เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 318 นายท่านรอง ผมจะอยู่กับคุณ
ตอนที่ 318 นายท่านรอง ผมจะอยู่กับคุณ
……….
การลางานที่ซ่งจื่อเซวียนพูดถึง คือเขาสามารถวางมือจากสวนสวินเฟิงได้อย่างสบายใจ แต่สวนสวินเฟิงต้องมีคนที่ทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายได้
และตอนนี้ยังไม่มีวิธีอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทำได้แค่ใช้เทคนิคปิดผนึกให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป เช่นเดียวกับข้าวผัดจักรพรรดิ
แต่ขั้นตอนการทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายนั้นซับซ้อนกว่าข้าวผัดจักรพรรดิมาก ไม่สามารถปิดผนึกน้ำมันที่ถูกเร่งปฏิกิริยาด้วยกำลังภายในได้
ถ้าจะให้ดีควรจะเตรียมน้ำซุปไว้ล่วงหน้า เวลาทำจริงๆ ค่อยใส่ส่วนผสมลงไป
แต่ซุปของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่เพียงแต่จะต้องเคี่ยวกับส่วนผสมนานาชนิด แต่สมุนไพรบางตัวก็ต้องทอดเสียก่อน เห็นได้ชัดว่ายุ่งยากกว่าข้าวผัดจักรพรรดิหลายเท่า
คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนเอาแค่ขบคิดถึงเรื่องนี้
แต่ก็ไร้วี่แวว ดูท่าทางไม่ว่าจะอย่างไร ในระยะเวลาอันใกล้นี้เขาต้องสอนเชฟร้านอาหารร่ำรวยทำข้าวผัดจักรพรรดิเสียก่อน
จะหลี่เหยียนหรือหูเจิ้นก็ได้ แต่มีเงื่อนไขเบื้องต้นคือหลี่เหยียนยินดีที่จะอยู่ที่เมืองตู้เหมินต่อไป ยินดีที่จะทำงานให้กับร้านอาหารร่ำรวยต่อหรือไม่
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยทานอาหารเช้าแบบเรียบง่าย และเดินทางไปยังร้านอาหารร่ำรวย
เวลาราวๆ เก้าโมงกว่า เห็นหน้าร้านอาหารร่ำรวยเงียบเหงาไม่มีใครสักคน ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะขึ้นมา “รุ่ยจื่อ เราปลดข้าวผัดจักรพรรดิออกจากเมนูมานานเท่าไรแล้วนะ”
“เอ่อ…ประมาณหนึ่งเดือนได้ครับ”
“หึๆ ลูกค้าพวกนี้ควรจะกลับมาได้แล้ว”
“นายท่านรอง จริงๆ ก็ไม่จำเป็นหรอกมั้งครับ ยังไงทุกวันนี้สวนสวินเฟิงก็ขายดีอยู่แล้ว เมื่อวานเราเพิ่งเพิ่มเมนูน้ำแกงห้าสายไป ก็ขายได้ตั้งสิบหกชามนะครับ”
ฟางรุ่ยกล่าว
แต่เรื่องนี้มีเงื่อนไขมาตั้งแต่แรก
ประการแรก ซ่งจื่อเซวียนอยู่ที่ร้านตลอด จึงสามารถวางขายน้ำแกงห้าสายได้ ประการที่สอง ลูกค้าพวกนี้กับลูกค้าที่ร้านอาหารร่ำรวยนั้นต่างกัน
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีน้ำแกงห้าสาย พวกเขาก็มาสวนสวินเฟิงอยู่ดี เพราะลำพังแค่ระดับกับบรรยากาศร้านก็ดึงดูดนักทานเหล่านี้ได้แล้ว
แต่ร้านอาหารร่ำรวยนั้นต่างออกไป ถ้าเมนูซิกเนเชอร์ของร้านหายไป ลูกค้าก็หายไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
เพราะเป้าหมายในการมาของพวกเขานั้นชัดเจน คือมาเพื่อข้าวผัดจักรพรรดิ
ผู้พักอาศัยในละแวกใกล้เคียงที่มาทานอาหาร จัดงานเลี้ยง หรือซึ้อกับข้าวห่อกลับ เป็นลูกค้าส่วนใหญ่ที่ทำให้ร้านอาหารร่ำรวยเปิดกิจการต่อไปได้ แต่ยังห่างจากการทำกำไรอยู่ไม่น้อย
ซ่งจื่อเซวียนกล่าวยิ้มๆ “ไม่ได้ ถ้าทำแบบนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วร้านอาหารร่ำรวยก็จะอยู่ไม่ไหว เพราะงั้นยังไงก็ต้องวางขายเหมือนเดิม ไปกันเถอะรุ่ยจื่อ เราไปสอนกัน!”
เห็นได้ชัดว่าฟางรุ่ยไม่เข้าใจ และยังงุนงงอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็เดินตามซ่งจื่อเซวียนเข้าไปอยู่ดี
ตอนนี้ทุกคนกำลังง่วนกับการทำงาน ซ่งจื่อเซวียนเห็นหูเจิ้นก็พูดขึ้น “เหล่าหู มือเป็นยังไงบ้าง”
หูเจิ้นสะบัดมือ “ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วงครับนายท่านรอง ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง เหลือแต่แผลเป็น ของฝากจากไอ้ฝรั่งขี้นกนั่น”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้มๆ “ไม่ต้องรีบกลับมาทำงานก็ได้ ไว้หายดีเมื่อไรค่อยมาบอก เงินเดือนก็ยังให้ตามปกติ”
“ไม่ต้องๆๆ นายท่านรอง ตอนนี้ผมเบื่อจะแย่แล้ว เมื่อกี้เพิ่งบอกกับหลี่เหยียนไปว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครัวเป็นของผม ถ้าไม่ให้ผมผัดข้าวอีกสักจานสองจาน ผมคงต้องไว้ผมยาวซะแล้ว”
พูดจบทุกคนก็หัวเราะร่า
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปยังครัวด้านหลัง
ตอนนี้คนครัวต่างวุ่นวายกับงานของตนเอง ทั้งหั่นหัวหอม ปอกกระเทียม ทำอาหารกึ่งสำเร็จรูป เป็นภาพในครัวที่เห็นกันอยู่ทุกวัน
ส่วนหลี่เหยียนก็ยืนอยู่หน้าเตา เขามักจะทำเช่นนี้เป็นประจำ ต่อให้ไม่มีใครสั่งอาหาร เขาก็ชอบยืนเก๊กท่าอยู่หน้าเตา
ไอ้หมอนี่มันเป็นพวกคลั่งการทำครัวจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปใกล้ เห็นกระทะเปล่าๆ ตรงหน้าของเขากับหลี่เหยียน ก็พูดขึ้นว่า “ฮ่าๆ แค่ได้จับกระทะผัดต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลี่เหยียนสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันหน้ามาหา “อ้อ นายท่านรองนี่เอง”
ยากมากที่หลี่เหยียนจะเรียกเขาแบบนี้ บางทีอาจจะเรียนรู้มาจากคนอื่น หรือบางที…ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคงจะไม่ได้อึดอัดถึงขั้นนั้นแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง เลคริเซียสไม่ได้ทำร้ายนายใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ วันนั้นฉันชนะเขาได้” หลี่เหยียนตอบเรียบๆ ราวกับการเอาชนะเลคริเซียสได้ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจอะไรขนาดนั้น
“ฉันได้ยินข่าวแล้วล่ะ ยินดีด้วยนะ ว่าแต่นายคิดจะท้าแข่งกับฉันเมื่อไรล่ะ”
หลี่เหยียนผงะกับคำพูดของซ่งจื่อเซวียน “เอ๋? ท้าแข่งกับนายเหรอ”
“ใช่แล้ว ก็เป็นสิ่งที่นายอยากทำมาตลอดไม่ใช่หรือไง มาสิ ฉันพร้อมแล้ว”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด เขามักจะมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรอยู่เสมอ
เมื่อมองซ่งจื่อเซวียน หลี่เหยียนกลับพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง
เป็นเรื่องจริง เขาเคยมีเป้าหมายที่จะเอาชนะซ่งจื่อเซวียนให้ได้ คิดแค่ว่าถ้าชนะซ่งจื่อเซวียนได้ เขาจะได้จากเมืองตู้เหมินไปเมืองอื่นสักที
และสิ่งที่เขาต้องทำคือการเอาชนะเชฟคนอื่นไปเรื่อยๆ แต่เพราะอะไร…ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ทราบเช่นกัน
“คือ…นายท่านรอง ฉัน…ฉันไม่อยาก…แข่ง ฉันไม่อยากแข่งกับนายแล้ว”
“หา?” ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ หลี่เหยียนอยากแข่งกับเขามาตลอดไม่ใช่เหรอ
“ทำไมถึงไม่อยากแข่งล่ะ”
อันที่จริงความคิดของซ่งจื่อเซวียนช่างเรียบง่าย วันนี้เขาจะมาที่ร้านอาหารร่ำรวยเพื่อเอาชนะหลี่เหยียน และโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่เขาคาดการณ์ไว้
“ฉัน…เอาชนะนายไม่ได้ นายท่านรอง การประลองของนายกับเลคริเซียสฉันเองก็เห็นแล้ว”
“ฮ่าๆ แต่นายก็เอาชนะเขาได้นี่” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฉัน…นายท่านรอง ฉันเชื่อว่าถ้านายปล่อยมือแล้วแข่งกับฉัน หรือแม้แต่เรื่องควบคุมไฟ ฉันก็แพ้หมดรูปอยู่ดี” หลี่เหยียนพูดพลางก้มหน้างุด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “พวกเราห้ามใช้การควบคุมไฟแข่งกันก็ได้นี่”
หลี่เหยียนคิด “ถ้าแบบนั้นก็แสดงว่านายอ่อนข้อให้ฉัน การแข่งขันทำอาหารจีน เป็นเรื่องของการควบคุมไฟมาตั้งแต่สมัยโบราณ แถม…จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังศึกษาข้าวผัดจักรพรรดิไม่แตกฉานเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบแล้วพูด “อยากอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยไหม”
หลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นพรวดเมื่อได้ยินดังนั้น อันที่จริงเขาไม่ได้คิดถึงคำถามนี้เลย
เพราะช่วงเวลาที่เขาได้อยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยนั้นดีมาก หรืออาจกล่าวได้ว่าสุขสบายเลยทีเดียว
เมื่อก่อนไม่ว่าจะไปที่ร้านไหนๆ เขาก็ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นความใจดีของเพื่อนร่วมงาน หรือเถ้าแก่แบบซ่งจื่อเซวียน ต่างทำให้เขาสบายใจและเต็มใจที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป
จนกระทั่งเขาลืมเป้าหมายของตนเอง ดังนั้นวันนี้ที่ซ่งจื่อเซวียนถามขึ้นมา เขาจึงรู้สึกแปลกใจ
“ถ้านายอยากอยู่ ก็มาเป็นเชฟที่ร้านอาหารร่ำรวยของฉัน”
“หา? เชฟเหรอ แต่หัวหน้าเชฟหูเขา…”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ฉันจัดการเอง แถมเขาจะดีใจเสียมากกว่า อยู่ที่ว่านายจะยินดีหรือเปล่า”
“คือ…นายท่านรองเอาจริงเหรอ ฉันอยู่ที่นี่ตลอดไปได้เหรอ”
“ใช่ แต่มีเงื่อนไขสองข้อ”
หลี่เหยียนไม่พูดอะไร เอาแต่มองซ่งจื่อเซวียน เป็นสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“อย่างแรก นายต้องทำข้าวผัดจักรพรรดิให้ได้”
“ฉันจะตั้งใจเรียน”
“ฮ่าๆ อย่างที่สอง นายต้องบอกฉันว่าทำไมถึงเอาแต่โจมตีกับเชฟคนอื่นตลอด”
“คือว่า…” สีหน้าของหลี่เหยียนฉายแววลำบากใจ
“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของนาย แต่ในเมื่อเป็นคนในร้านของฉัน ฉันก็อยากจะรู้จักนาย แน่นอนว่าฉันจะสอนวิธีทำข้าวผัดจักรพรรดิให้นายเป็นการแลกเปลี่ยน”
ประโยคนี้ทำเอาหลี่เหยียนสะดุ้งโหยง
ที่ซ่งจื่อเซวียนพูดคือ…จะสอนเขางั้นเหรอ
เขาอยู่ในวงการมาหลายปีดีดัก
ตั้งแต่เรียนทำอาหาร เป็นผู้ช่วยในครัว จนถึงจับตะหลิว เป็นถึงหัวหน้าเชฟ หรือแม้แต่การท้าประลองต่างๆ ที่เขาเคยผ่านมาในช่วงหลังๆ เขาไม่เคยเห็นเชฟคนไหนยินดีที่จะสอนเมนูเด็ดของตนเองให้คนอื่นเลย
เพราะนี่คือความสามารถที่ทำให้เชฟอยู่รอด
ยกเว้นเชฟรุ่นเก่าใกล้ตายที่จะส่งต่อเมนูซิกเนเชอร์ของตัวเองต่อไป แต่ไม่มีใครยินดีที่จะเอาสูตรขึ้นชื่อของตัวเองมาสอน
นี่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองในระดับหนึ่ง
แต่การที่ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจเช่นนี้ ทำเอาหลี่เหยียนตกใจเลยทีเดียว
“นายท่านรอง นายบอกว่า…จะสอนฉันทำข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ สูตรของนายน่ะนะ?”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ “ฮ่าๆ ฉันก็ได้แต่ให้นายลองทำออกมา ส่วนเรื่องสอน…ฉันว่านายคงต้องเรียนรู้เอาเองแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ใช่คนโง่ เขาไม่มีทางขุดหลุมฝังตัวเอง แต่ถ้าหลี่เหยียนทำเป็นขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะว่าทักษะความเข้าใจของอีกฝ่ายสูงอยู่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่มีทางโต้แย้ง
หลี่เหยียนเองก็เข้าใจในสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนพูด แต่ถึงกระนั้น เขาก็รู้สึกเป็นเกียรติมากอยู่ดี
“ผมยินดีครับนายท่านรอง ผมยินดี!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “โอเค วันนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าเชฟหูเจิ้นเขา พวกเราไปคุยกันที่ห้องส่วนตัวดีกว่า “
“ครับ!”
จากนั้น หูเจิ้นก็เดินอารมณ์ดีไปที่เตา ซ่งจื่อเซวียนพาหลี่เหยียนไปที่ห้องส่วนตัว
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ให้ฟางรุ่ยตามเข้ามาด้วย เหตุผลง่ายๆ หลี่เหยียนไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้เรื่องส่วนตัวของเขา
ในห้องส่วนตัว หลี่เหยียนจิบชาแล้วพูด “นายท่านรอง ที่จริงแค่คุณให้ผมทำข้าวผัดจักรพรรดิ ตามกฎแล้วคุณก็ถือเป็นอาจารย์ของผมแล้วล่ะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ไม่ต้องเคร่งขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้บังคับ พวกเราเป็นเพื่อนกันก็พอ”
“ไม่ได้ครับ นายท่านรอง ที่จริงในวงการอาหาร มีอาจารย์หลายคนถือเป็นเรื่องปกติ แต่เวลาที่ผมเข้าร่วมสำนักอาจารย์ ผมก็สาบานว่าจะไม่ทรยศต่ออาจารย์ และจะไม่หันไปอยู่กับสำนักอื่น”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็พยักหน้า “ฉันเคยได้ยินมาว่าพ่อครัวดังๆ บางคนตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมา ก็พอเข้าใจได้”
พูดมาถึงตรงนี้ หลี่เหยียนก็แค่นหัวเราะออกมา
รอยยิ้มดูเหมือนจะเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่งบนใบหน้าที่แสนจะเย็นชาของเขา
ซ่งจื่อเซวียนรู้จักหลี่เหยียนมาสักพัก ดูเหมือนว่าจะเคยเห็นเขายิ้มแค่ครั้งเดียว
ยังมีอีกครั้ง แต่เป็นตอนที่ซ่งจื่อเซวียนประลองกับเลคริเซียส หลี่เหยียนยิ้มออกมาแป๊บๆ แต่เขามองไม่เห็น
“แต่ตอนนี้ผมยังไม่ถูกเตะออกมาจากสำนักเลย อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้ผมไปเข้าสำนักอื่นด้วย นายท่านรอง แบบนี้มันจะกระอักกระอ่วนหรือเปล่าครับ”
ฟังมาถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ย่นคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง”
“ตอนอยู่ในสำนัก ผมน่าจะเป็นลูกศิษย์ที่โง่ที่สุด พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ชอบผม อาจารย์ก็ไม่ชอบผมเหมือนกัน ผมรู้ดี
แต่พวกเขาก็ไม่ควรรังแกผม ใช้งานผมเหมือนคนใช้ เหมือนทาส แล้วยังใส่ร้ายผมอีก!”
ยิ่งพูดเสียงของหลี่เหยียนก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายเขาก็ทุบโต๊ะ
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบร้อนที่จะพูดอะไรต่อ เพียงแต่ปล่อยให้หลี่เหยียนระบายออกมา เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องราวที่เจ็บปวดฝังใจ ไม่อยากให้ใครได้รู้อยู่
แต่เขาต้องการการระบาย ตั้งแต่ที่เขาออกจากสำนักมาจนถึงตอนนี้ เขาน่าจะไม่เคยระบายความรู้สึกที่ไหนมาก่อนเลย
การพูดเป็นวิธีการระบายที่ดีที่สุด ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ขัดจังหวะเขา
“พวกเขาไม่เห็นผมเป็นคนด้วยซ้ำ รวมถึงที่จงใจลงโทษด้วยการฟันที่หน้าผม…ที่ผมอัดมันก็สมควรแล้ว!”
หลี่เหยียนพูด ดวงตาคลอหน่วย ไม่รู้ว่ายังมีความคับแค้นใจใดที่ยังถูกซุกซ่อนอยู่
“เพราะเรื่องนี้ อาจารย์ถึงอยากลงโทษผม บอกว่าผมทำร้ายลูกศิษย์ของเขา” ขณะพูดหลี่เหยียนก็มองซ่งจื่อเซวียนไปด้วย “แล้วผมไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาเหรอ ทำไมถึงไม่เคยเห็นผมเป็นมนุษย์เลยล่ะ ผมสมควรโดนพวกมันทรมานไหม”
ซ่งจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเจอกับอะไรมา แต่เขาก็ตบบ่าปลอบใจ
“เพราะแบบนี้ใช่ไหม นายถึงเที่ยวเหยียบย่ำเชฟคนอื่น เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้อาจารย์เห็นสินะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หลี่เหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดลงมาจากขอบตา
“ใช่ครับ แต่…ผมเปลี่ยนใจแล้ว นายท่านรอง ผมจะอยู่กับคุณ!”
…………………………………
……….