจำทุกเดือน เพื่อปกป้องความปลอดภัยรอบตัว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า พลางคิดในใจว่าดีจริงๆ
หากไม่มีฝ่ายดูแลบริหาร นักเลงพวกนี้ ต้องยิงปืนกันแน่นอน
ไม่แปลกใจเลยที่พอท่านชายไป๋พูดถึงฝ่ายดูแลบริหาร หวังต้าลี่คนนั้นจึงไม่พูดอะไรต่อ
เวลานี้ ท่านชายไป๋พลันยิ้ม “โอเค ฉันก็ไม่รู้ว่านายจะเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนี้ คนให้ราคาสูงได้ใช่ไหม จะจ่ายเท่าไรล่ะ”
ราคาของเห็ดเซียนดอกนี้คือแปดหมื่นหยวน ตามธรรมเนียมแล้ว บางครั้งก็สามารถขายได้ราคาสามสี่เท่า
ดังนั้นพ่อค้าของที่นี่จึงชอบที่เสี่ยพวกนี้ถูกใจสินค้าตัวเดียวกัน พวกเขาจะได้ทำเงินได้มากๆ
“ข้าให้หนึ่งแสน!”
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น!”
หวังต้าลี่ตกตะลึง “แม่มัน สองแสน!”
“สองแสนหนึ่งหมื่น!”
ท่านชายไป๋พูดโดยไม่มองหวังต้าลี่ แค่อีกฝ่ายจะอ้าปาก เขาก็รีบเพิ่มราคาทันที
หวังต้าลี่โมโห “ห้าแสน!”
“ห้าแสนหนึ่งหมื่น!”
พอฟังถึงตรงนี้ คนที่อยู่โดยรอบจำนวนไม่น้อยเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“แม่ง เห็ดเซียนแปดหมื่นหยวน เสนอราคากันถึงห้าแสนกว่าหยวนแล้วเรอะ”
“เหอะๆ คราวที่แล้วสองคนนี้ก็แย่งกัน ท่านชายไป๋ซื้อโสมหนึ่งต้น เดิมทีราคาแค่สองแสนหยวน แต่กลับขายได้หนึ่งล้านกว่า”
“จริงเหรอ สงสัยต้องควบคุมอารมณ์จริงๆ ไม่งั้นทรัพย์สินของพวกเราได้หมดอยู่ที่นี่เป็นแน่”
เวลานี้ หวังต้าลี่สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที “ไอ้สัต* ฉันเสนอราคานายก็เพิ่มทีหมื่นหยวน หมายความว่ายังไงเนี่ย”
“เหอะๆ คนให้ราคาสูงได้ไม่ใช่เหรอ ฉันเพิ่มราคาไม่ได้หรือไง ฉันก็ไม่ได้เพิ่มหนึ่งหยวนสักหน่อย นายร้อนใจอะไร!” ท่านชายไป๋เอ่ยยิ้มๆ
“นาย…”
หวังต้าลี่โกรธ เดิมทีได้ยินไอ้หมอนี่พูดจาเสียดสีก็โมโหอยู่แล้ว บวกกับอีกฝ่ายยังเพิ่มเงินทีละหนึ่งหมื่นหยวนจึงยิ่งโกรธจัด
“แม่ง หนึ่งล้าน!”
วินาทีที่เสนอราคานี้ขึ้นมา ผู้คนโดยรอบก็เงียบไปทันที
เห็ดเซียนหนึ่งดอก ถึงแม้จะมีน้อยหายาก แต่ก็ไม่แพงถึงขั้นนี้ ราคาหนึ่งล้านที่ได้ยินนี้เป็นราคาที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าสิบเท่า
หวังต้าลี่พูดจบ ก็เงยหน้าเล็กน้อยมองไปยังท่านชายไป๋ “มาสิ ไอ้หนุ่ม!”
ท่านชายไป๋หัวเราะเบาๆ “เป็นของนายแล้ว”
ท่านชายไป๋พูดจบก็เดินออกไป “ต้ากัง ดูเหมือนจะมีร้านขายเห็ดเซียนอยู่ข้างหน้าเหมือนกัน พวกเราไปดูกันเถอะ”
เห็นดังนั้น หวังต้าลี่จึงยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม
อันที่จริงเขาคิดในใจว่า หากท่านชายไป๋เพิ่มราคาอีก ตัวเองจะรีบเดินหนีทันที
เพราะถือว่าจงใจเพิ่มราคาหลอกคน แต่ใครจะรู้ว่าท่านชายไป๋ดันเดินไปก่อน เขากำลังยกก้อนหินใส่เท้าของตัวเองแท้ๆ
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไอ้โง่คนนี้ สมน้ำหน้า”
เสี่ยเจียงพูดยิ้มๆ “ปะทะอารมณ์ใส่กันแท้ๆ เดิมทีขายต่อก็ทำเงินได้แล้ว ตอนนี้เป็นไง ต้องจ่ายค่าเสียหายแทน”
“ถ้าเขาไม่ยอมซื้อล่ะ”
“ถ้าไม่ซื้อพ่อค้าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ไอ้หมอนี่จะเป็นคนที่เสียเครดิตในตลาดแห่งนี้ไปเลย ต่อไปหากมาซื้อของอีก ก็ไม่มีสิทธิ์ได้ซื้อก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “หมายความว่าให้ราคาเท่ากัน แต่พวกเขาจะไม่ขายให้เขาใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วนายท่านรอง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้ายิ้ม เดินไปข้างหน้าต่อ เดินไปเรื่อยๆ จนสายตาของเขาสะดุดอยู่ที่หนึ่ง
“หอเยวี่ยซีเหรอ”
“นายท่านรอง หอเยวี่ยซีถือว่าเป็นร้านขายยาสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่แล้ว พวกเขาสร้างอีกหนึ่งชั้นเพิ่มด้วย จึงเป็นร้านค้าที่มีสองชั้นเพียงแห่งเดียวของที่นี่”
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้ามอง ก็จริง ร้านอื่นๆ ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนล้วนมีแค่ชั้นเดียว แต่หอเยวี่ยซีแห่งนี้กลับเป็นตึกสองชั้น
“เหอะๆ เข้าไปดูกันครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก
…………………………………………………
……….