เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 326 บ้านเดี่ยวของถังหย่าฉี
ตอนที่ 326 บ้านเดี่ยวของถังหย่าฉี
……….
ซ่งจื่อเซวียนไม่ชอบเวลาที่มีคนเล่นแง่กับเขา โดยเฉพาะทางโทรศัพท์
มีเรื่องอะไรก็พูด ทำไมต้องเก็บเป็นความลับ
นอกจากนี้ยังเป็นพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า ก่อนหน้านี้ก็เคยเลื่อนนัดกับถังหย่าฉีเพราะเรื่องมากมาย
คราวนี้เขาไม่กล้าแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นแม่ทูนหัวคนนั้นคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องส่วนตัวสุดหรูของโรงแรมถังซิ่วในย่านเศรษฐกิจเมืองตู้เหมิน
“อะไร วางสายแล้วเหรอ”
คนที่พูดเป็นชายวัยสี่สิบกว่าปี
เสื้อคอจีนสีน้ำตาลเข้มที่ชายคนนั้นสวมใส่ดูเหมือนตั้งใจให้ความรู้สึกเป็นผู้อาวุโส
แว่นตากรอบทองบนใบหน้าดูจะไม่เหมาะกับใบหน้าของเขา
เวลาเปิดปากยังมีคราบดำบนฟันเหลืองเล็กน้อย หากมองใกล้ๆ จะต้องรู้สึกขยะแขยงอย่างแน่นอน
ชายคนนี้คือ ‘เฉินล่าง’ หัวหน้าแก๊งกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดของแก๊งขอทาน
หลิวหยวนเฮิงที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้า “ครับ หัวหน้า”
“เขาว่ายังไง” เฉินล่างถาม
“ผมบอกว่านัดเขาที่หอหงเยวี่ยพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า แต่เขาพูดมาเลยว่าไม่ว่าง…”
เฉินล่างได้ยินก็ลดคิ้วลงและเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ฮึ่ม ซ่งจื่อเซวียนคนนี้…น่าสนใจดีแฮะ ดูเหมือนว่าเขาจะชินกับการเป็นลูกพี่ในตู้เหมิน” เฉินล่างหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น
โจวเหยียนที่อยู่ด้านข้างพูดว่า “ฮึ่ม จับมัดแล้วต่อยสักทีก็คงจะพูดทุกอย่างออกมาแล้ว แกล้งทำมาเป็นลูกพี่กับใครกันวะ”
หลิวหยวนเฮิงครุ่นคิด “หัวหน้า ไม่ทราบว่ายังจำคำพูดของข่งอวี้เซินได้อยู่หรือเปล่าครับ”
เฉินล่างเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
โจวเหยียนพ่นลมหายใจ “มันมีอะไรบ้าง ข่งอวี้เซินกับเหลียงฮั่นชำนาญในจุดนี้…แล้วพวกมันก็มีแค่ไม่กี่คน ตอนนี้ก็มีผู้อาวุโสของเราหลายคนอยู่ด้วย ยังจะกลัวอะไรอีก”
เฉินล่างเมินคำพูดของโจวเหยียน “พอเถอะ โจวเหยียน นายกลับไปพักผ่อนสักพักแล้วเรียกข่งอวี้เซินมาให้ฉันหน่อย!”
เฉินล่างรู้จักลูกน้องของตัวเองเป็นอย่างดี แม้ว่าโจวเหยียนและเหลียงฮั่นจะห้าวหาญ แต่ก็หัวรั้น หากฟังเขาก็อาจเกิดปัญหายุ่งยากได้
ปกติหลิวหยวนเฮิงจะเป็นคลังความรู้ของเขา และเป็นเพียงคนเดียวที่ผู้อาวุโสไม่สามารถใช้กำลังได้ สิ่งที่พึ่งพาได้คือมันสมอง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การฟังเขานั้นเชื่อถือได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ไม่นานนัก ข่งอวี้เซินก็เดินเข้ามา
ในฐานะผู้อาวุโสทั้งแปด เขาค่อนข้างได้รับการยกย่องจากเฉินล่างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ไม่อย่างนั้นคงไม่มอบหมายภารกิจในตู้เหมินครั้งนี้ให้แก่เขาและให้ร่วมมือกับเหลียงฮั่นอีกด้วย
“หัวหน้า คุณต้องการพบผมเหรอ”
เฉินล่างพยักหน้า “ข่งอวี้เซิน นายบอกว่าซ่งจื่อเซวียนมียอดฝีมืออยู่ข้างกาย เป็นยอดฝีมือแบบไหน”
“หัวหน้าครับ มีคนหนึ่งต้องเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แน่นอน เขาคล่องตัวและโหดเหี้ยม ผมกับเขาระดับต่างกันเลย”
“ประมือกันกี่ครั้งแล้ว” เฉินล่างเอ่ยถาม
“สองครั้งครับ ครั้งที่สองเหลียงฮั่นประมือกับเขาก็เสียเปรียบเหมือนกัน” ข่งอวี้เซินตอบ
เฉินล่างครุ่นคิด “แข็งแกร่งน่ะใช่ แต่…เหอะๆ มียอดฝีมือแค่คนเดียวนี่นา หรือว่าผู้อาวุโสพวกนี้ของฉันจะเสียเปล่าแล้ว”
“หัวหน้าครับ เรื่องนี้สามารถเอาชนะได้!”
หลิวหยวนเฮิงกล่าว
เฉินล่างหันไปมองเขา “หืม ลองบอกมาสิ”
“ถึงเขาจะปฏิเสธ แต่ยังต้องนัดหมายเหมือนเดิม เรากำหนดสถานที่ไว้ก่อนแล้วให้ผู้อาวุโสสักสองสามคนซุ่มโจมตีล่วงหน้า”
เฉินล่างมองไปที่หลิวหยวนเฮิงและใคร่ครวญ “เราจะลงมือเมื่อไร”
“ถ้าซ่งจื่อเซวียนเชื่อฟังแล้วบอกที่กบดานของกู่เสี่ยวเป่ามา เราจะปล่อยเขาไปก่อน แต่ถ้าเล่นตุกติก… ”
“โอเค ฉันจะทำตามที่นายบอก ขอห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในหอหงเยวี่ย พวกผู้อาวุโสจะซ่อนตัวก่อนล่วงหน้าแล้วนายค่อยมาจัดการ” เฉินล่างพยักหน้าเอ่ย
“ครับ หัวหน้า!”
…
ณ สวนสวินเฟิง
ถังหย่าฉีเพิ่งคำนวณบัญชีเสร็จ ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “จื่อเซวียน ฉันไปแล้วนะ นายอย่าลืมเรื่องพรุ่งนี้เด็ดขาดล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าขณะที่กำลังอ่านหนังสือสูตรอาหาร “อืม รู้แล้ว”
ถังหย่าฉีมุ่ยปาก หมอนี่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกครั้งเลย
“ซ่งจื่อเซวียน!”
ถังหย่าฉีตะโกน ซ่งจื่อเซวียนตกใจมากจนทำหนังสือสูตรอาหารในมือร่วงลงบนโต๊ะ
“หา?”
เมื่อเห็นท่าทางตกใจของซ่งจื่อเซวียนดูน่ารักอย่างมาก ถังหย่าฉีก็อดหัวเราะไม่ได้
“พรุ่งนี้ใส่ชุดทางการนะ ทุกคนคงจะพอๆ กัน”
“อ๋อๆ ฉันจะจำไว้นะ”
ถังหย่าฉีกำลังจะออกไปข้างนอกโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“โอเคๆ ไม่ต้องเร่งแล้ว ฉันจะรีบลงไป!”
เมื่อเห็นว่าเป็นไต้ทง ถังหย่าฉีก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“ไม่ๆๆ หย่าฉี อย่าเพิ่งลงมาก่อน รถเสียอยู่ ผมจะหาคนมาซ่อม”
“หา? ล้อเล่นหรือเปล่า พรุ่งนี้ฉันยังต้องไปเรียนนะ ฉันต้องรอนานแค่ไหน” ถังหย่าฉีพูดด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
“เอ่อ…” ไต้ทงกล่าวอย่างลำบากใจ “ไม่รู้ครับ ไม่งั้นผมจะเรียกแท็กซี่กลับไปกับคุณก่อนแล้วกัน”
อย่างไรหน้าที่ของไต้ทงคือเป็นคนขับรถและบอดี้การ์ด เขาไม่สามารถปล่อยให้ถังหย่าฉีเดินทางคนเดียวในเวลานี้ได้
ถังหย่าฉีครุ่นคิด จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“โอเคๆ นายซ่อมรถไปเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงครับ คุณจะกลับบ้านคนเดียวไม่ได้!” ไต้ทงพูด
ตั้งแต่ถังหย่าฉีเข้ามหาวิทยาลัย เธอไม่เคยอาศัยอยู่หอพัก แม้ว่าจะจ่ายค่าที่พักแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัย เธอก็ต้องกลับไปที่วิลล่าที่พ่อของเธอเตรียมไว้ให้อย่างดี
และในวิลล่า ถังหย่าฉีอาศัยอยู่ในห้องชั้นสอง ในขณะที่ไต้ทงจะนอนที่ห้องโถงชั้นหนึ่งตลอด เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าบอดี้การ์ดคุ้มกันส่วนตัว
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันจะให้ซ่งจื่อเซวียนไปส่งเอง หายห่วงหรือยัง”
“นายท่านรองเหรอ งั้น…ก็ได้ครับ คุณให้นายท่านรองพักอยู่ที่นั่นก่อน รอผมกลับแล้วค่อยให้เขาไปนะ” ไต้ทงเอ่ย
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว วางเถอะ!”
ถังหย่าฉีวางสายโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ซ่งจื่อเซวียน ลุกขึ้น ไปส่งฉันกลับบ้านหน่อย!”
“ฉันเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนยืนขึ้นและถามด้วยสีหน้ามึนงง ราวกับว่าในหัวของเขายังคงติดอยู่กับหนังสือสูตรอาหาร
“ใช่สิ รถฉันเสีย นายไปส่งฉันที่บ้านหน่อย รอให้ไต้ทงมาแล้วนายค่อยไป”
“อ๋อ…” ซ่งจื่อเซวียนพูดและกำลังจะไป แต่ก็นึกอะไรบางอย่างได้ทันทีจึงหยุดฝีเท้า
“เธอบอกว่า…ไต้ทงมาแล้วฉันค่อยไป ฉันเข้าไปในบ้านเธอได้เหรอ”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด หัวใจของเขาก็เต้นตึกตัก
“แล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ”
ถังหย่าฉีกลอกตามองเขา จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สังเกตเห็นตอนที่ใบหน้าของถังหย่าฉีเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ทั้งสองเดินลงไปชั้นล่าง ซ่งจื่อเซวียนก็เรียกฟางรุ่ยให้มาขับรถอีกครั้ง
ในเวลานี้ ไต้ทงกำลังสูบบุหรี่ขณะที่พิงรถ ชัดเจนว่ากำลังรอคนมาซ่อมรถอยู่
เมื่อเห็นว่าฟางรุ่ยอยู่ด้วย ไต้ทงก็โล่งใจ เขารู้ว่าฟางรุ่ยเป็นหนึ่งในยอดฝีมือ ถังหย่าฉีจะปลอดภัยเมื่อมีอีกฝ่ายอยู่
หากมีเพียงซ่งจื่อเซวียนคนเดียว ไต้ทงคงไม่สบายใจ แต่มีสองคนนี้ปกป้องอยูู่ด้วยจึงค่อยวางใจขึ้นหน่อย
ฟางรุ่ยขับรถตามระบบนำทางจนไปถึงชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองตู้เหมิน แม้ว่าที่นี่จะเป็นชานเมือง แต่กลับห่างจากตัวเมืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นการคมนาคมถือว่าค่อนข้างสะดวก
นอกจากนี้ที่ดินในเมืองตู้เหมินนั้นเป็นเงินเป็นทองจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิลล่า ดังนั้นวิลล่าทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตชานเมือง เพียงแต่แบ่งออกเป็นเขตชานเมืองใกล้ๆ และชานเมืองรอบนอก
แต่เมื่อพวกเขาขับรถไปถึงทางเข้าเขตพื้นที่วิลล่า ฟางรุ่ยและซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยเห็นวิลล่ามาก่อน สถานที่ที่หรูหราที่สุดที่เขาไปน่าจะเป็นห้องส่วนตัวของซ่งอวิ๋นฮั่นที่โรงแรมข่ายอ้อ
แน่นอนว่าหมายถึงเมืองตู้เหมินเท่านั้น หากรวมสถานที่อื่นด้วย บ้านของหลิงเจิ้นก็จะยิ่งใหญ่โตกว่านี้
เพียงแต่ว่าราคาบ้านระหว่างสองสถานที่นี้ต่างกันมากจึงเทียบกันไม่ได้
อีกทั้งเขายังไม่รู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ในเมืองตู้เหมิน ในมุมมองของเขา เขตชุมชนระดับสูงที่ลู่ลี่จวินอาศัยอยู่คือจุดสูงสุดแล้ว
สำหรับฟางรุ่ย เขาได้เห็นโลกมาแล้ว ตอนที่อยู่ในค่ายกองกำลังพิเศษ เขาเคยเห็นบ้านหรูมากมายทั้งในและนอกประเทศจีน แต่ในระดับวิลล่า สถานที่แห่งนี้ที่ถังหย่าฉีอาศัยอยู่นั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก
รถขับไปจนถึงโรงจอดรถชั้นใต้ดิน ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้ว่าบ้านที่ถังหย่าฉีอาศัยอยู่คือวิลล่าสามชั้น อีกทั้งใหญ่โตมโหฬาร ไม่ใช่อาคารสไตล์ตะวันตกเล็กๆ เท่านั้น แต่มันใหญ่…
“หย่าฉี ฉันขึ้นไปแบบนี้คงไม่เหมาะมั้ง” ซ่งจื่อเซวียนพูดขณะยืนอยู่ตรงประตูลิฟต์
“นายอยากร้องเพลงก่อนขึ้นไปเหรอ”
“โธ่เอ๊ยไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายถึงไปพบคุณลุงคุณป้าต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ถังหย่าฉีคลี่ยิ้ม “ขอโทษที นายไม่มีโอกาสนั้นหรอก พ่อของฉันไม่ได้อยู่ในประเทศน่ะ”
“ให้ตายเถอะ เธออยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียวเนี่ยนะ”
ถังหย่าฉีกลอกตามองเขา “จะขึ้นหรือไม่ขึ้น ถ้าไม่ขึ้นก็รอในโรงจอดรถ!”
“อ้อ ขึ้นสิ ขึ้นสิ!”
จากนั้นทุกคนก็ขึ้นลิฟต์ไปในบ้าน ระดับความหรูหราถึงกับทำให้ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึงตาค้าง
“พระเจ้า หรูเกินไปหรือเปล่าเนี่ย หย่าฉี ตกแต่งบ้านหลังนี้ต้องใช้เงินเยอะมากเลยใช่ไหม”
ถังหย่าฉีส่ายหัว “ฉันไม่รู้หรอก ตอนที่ซื้อมาก็เป็นแบบนี้แล้ว พวกนายนั่งตามสบายเลย ฉันจะไปเปลี่ยนชุดหน่อย”
ถังหย่าฉีพูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบน
ซ่งจื่อเซวียนมองไปตรงบันไดไม้จึงรู้ว่าด้านบนยังมีอีกสองชั้น แต่ตามมารยาทเขาจึงไม่ได้ตามขึ้นไป
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การมาเยี่ยมบ้านของถังหย่าฉีครั้งแรกนั้นทำให้เขาตื่นเต้นมาก
อันที่จริงเมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน
แม้ว่าตระกูลถังจะร่ำรวย แต่ผลประกอบการต่อปีของตลาดหลายแห่งภายใต้บริษัทตระกูลซ่งก็มีมูลค่าหลายร้อยล้าน บวกกับมูลค่าของคลับเฮาส์หลงตู บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมถึงร้านอาหารก็ไม่ได้ต่ำเลย
แต่ถึงอย่างนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยังคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
อาจเป็นเพราะวัยเด็กของเขา แม้ว่าทรัพย์สินของตระกูลเขาจะมีมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดที่ลึกซึ้งมากนัก
และยังคิดว่าบ้านแบบนี้ต้องเป็นคนรวยเท่านั้นที่จะอาศัยอยู่ได้
แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เขาได้กลายเป็นเศรษฐีในตู้เหมินไปแล้ว
ไม่นานนัก ถังหย่าฉีก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสบายๆ และเดินไปตรงบันได “ซ่งจื่อเซวียน นายอยากขึ้นมาพักด้านบนไหม”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักและมึนงงไปโดยปริยาย
ขึ้นไปเหรอ คงไม่เหมาะมั้ง
แต่ฟางรุ่ยเผยยิ้มและขยิบตาให้ซ่งจื่อเซวียน จากนั้นเขาก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
“อ๋อๆ ได้สิ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินขึ้นไปจึงเห็นว่าชั้นสองก็เป็นห้องโถงและมีสองสามห้องอยู่รอบๆ
“หย่าฉี ห้องเยอะจัง…มีคนเคยมาอยู่ไหมเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้พูดสิ้นคิดแบบนี้…
ถังหย่าฉีกลอกตามองเขา เดินไปในห้องโถงและรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว จากนั้นเดินไปที่ราวจับบันไดแล้วตะโกนลงไปชั้นล่าง
“รุ่ยจื่อ ด้านล่างมีเครื่องดื่มกับขนมอยู่ นายกินได้ตามสบายเลยนะ”
“เข้าใจแล้ว!”
จากนั้นเธอก็หันกลับไปมองซ่งจื่อเซวียน แต่พบว่าซ่งจื่อเซวียนก็มองมาที่เธอเช่นกัน
“นายมองอะไร”
“หา ไม่มีอะไร เธออยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้คนเดียว พ่อกับแม่ของเธออยู่ต่างประเทศยาวเลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิง แต่ปกติไม่ได้มาที่นี่หรอก พ่อฉันอยู่ปักกิ่ง”
“แม่เธอล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างสบายๆ
“หืม ฉันไม่มีแม่น่ะ”
……………………………………………..
……….