เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 327 พูดถึงฉันเหรอ
ตอนที่ 327 พูดถึงฉันเหรอ
……….
“ขะ ขอโทษนะ…”
ซ่งจื่อเซวียนตระหนักได้ทันทีว่าตนพูดผิดไป
ถังหย่าฉียิ้มอย่างขมขื่น
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว เพื่อนฉันก็ถามเรื่องนี้บ่อย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการพูดถึงหัวข้อนี้อีก
เขารู้ว่าถังหย่าฉีต้องมีเรื่องเศร้าใจที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ และไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงอีก
ทุกคนรู้ดีถึงความสำคัญของแม่ที่มีต่อคนคนหนึ่ง และเธอ…มีรอยแผลเป็นตรงนี้อย่างชัดเจน
ในเมื่อเป็นรอยแผลเป็น ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่อยากจะสะกิดมันและทำให้เธอต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
“เพราะงั้น…จื่อเซวียน ตอนที่ได้อยู่กับครอบครัวนาย โดยเฉพาะคุณป้ามันทำให้ฉันอบอุ่นมาก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแบบนี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ราวกับว่า…เขาเป็นคนเปิดหัวข้อผิด
แต่ถังหย่าฉียังคงพูดต่อไป
“แม่ฉันหนีไปกับคนอื่น ตอนนั้นพ่อยังตั้งหลักไม่ได้เลย เขาเลี้ยงดูฉันเพียงลำพัง ความจริงพ่อฉันเก่งที่สุดเลยนะ”
“ดูเหมือนว่าเพราะต้องเลี้ยงดูเธอ เลยต้องทำธุรกิจที่ใหญ่โตขนาดนี้สินะ”
ถังหย่าฉีพยักหน้า “เพราะงั้นฉันเลยอยากให้เขาหาภรรยาสักคน แต่…เฮ้อ ฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่กลับมาคืนดีกันเลย”
“เหอะๆ น่าแปลก คนอื่นเขาอยากให้พ่อแม่อยู่ด้วยกัน”
“แม่ฉันไม่สมควร!”
ถังหย่าฉีกัดฟันพูด ซ่งจื่อเซวียนแทบไม่เคยเห็นเธอในอารมณ์เช่นนี้
“ปีนั้นตอนที่ฉันเรียนจบชั้นประถม ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าเธอขึ้นรถผู้ชายคนหนึ่งไป ผู้ชายคนนั้นจูบเธอ แล้วเธอก็ยังไม่หลบ ตั้งแต่วันนั้นฉันก็เลยเกลียดเธอ”
ซ่งจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าในตอนนั้นสภาพจิตใจของถังหย่าฉีจะเป็นอย่างไร
จะต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน
“ต่อมาก็มีเรื่องเกิดขึ้นกับผู้ชายคนนั้น เธอเลยกลับมาที่บ้านอีกครั้ง ตอนนั้นพ่อฉันต้องทำงานและเลี้ยงฉันไปด้วย ฉันเห็นแล้วก็ปวดใจ
พอเห็นแม่กลับมา พ่อก็ไม่พูดอะไรแล้วพาฉันไปพักในห้อง แต่ฉันไม่ยอม แล้วฉันก็ไล่แม่ออกจากบ้านไป”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นี่เป็นนิสัยเธอชัดๆ”
“เหอะๆ เมื่อก่อนถึงแม้ครอบครัวฉันจะไม่ได้รวย แต่ก็ไม่ถึงกับยากจน ปู่กับย่าของฉันเป็นข้าราชการบำนาญ
ฉันโตมาแบบเจ้าหญิง เธอบังคับให้ฉันต้องเปลี่ยนนิสัย นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันตะโกนเสียงดัง พ่อฉันก็เลยอึ้ง”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้ว…หลังจากนั้นแม่ของเธอก็ไม่มาอีกเลยเหรอ”
“ใช่ เธอจะยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ ซ่งจื่อเซวียน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่ควรหลายใจถูกไหม อย่างน้อยก็ควรจะซื่อสัตย์”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันก็คิดอย่างนั้น หย่าฉี เรื่องพวกนี้ไม่ควรอยู่ในความทรงจำของเธออีก พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตในอนาคตของเธอนะ”
“เหอะๆ ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่นายคิดหรอก เรื่องพวกนี้ไม่มีผลกับฉัน แค่ไม่ได้พูดมาตั้งแต่เด็กแล้ว วันนี้ก็เลยอยากจะบ่นสักหน่อย”
“ดีแล้ว สุดท้ายเธอก็มีชีวิตที่ดี เหมือนกับสวนสวินเฟิงของเราที่ยังทำเงินได้ตลอด” ซ่งจื่อเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังหย่าฉีคลี่ยิ้มและเผยท่าทางนางฟ้าตัวน้อยเหมือนเคย
“เพราะงั้นจื่อเซวียน ฉันขอบคุณนายมากเลยนะ หลังจากที่พ่อฉันยุ่ง อันที่จริงฉันก็เหงามาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เศร้าใจ
“เหอะๆ ตอนนี้คงไม่เหงาแล้วใช่ไหม ฉันจะอยู่กับเธอตลอดเลยนะ”
“จริงเหรอ”
ทันใดนั้นแววตาของถังหย่าฉีฉายแววอ้อนวอน ราวกับเธอกำลังขอร้องซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอีกครั้ง “จริงสิ ฉันจะอยู่กับเธอนะ”
ขณะที่พูด เขาก็จับมือของถังหย่าฉี คราวนี้เขาเป็นฝ่ายริเริ่ม ความอบอุ่นระหว่างสองฝ่ามือเริ่มไหลมาบรรจบกัน ความหนาวเหน็บทั้งหมดจึงมลายหายไปทันที
นาทีที่พวกเขาสบตากัน ลมหายใจทั้งคู่ก็เริ่มหนักขึ้น เห็นได้ชัดว่าคนหนุ่มสาวทั้งสองต่างตื่นเต้นและตั้งตารอ
ทั้งสองคนค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ถังหย่าฉีค่อยๆ หลับตาลงด้วยความสั่นเทา เมื่อดวงตาที่แสนงดงามของเธอปิดลง ขนตางอนเด้งก็ร่วงหล่น
มองดูใบหน้านี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่อาจพรรณนาถึงความงดงามได้ ความงามแบบนี้ทำให้หลงใหลและหายใจไม่ทั่วท้อง
ติ๊ง!
จู่ๆ ลิฟต์ชั้นหนึ่งก็ดังขึ้นทันที
ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก ถังหย่าฉีก็รีบลืมตาขึ้นทันทีและถอยไปด้านหลัง
ซ่งจื่อเซวียนรักษาท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขาเอาไว้และนั่งตัวตรงทันที
“แค่กๆ…”
ซ่งจื่อเซวียนไออย่างกระอักกระอ่วน “คือ…ไต้ทงคงกลับมาแล้วสินะ”
“หา? ใช่ ใช่แหละ งั้น…ขอบคุณนายที่มาส่งฉันนะ”
“เหอะๆ ไม่เป็นไรเลย เป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว”
การสนทนาระหว่างทั้งสองดูเหมือนจะห่างไกลกันสี่ร้อยเมตรในทันที และเริ่มสุภาพขึ้นฉับพลัน
ในเวลานี้ ฟางรุ่ยเห็นไต้ทงเดินออกมาจากลิฟต์จึงยักไหล่
“พี่ชาย มาผิดเวลาแล้ว”
“หา?” ไต้ทงมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง
“เมื่อกี้ข้างบนเงียบมาก”
ฟางรุ่ยชี้ขึ้นไปชั้นบน
สีหน้าของไต้ทงดูกระอักกระอ่วน
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนและถังหย่าฉีก็เดินลงมา
ฟางรุ่ยมองไปยังไต้ทงและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปพร้อมกับซ่งจื่อเซวียน
แต่ในเวลานี้ พวงแก้มทั้งสองของถังหย่าฉีแดงระเรื่อราวกับแอปเปิ้ล และเธอยังรู้สึกว่าตัวเองรุ่มร้อนอีกด้วย
แต่การกลับมาของไต้ทงก็เป็นการช่วยเธอเช่นกัน
อย่างไร…หนุ่มสาวสองคนนี้ก็ยังไม่พร้อม
หากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ แม้แค่จูบก็ยังดูกะทันหันเกินไป
คืนนั้น ถังหย่าฉีนอนไม่หลับจึงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
พรุ่งนี้ยังต้องไปงานเลี้ยงเต้นรำอีก ถ้าไม่นอนตอนนี้คงไม่มีสติแน่ แต่ถึงจะรู้อยู่แก่ใจก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
ในหัวเธอเต็มไปด้วยท่าทางโง่เขลาของซ่งจื่อเซวียน
ต้องบอกว่าเวลาทำงานนั้น ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนสุขุมนุ่มลึกและจริงจัง แต่ตอนนั้นเขากลับทำตัวเหมือนคนโง่
หากเขาเป็นฝ่ายเริ่ม ถังหย่าฉีคงไม่มีทางปฏิเสธ แล้วจะลังเลอยู่ทำไม
“ตาโง่!”
ถังหย่าฉีมุ่ยปากและพึมพำกับตัวเอง
เธอหยิบมือถือขึ้นมา อยากส่งข้อความหาซ่งจื่อเซวียนและเรียบเรียงข้อความอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งไป
เธอหายใจเข้าลึกๆ ‘หึ ถ้าพรุ่งนี้เขาโง่แบบนี้อีก ฉันจะไม่สนใจเขาแล้ว!’
เมื่อพูดจบ เธอก็เผยรอยยิ้มที่แสนหวานออกมาโดยไม่รู้ตัว
…
เช้าวันรุ่งขึ้นแปดโมงกว่า ซ่งจื่อเซวียนเพิ่งจะตื่น
เหมือนกับถังหย่าฉี เมื่อคืนก็นอนไม่หลับและไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
เห็นตัวเองที่งัวเงียอยู่ในกระจก ซ่งจื่อเซวียนก็ตบหน้าตัวเอง “ตื่น สติ!”
เมื่อล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วก็รู้สึกสดชื่นมากขึ้น
จากนั้นก็แปรงฟัน แต่งตัวและส่องกระจกอีกครั้ง
ราวกับมีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้
“เจ้ารอง กินที่บ้านเถอะ แม่นึ่งหมั่นโถวให้แล้ว” หานหรงเอ่ยเมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนตื่นนอนแล้ว
“ได้เลย แม่!”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็มองดูนาฬิกา “แม่เจ้า แปดโมงครึ่งแล้ว แม่ ผมไม่กินที่บ้านแล้วนะ ผมไม่หิว!”
ซ่งจื่อเซวียนรีบวิ่งออกไปทุบประตูห้องของฟางรุ่ย
โชคดีที่ฟางรุ่ยตื่นแล้ว เพียงแต่เขายังบ้วนปากล้างหน้าอยู่
“รุ่ยจื่อ ไปกัน!”
“ได้ครับนายท่านรอง รอผมล้างหน้าก่อน!”
“ไม่ต้องล้างแล้ว รีบหน่อย สายแล้ว!”
ฟางรุ่ยดูสับสน แต่เขาก็รีบวิ่งออกไปพร้อมกับซ่งจื่อเซวียน
เนื่องจากเป็นซอยแคบ ขับรถเข้ามาไม่ได้ พวกเขาจึงจอดรถไว้ริมถนนหน้าปากซอย
มองดูเวลาที่ผ่านเลยไป ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มรู้สึกร้อนรน
“นายท่านรอง เราจะไปไหนกันครับ” ฟางรุ่ยถามขณะที่เขาวิ่งขึ้นรถ
ร่างกายของเขาแข็งแรง คำพูดของเขาจึงมั่นคง แต่ซ่งจื่อเซวียนยังคงหายใจหอบ
“นะ หนานกวน…มหาวิทยาลัยหนานกวน!”
“อ๋อๆ ได้เลยครับ!”
บรื้น!
เมื่อสตาร์ทรถแล้วก็เหยียบคันเร่งจนสุด!
เวลาประมาณแปดโมงห้าสิบนาที ซ่งจื่อเซวียนก็มาถึงประตูมหาวิทยาลัยหนานกวน
มหาวิทยาลัยหนานกวนเป็นมหาวิทยาลัยที่มีประวัติอันยาวนานในเมืองตู้เหมิน ด้านในไม่เพียงแต่มีอาคารเรียนและหอพักเท่านั้น แถมยังมีแฟลตอยู่อีกด้วย
ในช่วงแรกที่นี่เป็นหอพักของบุคลากร แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอาจารย์หลายรุ่น บางคนได้ขายกรรมสิทธิ์ในการครอบครองบ้านไป
ต่อมาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้ชีวิต ภายในมหาวิทยาลัยจึงมีร้านอาหาร บาร์มากมาย และแม้แต่บริเวณแฟลตก็มีตลาดผัก
ฟางรุ่ยขับรถตรงไปยังอาคารอเนกประสงค์ ด้านในเป็นห้องโถงซึ่งใช้จัดงานเลี้ยงเต้นรำในครั้งนี้
แต่เมื่อเขาลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้างทันที “ให้ตายเถอะ ลืมใส่ชุดสูทมา”
“นายท่านรอง งั้นเรากลับไปเปลี่ยนกันเถอะ”
ฟางรุ่ยมองเสื้อผ้าสกปรกของซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
หากเข้าครัวคงจะไม่เป็นอะไร แต่สำหรับงานเลี้ยงเต้นรำ…
“ช่างเถอะ ไม่ทันแล้ว รุ่ยจื่อ เราสองคนมาสลับชุดกัน”
อันที่จริงเสื้อผ้าของฟางรุ่ยก็ไม่ได้เปลี่ยนมาสองสามวันเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เสื้อผ้าของฟางรุ่ยก็ยังสะอาดกว่าของซ่งจื่อเซวียนหลายเท่า
เพราะซ่งจื่อเซวียนก็สวมเสื้อผ้าเหล่านี้เวลาทำอาหารอยู่ตลอด ดังนั้นสิ่งสกปรกและคราบน้ำมันจึงเยอะเป็นปกติ
ขณะที่เขาคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ไต้ทงก็ขับรถมาถึงหน้าประตูเช่นกัน
ทันทีที่ถังหย่าฉีลงจากรถก็เห็นซ่งจื่อเซวียน เนื่องจากเมื่อคืนนี้เธอนอนไม่หลับจึงรีบมาที่นี่
“ซ่งจื่อเซวียนนาย…นายจะใส่ชุดนี้เข้าไปกับฉันเหรอ”
ถังหย่าฉีโกรธแล้ว นี่จะไม่ทำให้เพื่อนๆ ของเธอขำตายเหรอ ไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือคู่เต้นรำ วันนี้ก็ต้องแต่งตัวจัดเต็มกันทั้งนั้น
ชายหนุ่มทุกคนเรียกมันว่าสามัญสำนึก แต่เมื่อมองดูซ่งจื่อเซวียน…เหมือนกับว่าเขาเพิ่งออกมาจากห้องครัว
“ฉัน…ฉันจะสลับเสื้อผ้ากับรุ่ยจื่อ”
ถังหย่าฉีมองไปที่ฟางรุ่ย เสื้อผ้าชุดนั้นก็ไม่ได้สะอาดสะอ้านเช่นกัน แต่ก็ดีกว่าของซ่งจื่อเซวียน
“เร็วสิ!”
ถังหย่าฉีจ้องซ่งจื่อเซวียนเขม็ง
จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถและสับเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน สามนาทีต่อมา ซ่งจื่อเซวียนในชุดดำก็เดินออกมา
อันที่จริงก็รู้สึกมีรัศมีไม่น้อย แต่จู่ๆ ถังหย่าฉีก็รู้สึก…
ดูเหมือนเธอจะชินกับการเห็นซ่งจื่อเซวียนสกปรก แต่จู่ๆ เมื่อเห็นเขาสะอาดสะอ้านจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
“หย่าฉี แบบนี้เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนมองดูตัวเองและรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
“พอได้ ดีกว่าชุดเดิม เราเข้าไปกันเถอะ!”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไป
ไต้ทงยืนพิงรถเป็นนิสัย จากนั้นก็จุดบุหรี่และยื่นให้ฟางรุ่ยหนึ่งมวน
ฟางรุ่ยส่ายหัว ไม่ได้รับบุหรี่มาและเดินเข้าไป
เขาวางแผนจะหาที่นั่งเฝ้าดูเงียบๆ จะไม่ให้มีใครกล้ายุ่งกับนายท่านรองเด็ดขาด
ทันทีที่ทั้งสองมาถึงทางเข้าห้องจัดเลี้ยงก็เห็นหลายคนกำลังพูดคุยกันอยู่ และมีชายหนุ่มหนึ่งในนั้นเดินเข้ามา
“หย่าฉี นี่คือคู่เต้นรำของเธอเหรอ” ชายหนุ่มมองซ่งจื่อเซวียนอย่างละเอียด “เนี่ยนะ? ที่ทำให้เธอต้องปฏิเสธจะคู่กับฉัน”
ถังหย่าฉีเหลือบมองชายคนนั้น “ฉันมีคู่เต้นรำแล้ว ทำไมจะต้องไปหานายด้วยล่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็ควงแขนซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปข้างใน ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ชินอยู่บ้างที่ถูกควงแขนแบบนี้…
“หยุดนะ!”
ชายคนนั้นตะโกนและเดินตามมาทันที หลายคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ตามมาด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาพลันหายไปกลายเป็นดุร้ายเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ในสังคม
ซ่งจื่อเซวียนแอบส่ายหัว นักศึกษาพวกนี้สุดยอดจริงๆ ไม่ตั้งใจเรียน วันๆ เอาแต่เลียนแบบท่าทางของพวกผู้ใหญ่…
“ไอ้หนู ไม่คุ้นหน้าเลย ไม่ได้อยู่มหา’ลัยเราใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนคิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะมาหาเรื่องเขา
“พูดถึงฉันเหรอ”
……………………………………
……….