เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 319 ล้างบาง
ตอนที่ 319 ล้างบาง
……….
เมื่อได้ยินประโยคนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกผิดคาด
ถ้าคนตรงหน้าเป็นแค่เชฟธรรมดาคนหนึ่งก็คงจะดี เพื่อชื่อเสียงโชคลาภ การยกย่องซ่งจื่อเซวียนเป็นอาจารย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อพิจารณาจากความสามารถของซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้
แต่กับหลี่เหยียน…
เขาเป็นคนเย็นชา แต่ก็เลือดร้อน ซ่งจื่อเซวียนเชื่อว่าเขาเป็นลูกผู้ชายจากก้นบื้งของหัวใจ
ตอนนี้สามารถเปลี่ยนจากคนที่คิดจะท้าประลองกับเขา เป็นคนที่ตั้งใจจะติดตามเขา นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
“หลี่เหยียน นายไม่อยากท้าแข่งกับฉันอีกแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนถามอีกครั้ง
หลี่เหยียนพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ครับ ผมอยากทำงานกับนายท่านรองนับแต่นี้ไป จะให้ทำอาหารหรือให้ทำงานจิปาถะ ขอแค่คุณสั่งมาคำเดียว ผมจะไม่ฝากตัวเป็นศิษย์ ไม่อยากให้คำที่โสโครกในใจของผมทำให้ชื่อของนายท่านรองแปดเปื้อน!”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสะท้อนใจ โสโครกงั้นเหรอ? คำว่าอาจารย์ในความหมายของหลี่เหยียนถูกนิยามเช่นนี้นี่เอง…
อาจารย์ของเขาทำร้ายเขาขนาดไหนนะ
“นี่…พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องพวกนั้นหรอก แค่นายอยู่ต่อฉันก็ดีใจสุดๆ แล้ว”
ดวงตาของหลี่เหยียนเป็นประกาย พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
บนใบหน้าที่แสนเย็นชานี้ ซ่งจื่อเซวียนได้เห็นรอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายปี และยังได้เห็นหยดน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งรินออกมาสักครั้งในชีวิต
แต่ด้วยเหตุนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกว่าหลี่เหยียนไม่ใช่คนที่เย็นชา แต่ถูกความเป็นจริงทำร้าย
ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่เลือดร้อน มีความกระตือรือร้นและอ่อนไหว แต่เพราะสิ่งที่เขาเผชิญจึงทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้
รวมไปถึงรอยบากบนใบหน้าของเขาด้วย
“หลี่เหยียน ตอนนี้นายยังอยากเอาคืนไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หากความคับแค้นใจของหลี่เหยียนยังไม่จางหายไป การอยู่ที่นี่ต่อไปจะเป็นการทำร้ายเขาเช่นกัน
และผลกระทบจากการทำร้ายที่ว่านี้ไม่ได้ส่งผลถึงทักษะของเขา แต่ส่งผลต่อชีวิตของเขา
ความเกลียดชังนี้อยู่ในใจตลอดไป ชีวิตของเขาย่อมไม่มีทางมีสีสันหรือความมืดมิด
หลี่เหยียนครุ่นคิด “ผม…ผมไม่รู้”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่เป็นไร งั้นก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกันไป หลี่เหยียน ถ้าความโกรธแค้นในใจของนายไม่จางหาย หลังจากนี้ไปนายจะไม่มีความสุขนะ”
หลี่เหยียนพยักหน้าช้าๆ
ที่จริงแล้วในบ้างครั้ง คนเราก็เข้าใจเรื่องคุณธรรมดี แต่จะควบคุมตัวเองได้หรือไม่ต่างหากที่สำคัญ
หลี่เหยียนในเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น
“ฉันสงสัยมาก ว่านายถูกกดขี่ขนาดนี้ ไปฝึกทักษะการทำอาหารแบบตอนนี้ได้ยังไง”
หลี่เหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันคลี่ยิ้มที่ดูจงใจ
“ครูพักลักจำน่ะครับ อาจารย์ของผมบอกว่าผมมันเป็นไอ้โง่โดยกำเนิด เลยไม่ยอมสอนอะไรให้ผมเลย แค่เรียกผมไปงานจิปาถะ หรือกระทั่งไปเป็นลูกมือของพวกศิษย์พี่ศิษย์น้อง ผมก็เลยได้แต่แอบจำมาน่ะครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจเฮือก จะว่าไปแล้วหลี่เหยียนก็น่าสงสารจริงๆ
ฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว แต่อาจารย์ไม่สอนให้ ก็เลยต้องครูพักลักจำ…
พูดถึงครูพักลักจำที่จริงก็ไม่ใช่คำที่ดีนัก แต่ถ้าเขาได้ร่ำเรียนสักครึ่งหนึ่งจะต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ไหม
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปครู่ใหญ่ๆ ชั่วขณะหนึ่ง ภายในห้องก็เงียบสนิท
หลี่เหยียนก้มหน้ามองโต๊ะ ราวกับดำดิ่งลงไปในห้วงความทรงจำ
เขาแสดงสีหน้าโศกเศร้าและโกรธขึ้งสลับกันเป็นพักๆ เห็นได้ชัดว่าความทรงจำเหล่านั้นไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสำหรับเขา
“อาจารย์ของนายคือ…”
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ จนกระทั่งซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
หลี่เหยียนผงะ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนเองก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรอีก เพราะเขารู้ว่าสภาพจิตใจหลี่เหยียนหนักอึ้ง เรื่องบางเรื่องคงไม่อยากพูดออกมา
ทว่าหลี่เหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ยอดเชฟตะวันออกเฉียงเหนือ เฉียวอวิ๋นชิง”
ยอดเชฟตะวันออกเฉียงเหนือ? ช่างเป็นชื่อที่ฟังดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง…
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
เห็นสีหน้าซ่งจื่อเซวียน หลี่เหยียนก็แค่นหัวเราะออกมา “นายท่านรอง คุณไม่รู้จักก็ไม่แปลก ผมเองตั้งแต่จากแถบตะวันออกเฉียงเหนือมา ถึงได้รู้ว่าชื่อเสียงเขาไม่ได้เท่าไร ฉายานี้น่าจะตั้งเองซะด้วยซ้ำ
เขาทำอาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก เน้นไปที่เมนูเส้น ทักษะการใช้มีดคล่องแคล่ว แต่ทักษะทำอาหารเทียบกับแถบเหนือหรือแถบอื่นๆ ไม่ติดเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ดูเหมือนจะเป็นที่รู้จักด้านฝีมีดสินะ”
“ใช่ครับ แกะสลักบนเส้น อาหารขึ้นชื่อของเขาคือบะหมี่ฝู่โช่ว แต่ข้างในไม่ใช่เส้นบะหมี่ แต่เป็นแผ่นแป้งหนึ่งหมื่นเส้น
แผ่นแป้งมีทั้งหมดสิบแปดแผ่น ทุกแผ่นมีขนาดเท่ากันหมด ทุกแผ่นมีกลีบดอกไม้สิบแปดกลีบ เวลาปรุงสุกแล้วจะมองเห็นรูปร่างของกลีบดอกไม้ชัดเจน”
ฟังหลี่เหยียนเล่าจบ ซ่งจื่อเซวียนก็แอบทอดถอนใจลึกๆ ไม่ได้
งานแกะสลักนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยาก เชฟหลายคนแกะสลักเต้าหู้ได้ด้วยซ้ำ
แต่การรักษาความสมจริงของรูปแกะสลักให้ได้หลังจากปรุงเสร็จแล้วต่างหาก คืองานหินของจริง
ดูเหมือนว่ายอดเชฟตะวันออกเฉียงเหนือคนนี้จะมีทักษะอะไรบางอย่างจริงๆ
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงรับศิษย์ได้ ทักษะการใช้มีดแบบนี้ถือเป็นทักษะขั้นสูงของวงการอาหารจีนอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลี่เหยียนพยักหน้า “ใช่ครับ ความสร้างสรรค์ของเมนูเส้นเป็นจุดเด่นของอาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่อาหารอื่นๆ ไม่เหมาะจะเอาขึ้นโต๊ะเท่าไร ด้านสีสัน กลิ่น รสชาติ มีเพียงสีสันเท่านั้นที่ไม่ผ่านมาตรฐาน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ประเภทอาหารต่างกัน ความต้องการย่อมไม่เหมือนกัน อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจจะเป็นตระกูลอาหารไม่ได้ แต่ในแง่หนึ่งก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนะ”
“เหอะ เอกลักษณ์มีประโยชน์อะไรล่ะครับ คนทำอาหารเฮงซวย อาหารมันจะอร่อยได้ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “หลี่เหยียน นายจำคำคำนี้ไว้ให้ดีนะ สิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับนายคือการเป็นคนดี ทิ้งความคับแค้นไป”
“นายท่านรอง ผมจะจำไว้ ผมจะพยายามปรับปรุงตัวเองครับ”
“ฮ่าๆ หลี่เหยียน งั้นอาหารอื่นๆ นายเรียนมาจากที่ไหนบ้างล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ตามตำราอาหาร ร้านอาหารต่างๆ หลังจากที่ผมไปจากยอดเชฟตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว อย่างแรกผมก็ไปทำงานเป็นลูกมือในร้านอาหาร ทุกวันหลังจากเลิกงาน ผมจะแอบฝึกวิชา
เถ้าแก่บางคนพอรู้เข้าก็ไล่ผมออก บางคนไม่รู้ผมก็ฝึกอีก ก็ฝึกแบบนี้ล่ะครับ”
ฟังจบ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ทั้งที่เรียนทำอาหาร แต่หนทางการเรียนของหลี่เหยียนนั้นช่างลุ่มๆ ดอนๆ เหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้น…เขายังสูญเสียศักดิ์ศรีอีกด้วย
“เหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
หลี่เหยียนส่ายหน้า “แค่ได้เรียน ได้ฝึกไม่กี่ครั้งผมก็ตื่นเต้นแล้วครับ นายท่านรอง ยิ่งพอมาอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวย ผมได้สัมผัสตะหลิวอย่างเปิดเผย มันรู้สึกดีมากๆ เลยครับ”
พูดมาถึงตรงนี้ หลี่เหยียนก็สะอึ้นอีกรอบ
“ตอนที่มาถึงร้านอาหารร่ำรวย ผมรู้สึกได้ถึงความงดงามที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน ที่แท้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็เป็นแบบนี้สินะ “
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ เขาเข้าใจ ถึงแม้ว่าช่วงแรกที่มาอยู่ร้านสวนชุนสยา หลี่เหยียนจะได้เงินเดือนน้อยนิด แต่เวลาทำอาหารเป็นการส่วนตัว เขาก็ต้องแอบเข้าไปใช้ครัว
เขารักการทำอาหารมากจนล้น ลำพังความรักที่เขามี ก็แทบไม่มีเชฟคนไหนเปรียบเทียบได้
หลังจากพูดคุยแบบผ่อนคลายอีกเล็กน้อย พวกเขาก็ลงไปชั้นล่าง
หลี่เหยียนไปช่วยงานในครัว ส่วนซ่งจื่อเซวียนหันไปสนใจร้านอาหารร่ำรวยอย่างหาได้ยาก
ช่วงกลางวันบรรยากาศเงียบเหงา มีลูกค้าแค่สี่โต๊ะ ถ้าแนวโน้มเป็นแบบนี้ต่อไป รายได้ของร้านคงติดลบอย่างแน่นอน
หยางกังเอ่ย “นายท่านรอง เห็นแล้วใช่ไหมครับตอนนี้กิจการเป็นแบบนี้ จะตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“หา? นายท่านรอง พวกเรากังวลกันแทบตายนะครับ ช่วงนี้กิจการเป็นแบบนี้ตลอดเลย”
หยางกังส่ายหน้าและพูดต่อ “ที่จริงพวกเราไม่ได้ห่วงเรื่องเงินเดือนหรอกครับ ผมรู้ว่านายท่านรองควักกระเป๋าตัวเองจ่ายให้พวกผม แต่พวกเราทำมานานมากแล้ว พวกพี่ๆ น้องๆ เริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะครับ”
“ฮ่าๆ หยางกัง ไม่รู้ว่านายจะมีมุมนี้ด้วย อีกไม่นานร้านอาหารร่ำรวยก็จะโด่งดังขึ้นมาแล้วล่ะ”
“ครับ? นายท่านรอง นี่แสดงว่า…คุณมีแผนแล้วใช่ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “หยางกัง นายไปเอาป้ายเมนูข้าวผัดจักรพรรดิมาตั้งไว้หน้าร้านด้วยนะ”
หยางกังได้ยินดังนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที “หา? นายท่านรองจะกลับมาทำข้าวผัดจักรพรรดิแล้วเหรอครับ”
ในสายตาของหยางกัง ไม่มีเรื่องใดจะดีไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว
ร้านอาหารร่ำรวยจะดังเปรี้ยงปร้างหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับข้าวผัดจักรพรรดิ ตอนนี้นายท่านรองกลับมาทำเมนูซิกเนเชอร์แล้ว เหล็กกำลังจะติดไฟแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนไม่ตอบ เพียงแต่สั่งให้เขาไปทำ
“จริงสิหยางกัง ช่วงนี้โจวเผิงไม่มาเลยเหรอ”
“ใช่ครับ หมอนี่ไม่มาหลายวันแล้ว ลาก็ไม่ลา เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่เป็นไร ช่วงนี้ทางท่านผู้เฒ่าหลิงก็ฟื้นตัวจนเกือบหายดีแล้ว อีกไม่นานเข่อเอ๋อร์น่าจะกลับมาแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นช่วยบอกเธอให้ทีว่าโจวเผิงจะถูกไล่ออก”
“ได้เลยครับนายท่านรอง ได้ยินคำนี้แล้วมันชื่นใจจริงๆ ผมรู้สึกมานานแล้วว่าเจ้านี่มันแปลกๆ ท่าทางไม่ปกติ”
พูดจบหยางกังก็เหมือนจะนึกอะไรออก “จริงสินายท่านรอง นายท่านซางก็ไม่มาเหมือนกัน ไปด้วยกันหรือเปล่าครับ”
“เขาน่ะนะ? ฉันไล่นายออกได้ แต่ยังไงก็ไล่เขาออกไม่ได้ เลิกเถียงกับฉันได้แล้ว ไปทำงาน!” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“ครับผม!”
หลังจากช่วงพีคตอนกลางวัน ซ่งจื่อเซวียนก็เรียกประชุมทีมเชฟ
หูเจิ้นและคนอื่นๆ ต่างมานั่งรอที่โต๊ะแล้ว
“เหล่าหู ตอนนี้พอใจกับการทำงานหรือเปล่า”
“พอใจสิครับนายท่านรอง แต่ช่วงนี้ร้านเงียบเหงาไปหน่อย เป็นความรับผิดชอบของผมเอง อาจจะเป็นปัญหาเรื่องเมนูก็ได้ครับ”
หูเจิ้นยังคงจริงจังกับการทำงานเหมือนเคย แค่ซ่งจื่อเซวียนถาม เขาก็ออกตัวรับผิดชอบทันที
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ฮ่าๆ ฉันไม่ได้ถามหาความรับผิดชอบเสียหน่อย จริงสิ ช่วงนี้หาคนครัวเพิ่มได้บ้างไหม จากเท่าที่นายมีอยู่”
“ได้สิครับ ทีมเชฟครึ่งหนึ่งก็ไม่มีปัญหา”
“ครึ่งหนึ่ง? หาทั้งทีมไม่ได้เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“นายท่านรอง มันต้องเข้าขากัน อีกอย่างหลายๆ ตำแหน่งก็หน้าที่ซ้ำซ้อนด้วย ถ้าหามาทั้งหมดกลัวว่าจะไม่จำเป็นน่ะสิครับ”
หูเจิ้นพูดมาถึงตรงนี้ แต่ยังไม่ทันพูดจบก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “นายท่านรอง ถามทำไมล่ะครับ จะเปิดร้านใหม่เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้ายิ้มๆ “เปล่า ครัวร้านอาหารร่ำรวยต้องมีการล้างบาง!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ ทำเอาทุกคนในครัวตกตะลึง
นี่มันหมายความว่าอะไร ถูกไล่ออกยกแผงงั้นเหรอ ให้ตายสิ นายท่านรอง พวกเรายกย่องให้คุณเป็นนาย คุณกลับมาทำแบบนี้เหรอ
“นายท่านรอง หมายความว่ายังไงครับ พวกเราโดนเฉดหัวส่งกันหมดเลยเหรอ”
“นั่นสิ กิจการร้านอาหารร่ำรวยไม่ดี แต่พวกเราทำงานหลังขดหลังแข็งโดยไม่ได้รับคำชมเลยนะ”
“นายท่านรอง คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ พ่อแม่ก็แก่แถมมีลูกเล็กด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ล้างบางไง ไม่ได้ไล่ออกซะหน่อย พวกนายตื่นตูมเรื่องอะไรกันเนี่ย”
หยางกังทำท่าเหมือนทองไม่รู้ร้อน ขณะที่กัดฟันพูดไปด้วย “นั่นสิ พวกนายโวยวายอะไรกันเนี่ย ฟังนายท่านรองพูดให้จบก่อนสิ!”
“พูดดี ทำเหมือนตัวเองไม่ใช่คนครัวงั้นแหละ นายท่านรองพูดแบบนี้จะไม่ให้พวกเรากลัวได้ไง คนมีครอบครัวต้องเลี้ยงนะครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูด “พอแล้วๆ พวกนายฟังฉันก่อน ตอนนี้ฉันวางแผนจะปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งพวกนายใหม่ จากนั้นจะเปลี่ยนพนักงานใหม่ที่ร้านอาหารร่ำรวยด้วย”
“โยกย้าย? นายท่านรองจะให้พวกเราไปไหน รับประกันเงินเดือนไหม ที่ร้านของคุณหรือเปล่า” หูเจิ้นถาม
“ใช่ๆ นายท่านรอง ถ้าไม่ใช่เครือธุรกิจจของคุณพวกเราไม่ไปหรอกนะ”
ซ่งจื่อเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ของฉันเองนี่แหละ เดิมทีคือคลับเฮาส์หลงตู ตอนนี้จะปรับเปลี่ยนเป็นคลับบันเทิงครบวงจร ชั้นสองมีโซนอาบน้ำ รับประทานอาหาร ฉันอยากให้พวกนายไปที่นั่น ส่วนเงินเดือน…เพิ่มตั้งแต่ห้าร้อยหยวนถึงหนึ่งพันหยวน โอเคไหม”
ทันทีที่หลายคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ตื่นเต้นทันที ขึ้นเงินเดือนให้อย่างไรก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
เงินห้าร้อยหยวนอาจจะดูไม่มาก แต่สำหรับคนทั่วไป เงินเดือนเดือนหนึ่งเพิ่มขึ้นห้าร้อยหยวนก็เหมือนพรดีๆ นี่เอง
“นายท่านรอง ผมจะไป!” หูเจิ้นเป็นฝ่ายเอ่ยปากคนแรก
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า “ได้ เหล่าหู นายพาคนใหม่เข้ามาได้เลย ให้หลี่เหยียนเป็นคนเลือก!”
“ครับ? หลี่เหยียนเหรอ”
ได้ยินดังนี้ทุกคนต่างก็ผงะ สายตาทุกคนจับจ้องไปที่หลี่เหยียน
ส่วนหลี่เหยียนเองก็หน้าเหวอไปด้วย ไม่รู้ว่าที่ซ่งจื่อเซวียนพูดหมายถึงอะไร
……………………………………….
……….