เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 320 ฉันช่วยเอง
ตอนที่ 320 ฉันช่วยเอง
……….
หลี่เหยียนมองหน้าซ่งจื่อเซวียน ราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป
อันที่จริงตอนที่คุยกับซ่งจื่อเซวียนเมื่อครู่ เขาก็พูดอะไรไปไม่น้อย ซึ่งเป็นการบอกใบ้รางๆ
ตอนนี้ดูแล้วนายท่านรองตั้งใจจะให้เขาอยู่ที่นี่ เป้าหมายนั้นชัดเจนว่าให้อยู่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ถูกต้อง หลี่เหยียนจะอยู่ร้านอาหารร่ำรวย หูเจิ้น ภายในสองวันนี้ นายต้องให้คนที่มีอยู่ตอนนี้ไปทำงานที่หลงตูให้หมด “
“รับทราบครับนายท่านรอง! “
“อีกอย่าง ขณะเดียวกันทีมเชฟของที่นี่ก็ต้องทำงานต่อ และต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ขาดคนอีกเท่าไรบอกฉันได้ ฉันจะหาวิธีจัดการเอง”
“เข้าใจแล้วครับ นายท่านรองโปรดวางใจ”
ซ่งจื่อเซวียนส่งเสียงตอบรับ แล้วสั่งให้คนครัวแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งของตนทันที
แม้ว่าอีกไม่นานจะต้องโยกย้ายตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ยังต้องเตรียมอาหารมื้อเย็น ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบถุงน้ำมันที่ปิดผนึกแล้วออกมาจากเคาน์เตอร์แคชเชียร์ แล้วพาหลี่เหยียนเข้าไปในครัว
ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบ ดังนั้นเตาทุกเตาจึงว่าง
หูเจิ้นใช้โอกาสตอนนี้ไปพักผ่อนแล้ว ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ซ่งจื่อเซวียนจะให้หลี่เหยียนทำข้าวผัดจักรพรรดิ
ซ่งจื่อเซวียนลองใช้น้ำมันตัวนี้ทำข้าวผัดจักรพรรดิมาแล้ว รสชาติไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองครั้งนี้หลี่เหยียนเป็นคนทำ คราวนี้สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนต้องการจะทำคือการมอบสิทธิ์การใช้น้ำมันถุงกับหลี่เหยียน
“นายท่านรอง เรามาที่เตาทำไมครับ คุณจะสอนผมทำข้าวผัดจักรพรรดิใช่ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เปล่า ให้นายทำเอง”
“หา? ผม…ผมทำเองเหรอครับ”
“พอได้แล้ว เลิกรนได้แล้ว เปิดไฟ”
หลี่เหยียนได้ยินดังนั้นก็ไม่ถามอะไรมากอีก รีบทำตามที่ซ่งจื่อเซวียนสั่ง
“นายท่านรอง แล้วผมต้องทำเลยไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนหยิบถุงน้ำมันในมือออกมา “ยังจำมันได้ไหม”
“นี่มัน…” หลี่เหยียนครุ่นคิด “อ๋อ ผมจำได้ ครั้งก่อนผมใช้เจ้านี่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ นายท่านรอง นี่มัน…ทำยังไงครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่ต้องถามมาก ลองทำอีกรอบซิ”
หลี่เหยียนพยักหน้าและเริ่มต้นปรุงอาหารทันที
ไข่ไก่ ข้าวสวย ผัดคลุกเคล้า…
แค่หนึ่งนาที ข้าวผัดก็ออกจากกระทะ
ตั้งแต่เริ่มทำอาหาร ทุกคนราวกับได้สัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่าง
กลิ่นหอมที่หายไปเนิ่นนาน…
หลี่เหยียนใช้น้ำมันถุง ผัดข้าวผัดจักรพรรดิออกมาสองจาน เมื่อกลิ่นโชยออกมา ก็ไม่มีอะไรผิดคาด
เพราะอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ซ่งจื่อเซวียนกล่าวว่า “หลี่เหยียน จากนี้ไปน้ำมันถุงนี้ยกให้นายใช้นะ พรุ่งนี้ร้านอาหารร่ำรวยจะวางขายข้าวผัดจักรพรรดิ นายมีหน้าที่รับผิดชอบอาหารทั้งหมดรวมถึงข้าวผัดจักรพรรดิ มีปัญหาหรือเปล่า”
“ไม่มีครับนายท่านรอง!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่าง พนักงานใหม่ที่มาที่นี่นายต้องรับหน้าที่เป็นคนเลือก สอนงาน ตั้งกฎ และนำทีมเชฟให้ดี”
“หา? หะ…ให้ผมคุมเหรอครับ”
“ใช่แล้ว หัวหน้าเชฟหลี่ ต่อไปก็ทำหน้าที่ให้ดี ส่วนข้าวผัดจักรพรรดิ…ยกให้นายทำยาวๆ เลย หวังว่านายจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันในไม่ช้า”
ฟังจบ หลี่เหยียนก็น้ำตารื้นอีกครั้ง เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาเคยเรียนวิชา ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่มีใครเคยดีกับเขาถึงขนาดนี้บ้าง
“ฮ่าๆ เป็นผู้ชายทั้งแท่ง อย่าทำแบบนี้สิ ทำตัวดีๆ หน่อย ฉันคาดหวังในตัวนายนะ!”
หลี่เหยียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
หลังจากที่อธิบายทุกอย่างแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ไปจากร้านอาหารร่ำรวย แล้วสั่งให้ฟางรุ่ยขับรถตรงไปยังตึกเฉิงไฉ
หลายวันมานี้เขาไม่ได้ติดต่อกู่เสี่ยวเป่าเลย ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย ที่ตอนนี้อวี่เหวินเซี่ยวโดนเรียกตัวกลับอาจจะมีสาเหตุ
เรื่องเลคริเซียส ได้แก๊งขอทานช่วยเหลือเอาไว้ไม่น้อย ช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่หายตัวไปไหน
ระหว่างทางเขาติดต่อกับเจิ้งฮุย ให้เขาแนะนำพนักงานครัวสองสามคนมาที่ร้านอาหารร่ำรวย
ตอนนี้เศรษฐกิจอยู่ในสภาพซบเซา มีคนตกงานมากมาย เจิ้งฮุยรับปากทันที บอกว่าพรุ่งนี้จะให้พนักงานใหม่ไปรายงานตัว
ซ่งจื่อเซวียนเองก็กลัวว่าคนจะไม่พอ เพราะหลี่เหยียนยังต้องคัดเลือก ตอนนี้ต้องให้เขาสร้างทีมครัวขึ้นมาเอง เวลาทำงานหลังจากนี้จะได้คล่องตัว
ดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซง เมื่อเป็นเรื่องของลูกน้อง ซ่งจื่อเซวียนมักจะถือคติอย่างหนึ่งคือไว้ใจคนของตน และมอบอำนาจให้เมื่อจำเป็น
แน่นอนว่าหากผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ซ่งจื่อเซวียนก็เลือกที่จะยึดอำนาจของเขากลับมาเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้กังวลกับนิสัยเอาจริงเอาจังและขี้ระแวงของหลี่เหยียนนัก
ไม่นาน รถก็มาจอดหน้าตึกเฉิงไฉ
คราวนี้รปภ.ไม่ได้ขวางเขา เห็นลูกพี่สวมเสื้อผ้ามอมแมมเดินเข้าออกตึกหลายครั้งเข้า เขาก็ไม่ตรวจสุ่มสี่สุ่มห้าอีก
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นพวกซ่งจื่อเซวียนสองคนเดินเข้ามา เขาก็ทำความเคารพอย่างเหมาะสมด้วย
มาถึงชั้นสิบสาม ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
ถึงจะบอกว่าปกติบริษัทการจัดการการลงทุนหวนอวี่ของแก๊งขอทานไม่ค่อยมีคน แต่วันนี้มันเงียบผิดปกติไปหรือเปล่า
ที่สำคัญที่สุดคือ…แม้แต่พนักงานเคาน์เตอร์ต้อนรับก็ไม่มาทำงานงั้นเหรอ
ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยสบตากัน ฝ่ายหลังเอ่ยขึ้น “นายท่านรอง พวกเราระวังตัวหน่อยดีกว่า ท่าทางผิดสังเกตพิกล”
“อืม เข้าไปดูกันเถอะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในบริษัททันที
สิ่งที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนประหลาดใจคือที่นี่ไม่มีคนมาทำงานเลย
ปกติแล้วโต๊ะทำงานของที่นี่จะมีแต่คนนั่งเต็มไปหมด ไม่ใช่ว่า…โดนเลย์ออฟไปหมดแล้วหรอกนะ
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองโทรศัพท์อีกครั้ง วันนี้ไม่ใช่วันหยุดนี่นา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกหวั่นๆ ไม่ใช่แค่เป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องกับกู่เสี่ยวเป่าหรือไม่ ประเด็นคือซางเทียนซั่วเองก็อยู่กับพวกเขาด้วย
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับซางเทียนซั่ว เขาในฐานะอาจารย์คงไม่อาจยอมรับได้
“รุ่ยจื่อ โทรหาเทียนซั่วเร็ว”
“รับทราบครับ นายท่านรอง!”
ฟางรุ่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที แต่ยังไม่ทันโทรออก เขาก็ต้องลดโทรศัพท์ลงอีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนกำลังเอ่ยถาม แต่ฟางรุ่ยทำท่าทางจุ๊ปาก แล้วกระซิบเสียงแผ่ว “นายท่านรอง มีคนครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของเขาทันที ทั้งสองคนทำตัวเงียบเชียบ รีบมุดลงไปซ่อนตัวใต้โต๊ะทำงานแล้วมองออกไปข้างนอก
ไม่นานนักก็เห็นสามสี่คนเดินผ่านไป
แต่เนื่องจากพวกเขาซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะทำงาน จึงมองไม่เห็นท่อนบนของคนเหล่านี้ เห็นแต่เท้าหลายคู่เดินไปรอบๆ
ซ่งจื่อเซวียนกวาดตามอง มีสี่คน!
“ไม่เห็นมีใครนี่” ชายน้ำเสียงราบเรียบกล่าว
“นั่นสิครับหัวหน้า ไม่เห็นมีใครสักคน” เสียงนี้ฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย
“ประตูพังล่ะสิ ข่าวไม่ผิดแน่นอน มีอะไรอีกหรือเปล่า” ชายผู้สุขุมกล่าว
“ตรงนั้นมีออฟฟิศห้องหนึ่ง ข้างในมีโต๊ะทำงานกับโต๊ะน้ำชา แต่มีขนมกับของเล่นเด็กเต็มไปหมดเลยครับ”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ ถึงได้เล่นอะไรแบบนี้ กลุ่มเสื้อผ้าสกปรกต้องโดนจัดการแล้วจริงๆ”
“หัวหน้า แต่พวกเราหาข้อมูลที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ไม่เจอเลยนะครับ มีแต่เอกสารกับรายงานเปล่าประโยชน์ ไม่มีอันที่ใช้ได้เลย”
“อืม คงจะถูกขนไปหมดแล้ว ฮ่าๆ ฝั่งนั้นก็มีข่าวเหมือนกันนี่หว่า เกมนี้…น่าสนุกชะมัด”
“งั้นพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับทีนี้ เบาะแสตรงนี้ขาดไปแล้ว พวกเราตามหาพวกมันไม่ได้แล้วล่ะครับ”
“ไม่ต้องกลัว ค่อยๆ สืบไป กลับไปรอฟังข่าวกันก่อน ฉันจะพาพวกนายไปกินข้าวด้วย อาหารตู้เหมินอร่อยระดับโลกเชียวนะ”
ชายฉกรรจ์เดินไปพลางพูดกลั้วหัวเราะไปด้วย จนลับสายตาซ่งจื่อเซวียน
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้โผล่พรวดพราดออกมา เนื่องจากนิสัยระมัดระวังตัวของเขา จึงรอสักพักก่อนจะโผล่ออกมาพร้อมๆ กับฟางรุ่ย
“นายท่านรอง ดูเหมือนจะเกิดเรื่องกับแก๊งขอทานนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นั่นสิ คนที่พวกนั้นเรียกว่าหัวหน้า น่าจะเป็นเฉินล่างจากกลุ่มเสื้อผ้าสะอาด พวกเขาหาที่นี่เจอแล้ว พวกเสี่ยวเป่าเองก็หนีออกไปแล้วด้วย”
“งั้นตอนนี้เราจะทำยังไงกันดีครับ ติดต่อเทียนซั่วดีไหม”
ซ่งจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ “ตอนนี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าจะเชื่อใจพวกเราหรือเปล่า แต่ลองติดต่อดูก่อนก็แล้วกัน “
“ครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจแล้วว่าทำไมคราวนี้กู่เสี่ยวเป่าถึงเรียกตัวอวี่เหวินเซี่ยวกลับไป ที่แท้ก็ย้ายบ้านนี่เอง
แต่เขาไม่รู้ว่าพลังของกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดเทียบกับกลุ่มเสื้อผ้าสกปรกแล้ว ทำไมถึงเลือกหนีแทนที่จะต่อสู้ เมื่อมีคนจำนวนเท่านี้บุกมาที่นี่
โทรศัพท์เชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว ฟางรุ่ยพูดจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสายไป
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“นายท่านรอง แก๊งขอทานแยกย้ายไปกันหมดแล้วครับ ส่วนพนักงานก็หยุดงานแบบได้เงินครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมา “พวกนั้นปลอดภัยก็ดีแล้ว ฮ่าๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหนกันล่ะ”
“ที่…บ้านของพวกเราครับ!”
“หา?” ซ่งจื่อเซวียนผงะไปทันที เขาเข้าใจได้ทันทีที่ว่าบ้านที่พูดถึงคือบ้านเก่า ไม่ใช่บ้านที่เพิ่งซื้อมาใหม่
แบบนี้…แสดงว่าตอนนี้พวกเขาวางแผนที่จะหนีไปอย่างเป็นทางการวันนี้
“ฮ่าๆ น่าสนุกนี่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!”
ทันทีที่มาถึงบ้าน เพียงซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าประตูก็ได้กลิ่นหอมๆ ของอาหารจานด่วนทันที
“เฮ้ พี่รอง!”
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา กู่เสี่ยวเป่าก็ฉีกยิ้มทันที
สถานการณ์ยากลำบากสำหรับเขาเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยิ้มได้ในเวลานี้ ซ่งจื่อเซวียนเดินตรงเข้าไป “เสี่ยวเป่า นายโอเคไหม”
“โอเคสิพี่รอง มา มากินเฟรนช์ฟรายด์เร็ว!”
ซ่งจื่อเซวียนโบกมือ มองไปทางอวี่เหวินเซี่ยวกับซางเทียนซั่ว “เรื่องมันเป็นมายังไง”
“ฝั่งนี้มีหนอนบ่อนไส้ เฉินล่างได้รับข้อมูลและหาตึกตึกเฉิงไฉเจอเข้า พวกเราปล่อยเรื่องของบริษัทแล้วก็มาที่นี่เลย” อวี่เหวินเซี่ยวกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “อย่างนั้นเหรอ พวกมันมีกี่คน พวกนายถึงหนีหางจุกตูดขนาดนี้”
“หลายคน เท่าที่ผมเข้าใจ รอบนี้เฉินล่างมาเอง และพอดูจากกล้องวงจรปิด หน้าตึกเฉิงไฉมีแต่คนของกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดเต็มไปหมด
พวกมันดูเหมือนจะเข้ามาทำภารกิจของใครของมัน แต่พวกมันเจอเราเมื่อไรคงจะลงมือแน่”
ซ่งจื่อเซวียนฟังจบก็ปิดปาก “เสี่ยวเป่า นายคิดจะทำยังไง”
“ฮ่าๆ ยังไงก็ได้ ยังไงบริษัทก็หยุดแล้ว พวกเขาอยากไปเที่ยวในตู้เหมิน ก็ให้พวกเขาเที่ยวไป” เห็นได้ชัดว่ากู่เสี่ยวเป่ายังคงไม่แยแสเช่นเคย
อวี่เหวินเซี่ยวเอ่ย “ผู้อาวุโสทั้งแปดหลายคนมาพักที่เกสต์เฮาส์หน้าทางเข้าที่นี่ เสี่ยวเป่าบอกว่าพวกเขามาตู้เหมินทั้งทีน่าจะพักที่โรงแรมมีเกรด เกสต์เฮาส์ขนาดเล็กก็ปลอดภัยที่สุด”
“ฮ่าๆ เสี่ยวเป่าเฉียบสุดๆ ถ้างั้นพวกนายซ่อนชามเมฆครามไว้ดีหรือยัง หรือว่าเอาติดตัวมาด้วย?”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่านี่เป็นจุดประสงค์ที่เฉินล่างมา ขอแค่มีชามเมฆคราม เขาก็จะสั่งการแก๊งขอทานได้ แต่ตอนนี้เขาเป็นได้แค่หัวหน้ากลุ่มเสื้อผ้าสะอาดเท่านั้น
กู่เสี่ยวเป่าพูด “พี่รองไม่เห็นมันหรือไง”
“หา? ฉันจะเห็นมันได้ยังไง”
“ก็อยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับไง ฉันวางไว้แถวๆ นั้น”
หวืด…
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จะพูดอะไรดี เจ้าเด็กนี่มันน่านัก คนอื่นตามหาชามเมฆครามกันให้ควั่ก เขาดันเอาไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับซะได้
แต่จากบทสนทนาที่ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเมื่อครู่ เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ชามเมฆครามไป
อันที่จริงวิธีนี้ดูเหมือนจะได้ผลดี ถ้าอีกฝ่ายจะค้นหา อย่างไรพวกเขาก็ต้องไปค้นที่ออฟฟิศของกู่เสี่ยวเป่าและอวี่เหวินเซี่ยว
รื้อหาอย่างไรก็หาไม่เจอ และไม่มีทางหาในโต๊ะทำงานทุกโต๊ะได้ เพราะตามตรรกะของมนุษย์ทั่วไป กู่เสี่ยวเป่าน่าจะถือมันติดมือไปด้วย
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าไอ้เด็กนี่จะทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ที่ที่ชัดเจนที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
“เสี่ยวเป่า นายนี่มันเก่งจริงๆ นะ ใจกล้าแบบระมัดระวังไม่มีใครเกิน!” ซ่งจื่อเซวียนลูบหัวกู่เสี่ยวเป่าพลางเอ่ย
อวี่เหวินเซี่ยวทอดถอนใจ “น่าเสียดายที่กลุ่มเสื้อผ้าสกปรกมีหลายคนเป็นขอทานจริงๆ ยอดฝีมือมีไม่ค่อยมาก ไม่อย่างนั้นผมจะร่วมมือกับพวกเขาแน่นอน”
“ฉันช่วยเอง!” ฟางรุ่ยตอบทันที!
………………………………………
……….