เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 330 คุณซ่ง ได้ยินชื่อเสียงมานาน!
ตอนที่ 330 คุณซ่ง ได้ยินชื่อเสียงมานาน!
……….
ในสถานที่อันมืดมิด แสงไฟริบหรี่กระทบใบหน้าของซ่งจื่อเซวียนและถังหย่าฉี
ใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งสองมีความจริงจังและจริงใจอย่างยิ่ง
เมื่อมองถังหย่าฉีซึ่งดูละเอียดอ่อนราวกับหยกตรงหน้าเขา ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าในปากหลั่งน้ำลายอยู่ตลอดเวลา
เขากลืนมันลงไปทีละอึก…
และเมื่อถังหย่าฉีได้ยินประโยคนี้ของซ่งจื่อเซวียน เธอก็หน้าแดงก่ำทันทีและค่อยๆ ก้มหน้าลง
“จื่อเซวียน ฉัน…ฉันยังไม่เคยบินเลย…”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินประโยคนี้ก็หนาวสั่นในใจ
นี่คือ…การปฏิเสธใช่ไหม
สุดท้ายก็ยังปฎิเสธ…
สุดท้ายแล้วระหว่างเราก็เป็นแค่เพื่อนกัน เป็นฉันที่คิดมากไปเอง
เขารู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวจนอยากจะหารอยร้าวบนพื้นแล้วมุดตัวลงไป
แต่ทันใดนั้นถังหย่าฉีก็ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้างั้น…เรามาบินด้วยกันสักครั้งไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพลันชะงักและจ้องมองถังหย่าฉีทันที
มือใหญ่ที่จับมือของถังหย่าฉีค่อยๆ บีบแน่นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ถังหย่าฉีตกใจจนอ้าปากค้างกับความเร่าร้อนที่กะทันหันนี้ สีหน้าของเธอเหมือนกับแกะเชื่องตัวน้อย
ชวนให้เคลิบเคลิ้มจนทนไม่ไหวอยากจะคว้าเธอเข้ามากอดในอ้อมแขนทันที
หลังจากเต้นรำจบแล้ว ทั้งสองก็เดินไปที่บริเวณโซนพักผ่อน
สิ่งที่แตกต่างก็คือขณะที่ทั้งสองเดินอยู่ พวกเขาก็จับมือกันไว้ตลอดเวลา
…
โดยทั่วไปนักศึกษาสามารถเข้าไปในอาคารอำนวยการได้ เพราะระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะต้องประสานงานกันทุกวัน
แต่อาคารอำนวยการชั้นสามมีระบบควบคุมการเข้าออก นักศึกษาทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้
เนื่องจากสำนักงานทั้งหมดในชั้นนี้เป็นของอธิการบดีและผู้อำนวยการ ในวันปกติทางหนีไฟจึงปิดไว้ และลิฟต์ต้องรูดการ์ดเท่านั้นถึงจะขึ้นไปยังชั้นสามได้
แต่เถียนซวี่หยางรู้ทางเป็นอย่างดี เขาเข้าไปในลิฟต์ จากนั้นหยิบการ์ดออกมาและใช้การ์ดขึ้นไปชั้นสาม
เมื่อถึงชั้นสาม เขาตรงไปยังห้องทำงานที่อยู่ตรงมุม เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
หลังจากเคาะประตูสองครั้ง เถียนซวี่หยางก็เปิดประตูเดินเข้าไป
ในห้องทำงานมีชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบกว่ากำลังจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างจริงจัง
เขาไม่ได้ทำงานแต่อย่างใด เพียงแค่จ้องมองหุ้นอยู่
บุคคลนี้ก็คือ ‘หวังเจี้ยนหวา’ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้บริหารงานทั่วไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและเขายังอาศัยเล่ห์เหลี่ยมในการจัดการคนอื่นอีกด้วย
เมื่อจัดการกับเจ้านายและลูกน้องได้ดี ตำแหน่งจึงตกมาถึงเขาอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่ได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หวังเจี้ยนหวาก็มุ่งความสนใจหลักไปที่การสานสัมพันธ์
ไม่ว่าจะเป็นอธิการบดีหรือผู้อำนวยการในระดับเดียวกัน เขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมาก และยังได้อำนาจจากมหาวิทยาลัยในการดึงดูดการสนับสนุนอีกด้วย
เมื่อเขาเห็นเถียนซวี่หยางเดินเข้ามา หวังเจี้ยนหวาก็ย่อหน้าต่างหุ้นลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซวี่หยาง ทำไมวันนี้นายถึงมีเวลามาเจออาหวังล่ะ”
‘อาหวัง’ ชื่อเรียกนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ไม่ธรรมดา
เถียนซวี่หยางนั่งลงบนโซฟาแล้วจุดบุหรี่ จากนั้นก็กล่าว “อาหวัง ผมถูกรังแกมา”
“หืม?”
หวังเจี้ยนหวาได้ยินเช่นนั้นก็ชะงัก แต่ในไม่ช้าเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“หนุ่มน้อย นายมาที่นี่เพื่อจะหยอกอาหวังเหรอ ใครจะรังแกนายที่มหาวิทยาลัยหนานกวนได้”
“จริงๆ นะ ผมถูกคนรังแกแล้วอาหวัง ครั้งนี้แย่จริงๆ”
หวังเจี้ยนหวาหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ “นายสนิทกับหวังเจ๋อกับตู้เหวินจงนี่ ถ้ามีเรื่อง…แล้วให้อาหวังออกหน้าคงไม่เหมาะมั้ง”
ได้ยินดังนั้น เถียนซวี่หยางก็ส่ายหัว “วันนี้คุณชายตู้ไม่ได้มาด้วย ส่วนหวังเจ๋อ…อย่าพูดถึงเลย ปล่อยให้คนอื่นทุบตีจนเรียกมันว่าพ่อด้วยซ้ำ”
พรวด!
หวังเจี้ยนหวาหัวเราะครืนใหญ่จนพ่นน้ำชาออกมา
ในมุมมองของเขา เด็กพวกนี้แค่ผลาญเงินใช้ ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือและชอบมีเรื่องชกต่อยกันเป็นปกติ
แต่ไม่ว่าจะชกต่อยกันแรงแค่ไหนก็ยังเป็นแค่เด็กนักศึกษา จึงไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่โต
“หา? เรียกว่าพ่อเหรอ ฮ่าๆๆๆ เจ้าเด็กพวกนี้ ปกติชอบทำแต่อะไรเนี่ย”
เมื่อเถียนซวี่หยางเห็นปฏิกิริยาของหวังเจี้ยนหวา เขาก็โกรธทันที
“อาหวัง ผมพูดจริงนะ ไอ้เด็กนั่นทำเกินไปแล้ว มาก่อเรื่องในมหา’ลัยหนานกวนของเรา!”
“ซวี่หยางเอ๊ย ฟังอาหวังนะ ปกติไม่ว่าเด็กเหลือขอพวกนี้จะก่อเรื่องอะไรอาไม่สนหรอก ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น อาหวังก็จะทำให้เรื่องนั้นเบาลงอย่างเต็มที่ แต่นายคงไม่ให้อาหวังเข้ามาแก้ปัญหาเด็กๆ ตีกันหรอกใช่ไหม”
“เอ่อ…อาหวัง แต่ไอ้เด็กนี่ไม่ใช่เด็กมหา’ลัยเรา”
“อะไรนะ”
หวังเจี้ยนหวาได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย คนภายนอกมาก่อเรื่องในมหาวิทยาลัยเหรอ เนื้อหาของเรื่องนี้เปลี่ยนไปแล้ว
“คราวนี้มันเกิดอะไรขึ้น”
จากนั้นเถียนซวี่หยางก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
หวังเจี้ยนหวาหายใจเข้า “แล้ว…มันเกี่ยวข้องกับถังหย่าฉีเหรอ”
“ถูกต้อง อาหวัง ผมคิดว่าเราต้องตั้งกฎชัดเจนว่าห้ามพาคนภายนอกเข้ามาเด็ดขาด”
หวังเจี้ยนหวาฟังออกว่าเถียนซวี่หยางขี้ขลาด
แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นก็ใช่ว่าไม่สมเหตุสมผล เพียงแต่มหาวิทยาลัยหนานกวนมีประวัติอันยาวนานกว่าร้อยปี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีข้อห้าม
รวมถึงหน้ามหาวิทยาลัยก็ไม่มีรถที่ห้ามเข้า เนื่องจากมีผู้คนอาศัยอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก
“ซวี่หยาง นายคิดจะทำยังไงล่ะ”
“อาหวัง ให้ถังหย่าฉีบอกเรื่องเกี่ยวกับคนคนนั้นมา แล้วผมจะดูว่ามันเป็นคนที่ไหน เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับมันไม่ต้องให้อาจัดการก็ได้”
หวังเจี้ยนหวาได้ยินเช่นนี้ก็ใคร่ครวญ “ถังหย่าฉีนี่…ไม่ใช่จะยุ่งด้วยง่ายๆ นะ”
“หืม ถังหย่าฉีทำไมครับ ไม่ใช่แค่โตมาสวยเหรอ ฐานะของเธอในมหา’ลัยคงไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับผมและคุณชายตู้หรอกใช่ไหมครับ”
เถียนซวี่หยางยิ้มเยาะ อย่างไรครอบครัวของเขาและคุณชายตู้คนนั้นที่พูดถึงก็ล้วนสนับสนุนมหาวิทยาลัยหนานกวนทั้งคู่
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่วางอำนาจในมหาวิทยาลัย หากมีคนมาสนับสนุน สถานะของเขาย่อมสูงเป็นธรรมดา
หวังเจี้ยนหวาหัวเราะเบาๆ “ซวี่หยาง ฉันเคยเห็นถังหย่าฉีคนนี้มีรถมารับมาส่งตอนมามหา’ลัย แถมยังเป็นรถบีเอ็มดับเบิลยูอีกต่างหาก เกรงว่าที่บ้าน…”
“หึ อาหวัง จะกลัวอะไรครับ อาแค่สืบเรื่องนี้ ผมก็รอผลลัพธ์ ส่วนเรื่องอื่นมันไม่เกี่ยวกับอา ถ้าแย่ที่สุดก็ให้พ่อของผมออกหน้าแทน!”
หวังเจี้ยนหวาได้ยินก็พยักหน้าช้าๆ
ตระกูลเถียนถือว่ามีอำนาจอยู่ในตู้เหมิน ตระกูลนี้เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทขนส่ง พ่อของเขาประธานเถียนและอารองเถียนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงรู้จักกันโดยทั่ว
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ได้รับความนิยมเท่านั้น แต่ยังรวยอีกด้วย จึงมาสนับสนุนมหาวิทยาลัยหนานกวน
หากประธานเถียนออกหน้าได้ เขาก็ไม่สนใจว่าจะไปล่วงเกินใคร
“เอาล่ะ งั้นอาหวังจะช่วยถามให้นาย”
เถียนซวี่หยางทำมือโอเค จากนั้นลุกขึ้นพูด “งั้นก็ดี อาหวัง ผมจะรอข่าวจากอา ถึงตอนนั้นผมจะเชิญไปที่ไนต์คลับหลงตูนะครับ”
หวังเจี้ยนหวาคลี่ยิ้มและโบกมือสื่อให้เขาออกไป
ซ่งจื่อเซวียนและถังหย่าฉีเต้นรำกันอีกเพลง จากนั้นก็เตรียมตัวจะกลับ
ในขณะที่กำลังทานผลไม้ จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็นึกอะไรได้จึงพูดว่า “จริงสิหย่าฉี เรื่องวันนี้…ทำให้เธอเดือดร้อนหรือเปล่า”
ถังหย่าฉีหัวเราะเบาๆ “ฉันจะเดือดร้อนอะไร ฉันมีไต้ทงอยู่ข้างๆ นายคิดว่าเขาอ่อนแอหรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็พยักหน้าช้าๆ นี่เป็นเรื่องจริง ฟางรุ่ยเคยบอกว่าความแข็งแกร่งของไต้ทงนั้นไม่ธรรมดา จนถึงขั้นไม่ได้เป็นรองเขาเลยสักนิด
“เหอะๆ ก็ใช่ แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี คนพวกนั้นดูไม่ใช่คนดี แถมยังเป็นเด็กนักศึกษา…”
“พอแล้วน่านายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันจะบอกนายให้นะจื่อเซวียน ตราบใดที่ฉันอยู่ในมหาวิทยาลัยหนานกวน ไม่มีใครหน้าไหนทำอะไรฉันได้”
“หืม ทำไมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ถังหย่าฉียิ้ม “เพราะพ่อฉันน่ะสิ ช่วงม.ห้าตอนที่ฉันยังไม่เรียนมหาวิทยาลัย พ่อก็เริ่มสนับสนุนมหาวิทยาลัยหนานกวน เขาสนับสนุนทุกปีจนถึงตอนนี้น่ะ
น้ำพุใหญ่หน้าอาคารเรียนตอนนี้ก็เป็นเงินจากพ่อฉัน สนามกีฬาก็ใช่ เขาสนิทกับอธิการบดีด้วยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วตกตะลึง นี่คือวิถีชีวิตของคนรวยสินะ
ลูกจะไปที่ไหนก็สนับสนุนเงินไว้ก่อน เมื่อให้เงินก็คือผู้มีอำนาจ หลังจากเป็นผู้มีอำนาจแล้ว พวกคุณช่วยลูกหลานตัวเองโดยมาล่วงเกินลูกของฉันงั้นเหรอ
เก่งเสียจริง!
เมื่อออกจากมหาวิทยาลัยหนานกวน ทั้งสองคนก็กลับไปที่สวนสวินเฟิง
แต่ซ่งจื่อเซวียนนั่งรถได้ไม่นานก็ได้รับสายจากเบอร์เดียวกันที่โทรมาเมื่อวานนี้
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังกดรับสาย
“คุณซ่ง น่าจะยังจำสายจากเมื่อวานได้ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา “นายเป็นบ้าหรือไง ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันจะแจ้งตำรวจให้หาสายที่โทรมาก่อกวน”
“แจ้งตำรวจ? คุณซ่ง จำเป็นด้วยเหรอ ฉันแค่โทรหานายเอง”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มตื่นตระหนกทันที
เพราะสำหรับคนทั่วไป การแจ้งตำรวจก็ยังทำให้คนหมดคำจะพูดได้
“แกล้งคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่ามันสนุกนักใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เห็นปฏิกิริยาของซ่งจื่อเซวียน ถังหย่าฉีก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เธออยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังอดกลั้นเอาไว้
“ไม่ คุณซ่ง ฉันคิดว่านายเข้าใจผิดแล้ว เจ้านายของเราแค่อยากพบหน้านายเท่านั้น”
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนจำเสียงนี้ได้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ตอนที่เขาและฟางรุ่ยซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะสำนักงานในตึกเฉิงไฉ พวกเขาได้ยินสมาชิกกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดในแก๊งขอทานหลายคนคุยกัน
หนึ่งในนั้นก็คือเสียงนี้
ดังนั้นอันที่จริงซ่งจื่อเซวียนรู้ตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว และการรับสายลึกลับในวันนี้ทำให้เขาหมดความอดทนมากขึ้น
รู้อยู่แล้วยังจะทำเสแสร้ง?
“พบฉันเหรอ ให้เฉินล่างมาคุยกับฉัน ไม่งั้นฉันจะวางสาย!”
“นาย…”
หลิวหยวนเฮิงชะงักและมองไปยังเฉินล่าง เขาบังมือถือ “หัวหน้าแก๊ง เขา…เอ่ยชื่อแล้วบอกว่าอยากคุยกับคุณครับ”
เฉินล่างประหลาดใจเล็กน้อย นี่…อีกฝ่ายรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร อีกทั้งชื่อของเฉินล่างก็ถูกเอ่ยถึงด้วย
แต่เพราะเหตุนี้ เฉินล่างจึงมั่นใจได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่าไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
เขากดลิฟต์และรับมือถือมาทันที
“คุณซ่ง ได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนขี้เกียจจะสุภาพกับเขาจึงพูดว่า “เฉินล่าง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ฉันยุ่งมาก”
เฉินล่างจึงไม่พอใจมาก นี่เป็นการไม่ให้เกียรติเขาอย่างยิ่ง
นอกจากน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามแล้ว อย่างน้อยก็ควรเรียกเขาว่าหัวหน้าแก๊งเฉินไหม เรียกแค่เฉินล่างเหรอ
“แค่กๆ คุณซ่ง ฉันคิดว่าเราอาจจะเข้าใจผิด จำเป็นต้องแก้ไขกันต่อหน้าสักหน่อย”
“ฉันกับนาย? เข้าใจผิดกัน? ฉันรู้จักนายเหรอ นายอยากแก้ไขอะไรกับฉัน แล้วยังต่อหน้าอีก ฉันขอเจอนายหรือเปล่าล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว
“คุณ…คุณซ่ง ฉันคุยกับนายดีๆ หวังว่านายจะไม่บีบบังคับฉันนะ” เฉินล่างเอ่ย
“เหอะๆ นายจะทำอะไรได้ ให้คนฝีมือดีมาจัดการฉันเหรอ ข้าจะรอดู!”
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนไม่ได้คิดจะมีท่าทีแบบนี้กับเขา แต่เขาโทรศัพท์มาก่อกวนสองครั้ง น่าขยะแขยงจริงๆ
เล่นซ่อนแอบบ้าอะไรเนี่ย
เฉินล่างโกรธจนตัวสั่น เขาหายใจเข้าลึกๆ “หนึ่งทุ่มคืนนี้เจอกันที่หอหงเยวี่ย”
“ไม่ว่าง!”
ซ่งจื่อเซวียนวางสายอีกครั้ง
…………………………..
……….