เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 328 ถ้าไม่เรียกว่าพ่อก็ห้ามไป ..........
ตอนที่ 328 ถ้าไม่เรียกว่าพ่อก็ห้ามไป
……….
ท่าทางของซ่งจื่อเซวียนสงบนิ่งมาก แม้ว่าอันที่จริงพวกเขาจะอายุเท่ากัน แต่วุฒิภาวะของพวกเขาก็ยังแตกต่างกันมาก
ปกติคนเหล่านี้ไม่ว่าจะถ่อมตัวหรืออวดดี พวกเขาก็ยังเป็นนักเรียนอยู่ดี
โดยทั่วไปพวกเขามักจะเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เมื่อกลับบ้านก็ถูกพ่อแม่ประคบประหงม
แต่ซ่งจื่อเซวียนแตกต่างออกไป เขาเริ่มทำงานเร็วมากและต้องเผชิญกับผู้คนหลายประเภทในสังคม
ไม่ต้องพูดถึงว่ากระทั่งเสี่ยเฉิงปาก็ยังเชื่อฟังเขา และแม้แต่หวงฟาก็ต้องเรียกเขาว่านายท่านรอง
ดังนั้นอันที่จริงซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ถือสานักเรียนเหล่านี้
แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของซ่งจื่อเซวียน นักเรียนชายหัวโจกคนนั้นก็รู้สึกไม่พอใจทันที
“พูดบ้าอะไร ถ้าไม่พูดถึงนายแล้วจะเป็นใคร นี่เป็นงานเลี้ยงมหาวิทยาลัยหนานกวนของเรา นายเกี่ยวอะไรด้วย”
เห็นได้ชัดว่าเดิมทีนักเรียนชายคนนี้ต้องการเชิญถังหย่าฉีมาเป็นคู่เต้นรำของเขา แต่กลับถูกปฏิเสธ
เขาจึงไม่พอใจทันทีที่เห็นซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็มองดูชายคนนั้นและขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ถังหย่าฉีก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าและตะโกนใส่ชายคนนั้น
“เถียนซวี่หยางนายกำลังพูดอยู่กับใคร ไม่มีใครสอนนายให้มีมารยาทกับคนอื่นหน่อยเหรอ”
เถียนซวี่หยางยิ้ม “มีมารยาทเหรอ ได้สิ แต่บางคนก็หน้าด้าน มางานเลี้ยงของมหาวิทยาลัยคนอื่นก็หน้าด้านพอแล้ว”
“นายว่าใครหน้าด้าน” ถังหย่าฉีถาม
“ว่าใครเหรอ ใครที่ไม่ได้อยู่มหาวิทยาลัยเราก็คนนั้นแหละ!”
“เชอะ ใครบอกว่าเข้างานได้เฉพาะนักศึกษามหา’ลัยหนานกวนเท่านั้นล่ะ ฉันก็เพิ่งเห็นนักศึกษาหลายคนจากมหา’ลัยอื่นเข้ามา ทำไมนายไม่พูดล่ะ” ถังหย่าฉีกล่าว
เถียนซวี่หยางหัวเราะ “ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเด็กหลายคนที่มีชื่อเสียงในเมืองตู้เหมิน ภูมิหลังครอบครัวของทุกคนเทียบกับคนที่อยู่ข้างๆ เธอได้ไหมล่ะ”
ขณะที่เขาพูด หลายคนที่อยู่ข้างหลังเถียนซวี่หยางก็หัวเราะเช่นกัน
“พวกเลือกปฏิบัติ จื่อเซวียน ไม่ต้องสนใจพวกเขา เราเข้าไปข้างในกันเถอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและเดินตามถังหย่าฉีเข้าไปข้างในทันที
ไม่ใช่ว่าเขากลัว สิ่งสำคัญคือซ่งจื่อเซวียนต้องมาเถียงกับเด็กเหล่านี้ที่ยังไม่ออกจากรั้วมหาวิทยาลัยจริงๆ เหรอ
เห็นได้ชัดว่าเขาขี้เกียจมาสนใจกับ ‘เด็ก’ พวกนี้ที่ยังไม่ออกจากอ้อมแขนของพ่อแม่
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะเดินเข้าไป เถียนซวี่หยางก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและผลักไหล่ของซ่งจื่อเซวียน
“หึ ไอ้หนู เจียมตัวแล้วรีบออกไปซะ คู่เต้นรำของถังหย่าฉีต้องเป็นฉันเท่านั้น!”
เถียนซวี่หยางกัดฟันและพูดด้วยดวงตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจแล้ว
แต่ซ่งจื่อเซวียนแค่นหัวเราะเบาๆ และเหลือบมองไปทางหนึ่ง
แน่นอนว่าตอนนี้ฟางรุ่ยกำลังเดินเข้ามาทางนี้อยู่แล้ว
“เถียนซวี่หยาง ฉันขอเตือนนายว่าอย่าให้มันมากเกินไปนะ!” ถังหย่าฉีเอ่ย
“ฉันทำมากเกินไปเหรอ หึ กลัวว่าที่มหา’ลัยหนานกวนจะไม่มีใครกล้า…”
“อ๊าก…”
เขายังพูดไม่จบ เถียนซวี่หยางก็รู้สึกว่ามือของเขาถูกคีมหนีบไว้ ไม่ใช่แค่เจ็บปวดเท่านั้น แต่ร่างกายถึงกับไม่เชื่อฟังคำสั่ง จึงจำต้องปล่อยมือออกจากไหล่ของซ่งจื่อเซวียน
“แก…”
มองดูใบหน้าเอาจริงเอาจังของฟางรุ่ย เถียนซวี่หยางที่กำลังจะต่อว่าเขาก็หยุดชะงักทันที
“ถ้ากล้าหาเรื่องนายท่านรองอีก ฉันจะโยนนายออกไป!”
“ไอ้หนู นายมาจากไหน ไม่รู้จักฉันเหรอ” เถียนซวี่หยางกล่าว
“แม่งเอ๊ย ข้าไม่รู้จักเอ็ง ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย!”
ฟางรุ่ยพูดจบก็ปล่อยมือเถียนซวี่หยาง สายตาฉายแววดูถูก
เถียนซวี่หยางมองเขา จากนั้นก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ได้ๆ เยี่ยมจริงๆ พวกนายสองคนรอก่อนเถอะ!”
พูดจบ เขาก็เดินตรงเข้าไปในสถานที่จัดงาน
ถังหย่าฉีเหลือบมองแผ่นหลังของเขา “เป็นคนที่น่ารำคาญจริงๆ จื่อเซวียน ไม่ต้องสนใจเขา เราเข้าไปกันเถอะ!”
พวกเขาเดินเข้าไปในสถานที่จัดงาน แต่ฟางรุ่ยไม่ได้จากไปไหน เขาแค่ยืนเฝ้าอยู่ที่นั่นราวกับเทพเจ้าพิทักษ์ประตู
แต่หลายคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังเถียนซวี่หยางรู้ว่าสองคนนี้ซวยแล้ว พวกเขากล้ายั่วยุเถียนซวี่หยาง
ถังหย่าฉีเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ครึ่งเทอมและไม่รู้จักคนเหล่านี้ อย่างมากเธอก็รู้แค่ว่าคนเหล่านี้เป็นรุ่นพี่
แม้ว่ามหาวิทยาลัยหนานกวนจะมีชื่อเสียง แต่ก็มีด้านที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก
และด้านนั้นก็มาจากทายาทเศรษฐีเหล่านี้
คนส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังได้นั้นเป็นนักเรียนดีเด่น แต่อีกด้านหนึ่งก็มีเหล่าคุณชายเศรษฐีเช่นกัน
พ่อแม่ของพวกเขาลงทุนกับมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกมีใบวุฒิการศึกษาสูงขึ้น
แต่เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาเรียนก็ไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์เลวร้ายของพวกเขาได้ ขณะเดียวกันก็สร้างกลุ่มรวมตัวกันขึ้นมาและนำนักศึกษานิสัยไม่ดีที่มีอีโก้สูงส่วนหนึ่งเข้ามาด้วย
พวกเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ไม่ได้สนใจเรื่องการเรียนของตัวเอง แน่นอนว่าเด็กเหล่านี้รับไม่ได้กับความไม่เป็นธรรม
เฮ่อเหยียนข่ายเป็นตัวอย่างในตอนแรก เขาได้ทำลายพ่อและตัวเองไปพร้อมกัน
เดินเข้าไปในห้องโถงแล้ว ถังหย่าฉีก็พาซ่งจื่อเซวียนไปด้านข้างเพื่อดื่มไวน์และของว่างเล็กน้อย
เพราะงานเลี้ยงเต้นรำยังไม่เริ่ม คนส่วนใหญ่จึงพูดคุยกันพร้อมกับทานขนม
สภานักศึกษาได้จัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี โดยรอบมีของว่างเรียงรายอยู่เต็มไปหมดและหากของว่างหมดก็จะมีเพิ่มให้อีก
“หย่าฉี มหา’ลัยชื่อดังอย่างหนานกวนก็มีเด็กแบบไหนด้วยเหรอเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เชอะ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย พวกแมลงหวี่แมลงวัน หลังเรียนจบคงไม่มีอนาคต”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เกรงว่ายังไม่มีความสามารถใดๆ
แค่ใช้เงินที่พ่อแม่หามาได้ต่อไปเรื่อยๆ
อันที่จริงวันเวลาแบบนี้ก็เป็นความสูญเปล่าเช่นกัน เมื่อเบื่อกับการใช้จ่ายเงินและอยากทำอะไรสักอย่างถึงจะค้นพบว่าตัวเองไร้ประโยชน์
แน่นอนว่าถึงแม้จะสูญเปล่าเช่นนี้แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ…
“จริงสิซ่งจื่อเซวียน นายคิดยังไงถ้าเราเปิดร้านอาหารในมหาวิทยาลัยหนานกวน”
“หืม ไม่เลวเลยนะ แต่กลุ่มลูกค้าต่างกันใช่ไหม”
ถังหย่าฉียิ้ม “ยังไม่แน่ใจ ฉันคิดว่ามันเหมาะดี ทุกวันนี้มีคนเยอะแยะที่เริ่มตามหาของกินตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา
อีกอย่างที่ตั้งในมหา’ลัยหนานกวนนับว่าเป็นสถานที่ปิดเลยเหมาะจะให้คนใหญ่คนโตเข้ามา แถมยังดูหรูหราอีกด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดและพยักหน้า “สิ่งที่เธอพูดก็สมเหตุสมผลดีนะ ใส่ไว้ในโครงการได้เลย แล้วค่อยเอามาพิจารณาอีกที”
“เหอะๆ คุยกันสบายๆ เถอะน่า ทำไมนายถึงพูดเป็นทางการขนาดนี้”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะอย่างไร้เดียงสา
“จริงสิจื่อเซวียน ไม่ต้องพูดเลย ฉันเคยเห็นนายในชุดวอร์ม ไม่ชินเลยที่นายเปลี่ยนมาเป็นชุดนี้”
“หา เดี๋ยวฉันค่อยไปเปลี่ยนกับรุ่ยจื่อ ฉันไม่ชินเหมือนกัน ชุดของเขาใหญ่ไป…”
“อย่านะ” ถังหย่าฉีรีบห้ามเขา “นายอย่าทำให้ฉันอายจะดีกว่า ถึงจะไม่ชินก็ทนได้นี่นา”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันก็มีหลายคนเดินมาจากอีกฟากหนึ่งของงาน
คนที่เดินอยู่ข้างหน้าคือเถียนซวี่หยางที่เพิ่งโดนฟางรุ่ยจัดการไป และมีคนอีกมากมายอยู่ข้างหลังเขา กวาดสายตาดูแล้วมีประมาณยี่สิบคน
นอกจากนั้นเด็กเหล่านี้ยังจ้องเขม็งด้วยความถมึงทึง ดูไม่เหมือนนักศึกษา แฝงบรรยากาศที่หนักอึ้ง
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ เถียนซวี่หยางก็ชี้มาที่ซ่งจื่อเซวียนแล้วเอ่ย “ไอ้หมอนี่แหละ ไปลากมันออกมาเลยพี่!”
“เหอะๆ คุณชายเถียน สุดยอดจริงๆ โดนไอ้กระจอกคนหนึ่งจัดการเข้าเหรอ” หวังเจ๋อที่อยู่ด้านข้างถาม
ครอบครัวของหวังเจ๋อก็มีฐานะดีเช่นกัน ครอบครัวของเขาประกอบธุรกิจอาหารสดและเช่าร้านที่ค่อนข้างใหญ่ในตลาดเฉิงหนาน
ในหนึ่งปีพ่อเขามีรายได้หลักล้านอย่างง่ายดายจึงทำให้เขากลายเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยหนานกวนด้วย
ขับรถสปอร์ตบีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์เจ็ด ราคากว่าแปดแสนหยวน ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวกี่คนที่หมายปองอยากจะนั่งเบาะรถคันนั้น
“ให้มันน้อยๆ หน่อยหวังเจ๋อ ถ้านายช่วยกู้หน้าฉันกลับมาได้ ข้าจะเลี้ยงล็อบสเตอร์!”
“ฮ่าๆๆ คุณชายเถียนใจกว้าง พวกเรา เข้าไปกับฉัน!”
เมื่อพูดจบ พวกเขาก็เดินไปหาซ่งจื่อเซวียน
จังหวะนั้น ฟางรุ่ยก็เห็นความเคลื่อนไหวและเดินตรงเข้าไปในงาน
“ไอ้หนู นายยั่วยุคุณชายเถียนเหรอ” หวังเจ๋อมองซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่แยแส
“ฉันไม่รู้ว่าคุณชายเถียนคือใคร”
ซ่งจื่อเซวียนไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองและยังคงกินแตงโมในจานต่อไป
“พวกนาย…พวกนายเป็นใครน่ะ ฉันจะฟ้องอาจารย์!” ถังหย่าฉีตะโกน
หวังเจ๋อแค่นหัวเราะเบาๆ
เขายังรู้อีกว่าถังหย่าฉีเป็นสาวสวยคนใหม่ที่เพิ่งเข้าปีหนึ่งและถูกขนานนามว่าเป็นดาวมหาวิทยาลัย
เถียนซวี่หยางสนใจเธอ แต่ไม่มีวิธีแย่งชิงเธอมา
“รุ่นน้องหย่าฉี เรื่องนี้เธอไม่ต้องยุ่งจะดีกว่า มันจะไม่ดีกับเธอนะ”
ขณะที่พูด หวังเจ๋อก็เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พูดจาเหน็บแนม พ่อแม่ส่งพวกนายมาเรียนหนังสือ แล้ววันๆ พวกนายเอาแต่ทำตัวเป็นอันธพาลเหรอ”
“หึ นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย ไอ้หนู ถ้าเป็นลูกผู้ชายเราก็ออกไปคุยกันข้างนอก อย่าก่อเรื่องในงาน”
ขณะที่พูด หวังเจ๋อก็คว้าคอเสื้อของซ่งจื่อเซวียนไว้
ถังหย่าฉีอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “นายปล่อยนะ ฉันจะไปเรียกอาจารย์มาเดี๋ยวนี้!”
แต่ไม่รอให้ถังหย่าฉีก้าวเท้าก็มีอีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ฉันไปคุยกับพวกนายข้างนอกได้ไหม”
หวังเจ๋อหันหน้ามองไปที่ฟางรุ่ย “นาย?”
เถียนซวี่หยางที่อยู่ด้านหลังเอ่ย “หวังเจ๋อ ไอ้เด็กนี่มันสู้เป็น!”
หวังเจ๋อได้ยินก็หัวเราะเบาๆ “เหอะๆ สู้เป็นเหรอ งั้นก็ลองดูหน่อยเป็นไง พวกฉันสี่คนมาจากชมรมเทควันโด”
“พล่ามเยอะจัง ออกมาด้วยกันเลย!” ฟางรุ่ยพูดอย่างเย็นชา
หวังเจ๋อชะงัก ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่เอาความกล้ามาจากไหน จากนั้นเขาก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“ได้ ไอ้หนู ฉันจะจัดการเขาก่อน แล้วนายจะเป็นรายต่อไป”
ซ่งจื่อเซวียนไม่แยแสเขา และเริ่มหยิบเค้กอีกชิ้นมากิน
เขารีบออกมาแต่เช้าตรู่ ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ตอนนี้จึงหิวสุดๆ…
มีกลุ่มคนเดินออกจากห้องบรรยาย หวังเจ๋อกลัวว่าจะสร้างความวุ่นวายในมหาวิทยาลัย เขาจึงพาฟางรุ่ยไปด้านหลังอาคาร
เมื่อกล่าวถึงระยะห่างกว่าสิบเมตรก็ถือว่าหลบซ่อนได้มากพอสมควรแล้ว
แต่นี่คือสิ่งที่ฟางรุ่ยต้องการอยู่พอดี ยิ่งหลบซ่อนมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งจัดการกับเด็กเลวเหล่านี้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
แต่ในขณะนั้น หวังเจ๋อก็หยิบมีดออกมาจากกระเป๋าของเขา
เขาเหวี่ยงมีดไปมาในมือ แสงสีเงินวาบออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเล่นจนชำนาญมาก
ฟางรุ่ยอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะเบาๆ
“เล่นมีดงั้นเหรอ”
“ไอ้หนู แกล้งทำเป็นใจเย็นอยู่เหรอ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือไง หยุดเสแสร้งได้แล้ว”
ฟางรุ่ยกระตุกยิ้มและไม่พูดอะไร
“พูดตามตรง ถ้านายคุกเข่าแล้วเรียกว่าพ่อคำเดียว วันนี้ฉันจะไม่ทำอะไรนาย ไม่งั้น…”
ขณะที่พูด ดวงตาของหวังเจ๋อก็เปล่งประกายความโหดเหี้ยม
“ไม่งั้นฉันจะแทงนายให้ตาย!”
ฟางรุ่ยส่ายหัว “ถ้าวันนี้นายไม่เรียกว่าพ่อ ไม่ว่าใครก็ห้ามออกไป”
“โอ้โห ให้ตายเถอะ วันนี้ฉันได้เจอคนเก่งที่ไม่กลัวตายว่ะ ได้ ข้าจะทำให้แกเลือดกระเด็น ดูว่าแกจะปากดีอีกไหม!”
ขณะที่พูด หวังเจ๋อก็แทงไปตรงๆ
แม้แต่ลูกสมุนที่อยู่ข้างหลังก็อึ้งไปเล็กน้อย เพราะพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเจ๋อจะกล้าแทงจริงๆ
แต่เสี้ยววินาทีต่อมาทุกคนก็ตกตะลึงตาค้าง
……………………………………………….
……….