เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 32 ควรแข็งก็ต้องแข็ง
ตอนที่ 32 ควรแข็งก็ต้องแข็ง
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว เพราะซอยที่เขาอยู่แม้แต่ไฟประจำทางก็ไม่มี ดังนั้นกลางดึกที่มืดมิดจึงมองหน้าคนคนนี้ไม่ชัดเลยสักนิด แต่…รูปร่างกลับรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
“อาจารย์ ทำไมอาจารย์กลับมาดึกขนาดนี้ ผมรออยู่นานแล้ว”
ได้ยินเสียงนี้ ในใจซ่งจื่อเซวียนก็ผ่อนคลายลง แต่ก็รู้สึกโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย พูดว่า “ซางเทียนซั่ว วิธีที่นายโผล่หัวออกมาต้องเป็นแบบนี้ด้วยเหรอ”
“ทำไมล่ะ อาจารย์ คงไม่ใช่ว่าอาจารย์ตกใจหรอกใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจยาว “ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว นายหาฉันมีเรื่องอะไร”
“ครับ อาจารย์ ผมคิดอยู่นาน อยากจะคุยกับอาจารย์พรุ่งนี้ แต่รอไม่ไหวแล้ว ผมไม่รู้ว่าบ้านของอาจารย์อยู่ไหนด้วย ถึงได้มารออาจารย์ที่ซอยนี่” ซางเทียนซั่วพูด
“เรื่องอะไร”
“ผมคิดว่าในเมื่อผมก็คารวะอาจารย์แล้ว ก็ควรจะเรียนทักษะอะไรสักอย่าง ผมอยากไปทำงานที่ภัตตาคารนั่นของพวกอาจารย์ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด ถ้าซางเทียนซั่วไปที่ต้าสือไต้จริงๆ จะต้องทำให้ครัวด้านหลังวุ่นวายเละเทะแน่ๆ อย่างน้อยเขาก็คงไม่มีทางไม่คุ้นชินกับนิสัยถือดีของโจวเผิงหรือเจิ้งฮุย
เขาก็เพิ่งได้ทำงานวันแรก ถ้าอย่างนี้…เกรงว่าหลังจากนี้คงยากจะคบค้าสมาคมกับพวกเขาแล้วจริงๆ
“เรื่องนี้คงไม่ได้หรอก ครัวด้านหลังต้าสือไต้เดิมมาเป็นทีมอยู่แล้ว นายก็ปรับตัวเข้าไปไม่ได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น…ที่จริงฉันก็ไม่มีอะไรจะสอนนายได้” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินไปที่บ้านฟางจิ่งจือต่อ
แต่ซางเทียนซั่วยังคงตามมา “อย่างนี้ผมก็คารวะเสียเปล่าน่ะสิ งั้นไม่ได้หรอก ผมต้องได้เรียนอะไรจากอาจารย์สักอย่าง”
“เดิมมันก็เป็นแค่พนัน ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลย งั้นก็ถือว่านายไม่ได้คารวะก็พอแล้วนี่” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้า พูดตามตรงว่าเหมือนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ถึงอย่างไรในแก๊งของเขา เขาเป็นลูกพี่ ยังไม่เคยมีใครกล้ามองข้ามเขามาก่อนเลย….
แต่ลังเลอยู่เพียงครู่ เขาก็เดินตามมา “อย่างนั้นไม่ได้ ทำอะไรไว้ก็เป็นการเดินท่องยุทธภพแล้ว ผมบอกว่าคารวะอาจารย์แต่ตอนนี้ไม่คารวะแล้วจะไม่กลายเป็นคนกลับกลอกหรอกเหรอ ผม ซางเทียนซั่วไม่ทำเรื่องแบบนั้น อาจารย์จะสอนหรือไม่สอนผมก็เป็นอาจารย์ของผมอยู่ดี”
ซ่งจื่อเซวียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ชายคนนี้น่าสนใจจริงๆ แต่คำพูดนี้กลับมีสัจจะมาก ในยุคสมัยนี้ สัจจะเหมือนจะกลายเป็นเรื่องโอเวอร์ เห็นแก่ตัวกลับเป็นเรื่องปกติ
“บางทีหลังจากนี้ฉันอาจจะมีเรื่องที่สอนนายได้ก็ได้ แต่ตอนนี้…ฉันไม่มีอะไรจะสอนจริงๆ อีกอย่างต้าสือไต้ก็ไม่ใช่ร้านของฉัน ที่นั่นมีผู้จัดการ หัวหน้าเชฟ อยากจะเข้าไปก็ลำบาก” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ เรื่องนั้นไม่เป็นไรเลย แค่อาจารย์ยินยอม ผมก็มีวิธีอยู่บ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ตามใจนายเถอะ ฉันถึงแล้ว”
พูดจบ เขาก็เดินเข้ามาในลานบ้านของฟางจิ่งจือ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าซางเทียนซั่วจะเดินตามเข้ามาอีก ซ่งจื่อเซวียนพูด “ใครให้นายเข้ามาเนี่ย”
“ทำไมล่ะอาจารย์ ผมไม่ได้เป็นขโมยซะหน่อย อาจารย์กลัวอะไร”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงของฟางจิ่งจือก็ดังออกมา “หลานเอ๊ย ทำไมถึงโวยวายเสียงดังขนาดนั้น แกพาคนมาด้วยเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองซางเทียนซั่วอย่างดุๆ แวบหนึ่ง เดินเข้าไปในบ้านทันที พูดว่า “ไม่มีอะไรปู่ เพื่อนผมน่ะ”
“ปู่?” ซางเทียนซั่วชะงัก ถึงได้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของซ่งจื่อเซวียน จึงรีบเดินตามเข้ามาทันที หัวเราะแหะๆ พูด “ทวดครับ ผมไม่ได้เป็นเพื่อนอะไรเลยครับ ผมเป็นลูกศิษย์เขา”
“โห ใช้ได้นี่หลาน ยังกล้ารับลูกศิษย์ด้วยเหรอ” ฟางจิ่งจือชำเลืองมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนมองไปทางซางเทียนซั่ว “ซางเทียนซั่ว นายนี่ก็หน้าด้านไปหน่อยมั้ง ฉันไม่ได้ให้นายเข้ามาสักหน่อย อีกอย่างนายเรียกใครว่าทวดน่ะ”
ซางเทียนซั่วที่ถูกถามก็รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ได้กลิ่นสุราในห้อง ก็เข้าใจอะไรทันที เขายิ้มพลางหยิบขวดสุรามาจากหัวเตียงแล้วรินสุราใส่แก้วบนโต๊ะตัวเล็กจนเต็มส่งให้ฟางจิ่งจือ
“ทวดดื่มเถอะครับ นี่อาจารย์กำลังจะโกรธผมแล้ว”
ฟางจิ่งจือรับแก้วสุราก็มีความสุขทันที “ใช้ได้ ฉันว่าใช้ได้เลย ไอ้หนู ลูกศิษย์แกที่รับมานี่ใช้ได้เลยนะ เป็นการเป็นงาน!”
ซ่งจื่อเซวียนหงุดหงิด ในใจคิดว่า ‘เจ้าหมอนี่ดันประจบประแจงเป็น รินเหล้าก็หลอกชายชราได้แล้ว..’
“ใช่ไหมล่ะครับทวด ถ้าผมไม่เป็นการเป็นงาน อาจารย์เขาจะรับผมมาได้ยังไง ไม่อย่างนั้น…ทวดช่วยผมพูดหน่อยสิครับ อาจารย์ผมเขากำลังจะไล่ผมออกจากสำนักแล้ว” ซางเทียนซั่วใช้โอกาสนี้ขยับเข้าใกล้แล้วพูด
“หืม มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ ฉันจะช่วยแกได้ยังไง แต่…” ฟางจิ่งจือเหลือบมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง พูดเสียงเบา “ไอ้หนู แกซื้อเหล้าให้ฉันได้ไหม”
ซางเทียนซั่วนึกว่าจะเกิดเรื่องแล้ว ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักไปสองวินาที หลังจากนั้นก็พูดเสียงเบา “ได้อยู่แล้วครับ ทวดดื่มอะไรครับ เอาเท่าไร ผมจะไปซื้อให้ทวดตอนนี้เลย”
“โฮ่ หลานเอ๊ย มาถูกทางแล้ว อย่างนั้นฉันจะช่วยแกเรื่องนี้เอง!” ฟางจิ่งจือยิ้ม พิงกลับไปทันที
เห็นทั้งสองคนซุบซิบกัน ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว “เฮ้ยๆๆ ตาเฒ่าคุยอะไรกัน ผมบอกปู่เลยนะ อย่าถูกซื้อง่ายๆ แบบนั้นสิ”
ฟางจิ่งจือไม่สนใจเขา มองออกไปนอกหน้าต่าง พูดว่า “โธ่ อายุก็ปูนนี้แล้ว ใครซื้อเหล้าให้ก็สนิทกับคนนั้นแหละ”
“ฮ่าๆ ทวดครับ ทวดพูดอย่างนี้ผมก็ใจชื้นแล้ว ผมจะไปซื้อให้ตอนนี้เลย!”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็ลุกขึ้นยืนวิ่งออกไป
ซ่งจื่อเซวียนชี้ไล่หลังซางเทียนซั่วพลางพูด “เฮ้อ ผมถามเลยนะปู่ฟาง ปู่เล่นลูกไม้อะไรถึงได้สนิทสนมกันเร็วขนาดนี้เนี่ย”
ฟางจิ่งจือหันหน้าไปมองซ่งจื่อเซวียนช้าๆ แวบหนึ่ง พูดว่า “เด็กอย่างแกจะเข้าใจอะไร แกว่าฉันแก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือไง ไอ้เด็กคนนั้นมันเป็นมายังไง”
“ฮะ อะไรคือเป็นมายังไง ก็รับลูกศิษย์คนหนึ่ง แต่ผมพูดออกไปปู่ก็คงไม่เชื่อ…”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องที่รับซางเทียนซั่วให้ฟังรอบหนึ่ง ชายชราก็มีความสุขขึ้นมา “เจ้าเด็กแสบคนนี้น่าสนใจจริงๆ แต่ก็หุนหันไปหน่อย”
“เหอะๆ นิดหน่อย ปู่ ตอนนี้ผมเพิ่งไปทำงานที่ร้านอาหาร ให้เขาตามไปด้วยจะต้องไม่เหมาะแน่ๆ เลย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไม่เหมาะ ไม่เหมาะยังไง ให้ผู้จัดการกับหัวหน้าเชฟนั่นรังแกแกนั่นเหมาะแล้วเรอะ” ฟางจิ่งจือพูด
“หา? ปู่…หมายความว่ายังไง”
“ไอ้เด็กคนนี้ไม่ได้มีฝีมือทำอาหารอะไร แต่ทักษะมีดก็เป็นทักษะอย่างหนึ่ง ถือว่ามีอนาคตอยู่บ้าง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาช่วยแกได้ไม่น้อยเลย ตอนนี้แกก็เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ดูแล้วก็ควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ต้องแยกแยะสถานการณ์ เข้าใจไหม”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วน้อยๆ “ปู่หมายความว่ายังไง”
“เสียทีที่ข้าบอกว่าแกฉลาด โง่ชัดๆ เลย” ฟางจิ่งจือดื่มสุราหนึ่งอึก พูดว่า “ตามปกติแล้ว เป็นเด็กใหม่เข้าไปก็ควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนเสียหน่อย แต่ก็ต้องดูด้วยว่าสถานการณ์เป็นยังไง เผชิญหน้ากับผู้จัดการกับหัวหน้าเชฟกากเดนแบบนั้น จะยอมทนไม่ได้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนทำหน้าไม่เข้าใจ สิ่งที่พูดมาไม่เหมือนกับสิ่งที่ชายชราเคยสอนเขาเมื่อก่อนเลยสักนิด
“ความหมายของปู่คือ…ให้เทียนซั่วโวยวายตอนที่ควรโวยวายเหรอ”
“ไม่งั้นจะยังไงล่ะ แกต้องรู้ว่าคนบางจำพวกก็ปล่อยตามใจไม่ได้ ยิ่งแกตามใจพวกเขาก็ยิ่งเหิมเกริม พวกเขาเหิมเกริมก็ส่งผลต่อการพัฒนาของแกแน่นอนไม่ใช่เหรอ บางที…” ฟางจิ่งจือพูดพลางชูหมัดมาหยุดที่หน้าของซ่งจื่อเซวียน “ควรแข็งก็ต้องแข็งขึ้นมา!”
ฟังคำพูดนี้จบ ซ่งจื่อเซวียนก็เงียบครู่หนึ่ง ในหัวก็ปรากฏภาพที่โจวเผิงกับเจิ้งฮุยตำหนิเขา…
ท่าทางของเขาก็ค่อยๆ เอาจริงเอาจังขึ้นมา ค่อยๆ เผยความดุดัน เขาพยักหน้าเบาๆ “ปู่พูดถูก อดทน…กลับทำให้คนพวกนั้นยิ่งทำตามอำเภอใจได้ไม่เกรงใจใครเลย”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ไอ้หนู ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนพวกนั้นต้องถึงขั้นปั้นเรื่องไล่แกออกไปแน่ ตอนนี้พาซางเทียนซั่วเข้าไปจะมีประโยชน์กับแกมากกว่า”
“เรื่องนี้ไม่ยาก ผมโทรหาหลินเทียนหนานสักหน่อยก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
“เอาล่ะ ที่ควรพูดก็พูดจบแล้ว แกออกไปดูเจ้าเด็กนั่นเสียหน่อยทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้ ซื้อเหล้ายังไงยังไม่กลับมาอีก!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เหอะ ปู่ เราคุยกันแล้วนี่ เหล้าหนึ่งขวดสามวัน ที่ซางเทียนซั่วซื้อมาก็ช่างเถอะ”
“แกนี่ไร้สาระ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าชนะมาเอง ไม่นับสิ ที่แกควรซื้อมาก็ต้องซื้อมา” ฟางจิ่งจือพูดขึ้นเสียง
ซ่งจื่อเซวียนวิ่งไปที่ประตูในพริบตา “อะไรคือปู่ชนะมา ในเมื่อไม่มีใครแข่งกับปู่นี่ คุยกันว่าสามวันก็คือสามวันสิ!”
“แก…” ฟางจิ่งจือไม่ทันพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วิ่งออกไปแล้ว
เพิ่งจะวิ่งออกจากบ้านไป ก็เห็นซางเทียนซั่วเดินเข้ามาพอดี เขารับสุราสองขวดมาดู นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอู่เหลียงเย่[1]
แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาพูดอะไรมากนัก ตรงเอาไปวางบนโต๊ะในลานบ้าน ร้องเรียก “ตาเฒ่า วางเหล้าไว้ให้บนโต๊ะนะ พรุ่งนี้เช้าปู่ค่อยหยิบเข้าไปเองแล้วกัน!”
พูดจบ เขาออกแรงทำท่าทางต่างๆ สองสามทีแล้วก็ลากซางเทียนซั่วจากมา
ฟางจิ่งจือยิ้ม “เจ้าเด็กเวรนี่…”
เดินมาถึงซอย ซางเทียนซั่วถึงมีโอกาสได้พูด “อาจารย์ ผมยังไม่ได้บอกลาทวดเลย ทำ…ไมถึงออกมาแล้วล่ะ”
“บอกลาอะไร เอ๊ะ นายติดอ่างอะไร”
“ใคร…ใครติดอ่าง ผมก็แค่วิ่งมาเลยหอบนิดหน่อย ตก…ตกใจน่ะสิ…”
ฟังซางเทียนซั่วพูดตะกุกตะกัก ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา “เอาเถอะ นายกลับบ้านได้แล้ว ไว้เดี๋ยวฉันจะโทรหานายให้นายไปทำงานที่ภัตตาคาร”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็จากไป ซางเทียนซั่วยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมสี่ห้าวินาทีถึงได้สติ เผยรอยยิ้มออกมา “ยอม…ยอมแล้ว อย่างนั้นฉันก็ต้องรอข่าวจากอาจารย์แล้ว”
กลับถึงบ้าน ในใจซ่งจื่อเซวียนก็ตื่นเต้นขึ้นมา ถึงอย่างไรเรื่องแรกที่เขาต้องทำก็คือเอาเงินเดือนเดือนแรกไปให้แม่ เกรงว่าหลายปีมานี้เงินเดือนรวมกันของพวกเขาสองแม่ลูกก็ไม่ได้มากมายเท่านี้…
แต่ทันทีที่เข้าประตูมาก็เห็นว่าไฟไม่ได้เปิดอยู่ ซ่งจื่อเซวียนตกใจ ในใจของเขามีแม่เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขารีบตะโกนเรียกแม่หนึ่งคำ ขณะเดียวกันนั้นก็เปิดไฟ
จนกระทั่งเห็นกระดาษโน้ตบนโต๊ะที่หานหรงทิ้งไว้ เนื้อหาง่ายมาก ‘กับข้าวอยู่ในหม้อ แกอุ่นสักหน่อยค่อยกิน ฉันไปหาพี่สาวแก ค้างสองวันก็กลับ’
ซ่งจื่อเซวียนถึงได้วางใจ แต่ขณะเดียวกันก็ปวดใจ แม่ออกไปก็ไม่รู้ว่าพกเงินไปเท่าไร เขารู้สึกว่าแปดหมื่นหยวนที่อยู่ในมือตนเองเหมือนกับอกตัญญูมากอย่างไรอย่างนั้น…
เขารีบโทรหาแม่ทันที หานหรงบอกเขาว่าถึงที่หมายอย่างปลอดภัยให้เขาวางใจได้แล้ว แม่ลูกคุยกันอีกสองสามประโยค ซ่งจื่อเซวียนถึงรู้สึกดีขึ้น
กินข้าวไปสองคำลวกๆ ก็ล้มตัวลงนอน ตอนที่เริ่มง่วงเล็กน้อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ซ่งจื่อเซวียน นายหลับหรือยังอ่ะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก แต่ซ่งจื่อเซวียนก็นึกออกทันทีว่าเป็นใคร ใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันที…
……………………………………….
[1] อู่เหลียงเย่ (五粮液) คือสุราขาวชื่อดังยี่ห้อหนึ่งของจีน