เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 348 ผู้เฒ่า ไม่เห็นจำเป็นต้องลงไม้ลงมือเลย
- Home
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 348 ผู้เฒ่า ไม่เห็นจำเป็นต้องลงไม้ลงมือเลย
ตอนที่ 348 ผู้เฒ่า ไม่เห็นจำเป็นต้องลงไม้ลงมือเลย
……….
ภายในวิลล่าแห่งหนึ่งใกล้เขตชานเมือง
“เหวินจง ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้” หลิวฟางมองหน้าลูกชายของเธอที่มีรอยฟกช้ำ น้ำตาก็ไหลออกมา
ตู้อวิ๋นกังที่อยู่ด้านข้างก็มองดู “เกิดอะไรขึ้น โตขนาดนี้แล้วยังเดินหกล้มอีกเหรอ”
ตู้เหวินจงโกรธมาก ผมหกล้มเหรอ นั่นมันก็จริง แต่ถูกใครบางคนโยนออกไปให้ล้มต่างหาก!
“ไม่มีอะไรครับ แม่อย่าสนใจเลย”
“ไม่ให้สนใจเหรอ แค่บอกแม่ว่าล้มตรงไหนไม่ได้เหรอ จะให้แม่เจ็บจนตายหรือไง” หลิวฟางพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตา
“เป็นเด็กโตขนาดนี้แล้วยังเดินไม่ดีอีก คราวหน้าก็ขับรถไปหน้าอาคารเรียนเลย!”
ตู้อวิ๋นกังพูดขณะที่ดูมือถืออยู่
ตู้เหวินจงสูดหายใจลึกๆ “พ่อ คิดว่าลูกชายพ่อโง่เหรอ นี่ผมล้มหรือไง ผมถูกคนต่อยมาต่างหาก!”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ ตู้อวิ๋นกังก็ตกตะลึง ถูกคนต่อย? ในเมืองตู้เหมินยังมีใครกล้าดีมาต่อยลูกชายตู้อวิ๋นกังอีก
แต่ปฏิกิริยาของหลิวฟางนั้นรุนแรงกว่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างทันที
“อะไรนะ ไปทะเลาะกับใครมา คุณดูบาดแผลเยอะแยะนี่สิ” เธอพูดพร้อมกับมองไปที่ตู้อวิ๋นกัง “คุณยังเล่นมือถืออยู่อีกเหรอ ลูกชายของคุณโดนต่อยมาเลยนะ คุณยังเป็นผู้ชายหรือเปล่า”
ตู้อวิ๋นกังขมวดคิ้ว “ฉันคงไม่ปล่อยไปอยู่แล้วจริงไหม เกิดอะไรขึ้น บอกฉันมา”
“ใช่ บอกพ่อของลูกไปสิ ลูกเป็นเด็กนักศึกษา ทะเลาะอะไรกัน เรื่องนี้ต้องให้พ่อของลูกออกหน้าเองแล้ว”
พ่อลูกตระกูลตู้โชคดีที่มีภรรยาและแม่เช่นนี้…
ตู้อวิ๋นกังดูบาดแผลบนใบหน้าของลูกชายแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นแผลถลอกทั้งหมดเลยนี่ แกปล่อยให้ใครผลักหรือเปล่า”
“หึ ถ้าผลักก็ดีสิ ผมโดนมันโยนออกไปต่างหาก”
เมื่อพูดจบ ตู้อวิ๋นกังและภรรยาก็มองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างก็ไม่เข้าใจความหมายว่าอะไรคือการโยนออกไป…
“โยน? หมายความว่าไง มีคนในมหา’ลัยหนานกวนกล้าลงมือกับแกด้วยเหรอ นี่…มันเป็นไปไม่ได้” ตู้อวิ๋นกังเอ่ย
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ลูกคงไม่มีทางทำให้ตัวเองบาดเจ็บเพื่อหลอกคุณหรอกมั้งคะ”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น คุณหยุดแทรกได้แล้ว เหวินจง เล่ามา” ตู้อวิ๋นกังกล่าว
จากนั้นตู้เหวินจงก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
ตู้อวิ๋นกังขมวดคิ้วเล็กน้อย “เชฟของสวนสวินเฟิง? นี่มัน…ไม่มีเหตุผลเลย”
“พ่อ ไอ้หมอนั่นจีบสาวมหา’ลัยของเรา เดิมทีผมแค่ออกหน้าเพื่อซวี่หยาง ใครจะรู้ว่าจะถูกมันซัดมาหนึ่งยก”
“แกมันสร้างปัญหาจริงๆ ถ้ามีเรื่องอะไรแกก็จะรวมหัวกันอีกเหรอ แค่นี้ก็ดีเท่าไรแล้ว ตัวเองก็โดนซ้อม”
ตู้เหวินจงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พ่อ เรื่องนี้ผมโกรธมาก ผมไม่สน ถ้าพ่อหาคำอธิบายให้ผมไม่ได้ ผมก็ไปเรียนไม่ได้หรอก”
“ฮึ่ม หยุดขู่ฉันได้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการเรียนของแก”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเห็นผมถูกซ้อม แล้วผมจะมีหน้าไปเรียนที่มหา’ลัยหนานกวนต่อไปได้ยังไง” ตู้เหวินจงพูด
ตู้อวิ๋นกังจึงไม่พูดอะไรอีก เขารู้สึกว่าสิ่งที่ลูกชายพูดนั้นสมเหตุสมผล
ตอนนี้ตู้เหวินจงอายุยี่สิบกว่าแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการรักษาหน้าตาเป็นธรรมดา คราวนี้เขาเสียหน้า คุณชายตู้อย่างเขาจะอยู่อย่างไร
“เอาล่ะ เอาอย่างนี้ ฉันจะไปที่นั่นพรุ่งนี้เอง!”
“ผมก็จะไปเหมือนกัน ผมต้องเห็นไอ้หมานั่นคุกเข่ายอมรับความผิดด้วยตาตัวเอง!” ตู้เหวินจงตะโกน
“เหล่าตู้ คุณให้ลูกตามไปเถอะ ลูกแค่อยากระบายความโกรธ หรือคุณคิดจะปล่อยให้เขาอกแตกตายล่ะ” หลิวฟางเอ่ย
“โอเคๆๆ คุณก็ไปด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะพาคุณและพวกอาเฉินไปด้วย”
ขณะที่เขาพูด ตู้อวิ๋นกังก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “มันได้เห็นดีแน่ กล้าแตะต้องลูกชายของฉัน…”
อันที่จริงตู้อวิ๋นกังก็รู้ว่ากิจการของสวนสวินเฟิงดีขึ้นเป็นพิเศษในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
สถานการณ์แบบนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง หากตู้เหวินจงไม่สู้แพ้ เขาคงจะไม่เป็นฝ่ายไปยั่วยุแน่นอน
แต่สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือลูกชายสุดที่รักของเขา หากเขาไม่พูดออกมาแบบนี้ เกรงว่าคงจะไม่สามารถระงับความคับแค้นใจได้
และถึงแม้ว่าจะต้อนคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาได้จริงๆ ก็ยังบอกไม่ได้ว่าใครเจ๋งกว่ากัน
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนไปส่งถังหย่าฉีที่มหาวิทยาลัยหนานกวนตามปกติ
แต่วันนี้เขาระวังตัว เขาและถังหย่าฉีเดินนำหน้า ในขณะที่ฟางรุ่ย เหลียงฮั่น รวมถึงไต้ทงเดินตามมาห่างๆ
ถังหย่าฉีพูดขึ้นมา “จื่อเซวียน ฉัน…รู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าเรากำลังถูกจับตามอง”
“เหอะๆ ใครใช้ให้มีเด็กเลวในมหา’ลัยเธอเยอะแยะล่ะ ถ้าไม่พาพวกเขามาด้วยคงลำบากจริงๆ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ถังหย่าฉีก็พยักหน้าเช่นกัน เพราะเหตุการณ์กะทันหันเมื่อวานนี้ หากเธอไม่โทรหาไต้ทงทันเวลาคงจะวุ่นวายไปแล้ว
อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้มีฝีมืออย่างพวกฟางรุ่ย การเผชิญหน้ากับเด็กนักศึกษาไม่ดีคนหนึ่งอาจทำได้ แต่หากพวกเขามาเป็นโขยงคงไม่ดีแน่
เมื่อส่งถังหย่าฉีแล้ว ซ่งจื่อเซวียนและคนอื่นๆ ก็ออกจากมหาวิทยาลัยหนานกวนไป
“นายท่านรอง ไม่เห็นเด็กนั่นมาเรียนเลย” เหลียงฮั่นเอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “ทำไม? นายยังอยากเจอเขาเหรอ”
เหลียงฮั่นหัวเราะเบาๆ “น่าจะลงโทษเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย คนที่มาก่อเรื่องเมื่อวานแม่งต้องเป็นพวกหาเรื่องใส่ตัว หาเรื่องครั้งหนึ่งแล้วก็ต้องมีครั้งที่สองต่อ”
“เหอะๆ นายพูดถูก”
“หืม”
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่พูดอะไรอีกและเดินไปข้างหน้าต่อ
เมื่อกลับมาถึงสวนสวินเฟิง พวกเขาก็ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อน จากนั้นจึงเริ่มยุ่งกับการเตรียมตัว
ส่วนซางเทียนซั่ว เขามาทำงานประมาณสิบโมงทุกวัน
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้กำหนดเวลาให้เขา เพราะเขาใช้เวลาไม่นานในการเตรียมวัตถุดิบสำหรับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
เมื่อกลับมาที่สำนักงาน ซ่งจื่อเซวียนก็จุดบุหรี่แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
ในเวลานั้น รถเลกซัสสีขาวคันหนึ่งขับมาที่หน้าสวนสวินเฟิง
และหลังจากรถคันนี้ ยังมีรถพาสสาทสีดำขับตามเข้ามาเช่นกัน
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาแทบจะอยู่ที่สวนสวินเฟิงในช่วงเวลานี้ทุกวันและจำไม่ได้ว่าที่ร้านมีรถสองคันนี้ด้วย
นอกจากนี้การเห็นรถทั้งสองคันจอดอยู่ที่ลานจอดรถของสวนสวินเฟิงทีละคัน ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งขึ้น
หากเป็นลูกค้า…ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเปิดให้บริการ
จนกระทั่งเขาเห็นคนที่ลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม
“รวดเร็วจริงๆ”
เก้าคนลงมาจากรถทั้งสองคัน คนที่ลงมาจากเบาะหลังของเลกซัสคือชายวัยกลางคนหนึ่งคนและเด็กหนุ่มหนึ่งคน
เด็กหนุ่มคือตู้เหวินจง
แม้ว่าจะไม่รู้จักสถานะของอีกฝ่าย แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ประทับใจกับใบหน้าของตู้เหวินจงมาก
โดยเฉพาะรอยช้ำจากเมื่อวาน
หลังจากหลายคนลงจากรถก็เดินไปที่ประตูใหญ่สวนสวินเฟิง ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะลงไปชั้นล่างก็เห็นรถบีเอ็ม ดับเบิลยูของซางเทียนซั่วมาถึงพอดี
สวนสวินเฟิงมีที่จอดรถไม่มากนักนักเพราะที่แห่งนี้เป็นที่ดินทำเลทอง ด้านหน้าร้านแห่งหนึ่งมีที่จอดรถสี่ห้าคันก็ไม่เลวแล้ว
รถของซ่งจื่อเซวียนหนึ่งคัน รถของถังหย่าฉีหนึ่งคัน รวมถึงรถตู้ของร้านที่มักจะใช้ซื้อของเข้าร้าน
เมื่อซางเทียนซั่วมาถึง ปกติจะยังมีที่จอดรถว่างสองช่อง แต่วันนี้ไม่มีที่ว่างอย่างเห็นได้ชัด
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วและมองรถทั้งสองคัน จากนั้นมองไปยังผู้คนที่กำลังจะเดินเข้าไปในสวนสวินเฟิง เขาบีบแตรหลายๆ ครั้งทันที
เมื่อได้ยินเสียงแตร หลายคนก็หันกลับมา ซางเทียนซั่วลดหน้าต่างลง “เฮ้ย พวกนายมาทำไม ร้านยังไม่เปิดเลย ไปเลื่อนรถออกเดี๋ยวนี้!”
เรื่องที่เกิดขึ้นหน้ามหาวิทยาลัยครั้งที่แล้วไม่เกี่ยวกับซางเทียนซั่ว ตู้เหวินจงจึงไม่รู้จักเขาอยู่แล้ว
ตู้เหวินจงเอ่ย “ทำไมเราต้องเลื่อนรถให้นายด้วย”
“ไร้สาระ ข้าทำงานที่นี่ ที่จอดรถนี่เป็นของฉัน!”
ตู้เหวินจงอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่งเอ๊ย กล้าเรียกข้าต่อหน้าฉันเหรอ
“ไสหัวไป ข้าคนนี้มากินข้าวที่นี่ ที่จอดรถฉันจองแล้ว นายไปหาที่อื่นสิ!”
เมื่อพูดจบ เขาก็ไม่สนใจและเดินตรงเข้าไปในสวนสวินเฟิงพร้อมกับตู้อวิ๋นกังและคนอื่นๆ
ซางเทียนซั่วโกรธมาก “แม่มันสิ ฉันยอมให้พวกนายจอด ได้ จอดไปเลย!”
ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วก็จอดรถขวางหน้ารถทั้งสองคันเอาไว้
จากนั้นเขาก็ลงจากรถมาดู และพยักหน้าด้วยความพอใจ “แม่ง พอดีเป๊ะ เจ๋ง!”
ขณะที่ตู้อวิ๋นกังและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในสวนสวินเฟิงก็มีพนักงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “คุณผู้ชาย ขออภัยครับ ร้านเรายังไม่เปิดครับ”
“พวกนายเปิดร้านกี่โมง” ตู้อวิ๋นกังเอ่ยถาม
“สิบเอ็ดโมงครับ”
ตู้อวิ๋นกังคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร งั้นเราจะนั่งรอที่นี่จนกว่าพวกนายจะเปิดร้าน”
เมื่อพูดจบทุกคนก็ยิ้ม จากนั้นก็หาโต๊ะสองตัวนั่งลงตามลำดับทันที
จุดประสงค์ของตู้อวิ๋นกังนั้นง่ายมาก นั่นคือมาดูเชฟของสวนสวินเฟิงที่ตู้เหวินจงพูดถึง กล้าซ้อมลูกชายของฉัน แกต้องชดใช้
ในเวลานี้ซางเทียนซั่วก็เดินเข้ามาด้วย เมื่อเห็นคนเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่ชำเลืองมองและเดินผ่านไป
เมื่อเขาเดินผ่านไปก็ไม่ลืมที่จะหันหลังกลับมาแล้วพูดว่า “จริงสิ ฉันจอดรถขวางรถสองคันของพวกนายไว้ เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานแล้วคงยุ่งมากๆ พวกนายรอฉันเลิกงานก่อนค่อยไปแล้วกันนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตู้เหวินจงก็ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “แม่งเอ๊ย คนในร้านนี้หยิ่งจังวะ รีบไปเลื่อนรถเลย ไม่งั้นข้าจะขับชนออกไป!”
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้ว “ไอ้ห่านี่ พูดอีกทีสิ”
เดิมทีซางเทียนซั่วอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ตู้เหวินจงตบโต๊ะและจ้องมา เขาจะทนได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นฟางรุ่ยต้องอยู่ในร้านเวลานี้อยู่แล้ว เขาจะกลัวอะไร
“ข้าพูดอีกครั้งก็ได้ เชื่อไหมว่าจะซัดแกให้คว่ำ!”
ขณะที่พูด ตู้เหวินจงก็พุ่งไปข้างหน้า
เห็นได้ชัดว่าซางเทียนซั่วมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่า
เขาไม่รอให้ตู้เหวินจงลงมือก็ยกเท้าเตะออกไป
แต่จังหวะนี้ จู่ๆ ชายวัยห้าสิบก็ลุกขึ้นยืนและคว้าเสื้อของตู้เหวินจงไว้
ด้วยแรงนี้ทำให้ดึงเขากลับมาได้ ลูกเตะของซางเทียนซั่วจึงพลาดไป
ซางเทียนซั่วชะงักและมองไปที่ชายคนนั้น
ชายคนนั้นสวมเสื้อสูทจงซานสีเทา ทรงผมสกินเฮดสั้นทำให้มองเห็นเส้นผมสีขาวได้ชัดเจน ใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้ามากมายทำให้ดูนิ่งสุขุมเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้น “พ่อหนุ่ม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องลงไม้ลงมือเลย”
ตู้อวิ๋นกังยิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหัว
นี่คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขา ตู้เหวินจงต้องเรียกเขาว่าอาเฉิน เมื่อมีเขาอยู่รวมถึงลูกน้องอีกสองสามคน ตู้อวิ๋นกังก็วางใจ
ซางเทียนซั่วโกรธมากจนตะโกน “ตาแก่ผมสั้นนี่มาจากไหนวะ ข้าลงมือแล้วจะทำไม!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของผู้เฒ่าเฉินก็เบิกกว้าง “ไม่รู้จักมารยาท สมควรโดนต่อย!”
สิ้นเสียง ผู้เฒ่าเฉินก็พุ่งเข้าไป
เห็นความเร็วนี้ ซางเทียนซั่วถึงตระหนักได้ว่าเขายั่วยุผิดคนแล้ว แต่ก็สายเกินไปเพราะเขาได้ลงมือไปแล้ว
ตอนที่ซางเทียนซั่วกำลังจะป้องกัน เขาก็รู้สึกว่าเสื้อของเขาตึงขึ้นราวกับถูกใครจับไว้ และร่างกายของเขาก็ถอยออกไปหนึ่งเมตรกว่าอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างหลังซางเทียนซั่ว ผู้เฒ่าเฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ในใจก็คิดว่านี่คือยอดฝีมือ!
ฟางรุ่ยพูดอย่างเย็นชา “ผู้เฒ่า เรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นจำเป็นต้องลงไม้ลงมือเลย!”
………………………………………..
……….