เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 300 ขอทานมาทั้งชีวิต
ตอนที่ 300 ขอทานมาทั้งชีวิต
……….
เก้าวินาที…
เวลานี้ไม่เพียงแต่บรรลุเวลาหลอมละลายที่ชายชราพูดถึง แต่ยังน้อยกว่าถึงหนึ่งวินาที
คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ อาจจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าหนึ่งวินาทีสำคัญไฉน แต่สำหรับซ่งจื่อเซวียนไม่ใช่แบบนั้น
เขาพยายามควบคุมไฟมาหลายต่อหลายครั้ง ย่อมรู้ซึ้งถึงความสำคัญของหนึ่งวินาทีนี้ ยิ่งเข้าใกล้สิบวินาทีมากเท่าไร ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถย่นเวลาลงได้หนึ่งวินาที
แต่การทดลองครั้งนี้ เขาทำเวลาได้ดีขึ้นหลายวินาทีอย่างน่าอัศจรรย์…
สาเหตุอย่างหนึ่งน่าจะมาจากสภาพร่างกายของเขาในวันนี้
ซ่งจื่อเซวียนพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้
หลังจากทดลองควบคุมไฟจนหมดแรง เขานอนหลับไปตลอดทั้งวัน จากนั้นก็มาทดลองควบคุมไฟอีกครั้งในคืนนี้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น…
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าสาเหตุว่ามาจากขั้นตอนไหน แต่เขาก็ทำได้ เก้าวินาที…
ซ่งจื่อเซวียนลองอีกครั้ง
ครั้งนี้เขารู้สึกถึงพลังจากข้อมือเหมือนเดิม แต่เขาเลือกที่จะไม่ปล่อยให้พลังนั้นระเบิดออกมาเอง แต่พยายามควบคุมมันไว้
เมื่อเปลวไฟลุกโชนลามเลียหม้อจนน้ำแข็งละลาย…ก็ทำเวลาได้สิบวินาที
ตอนนี้เขาคลี่ยิ้มบางๆ ดูเหมือนว่าขั้นตอนนี้จะสมบูรณ์แบบแล้ว
กุญแจสำคัญคือพลังที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นอะไร การเก็บตัวฝึกฝนในช่วงหลายวันนี้ก็ทำให้พลังควบคุมไฟของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เลิกฝึกต่อ แล้วกลับไปนั่งสมาธิพักผ่อนที่ห้องทำงานสักพัก
รุ่งเช้า เวลาแปดโมงกว่าๆ ซ่งจื่อเซวียนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเฉินซานหู่
เขารู้ว่าตลาดอาหารทะเลเปิดร้านกันเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นคนที่ซื้อสินค้าในร้าน หรือลูกค้ารายใหญ่ที่มารับสินค้าในช่วงเช้าตรู่ โดยปกติตลาดจะคึกคักตั้งแต่ช่วงตีสี่
ธุรกิจนี้ถือว่าเป็นธุรกิจที่ต้องลงแรง เฉินซานหู่จำเป็นต้องลงมือทำเอง มิฉะนั้นเวลาคิดบัญชีก็จะไม่รู้ว่าขั้นตอนไหนมีปัญหา
ดังนั้นการโทรหาในเวลานี้ก็ไม่ได้เป็นการรบกวนเขา
ปลายทางรับสายอย่างรวดเร็ว ซ่งจื่อเซวียนถามถึงเรื่องปลาฉือทันที
เฉินซานหู่บอกว่าปลาฉือมาถึงแล้ว เถ้าแก่ใหญ่จะใช้เมื่อไรก็สามารถส่งได้ทุกเมื่อ
อีกทั้งเขาทำสัญญาซื้อขายกับอีกฝ่ายไว้แล้ว ปริมาณการสั่งซื้อเป็นไปตามปริมาณที่ซ่งจื่อเซวียนบอกไว้ ราคาไม่มีผิดเพี้ยน
จากนั้นเฉินซานหู่ก็รายงานรายละเอียดรายการอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนพอใจมาก แม้ว่าคนคนนี้จะดูหยาบกระด้าง แต่ทำงานละเอียดรอบคอบ
บัญชีเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนคาดการณ์ไว้คร่าวๆ รวมถึงกำไรของเฉินซานหู่ โปร่งใสตามข้อตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้า
“โอเค เถ้าแก่เฉิน คุณไม่ต้องส่งของก็ได้ เดี๋ยวผมส่งคนไปรับเอง ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ เลยต้องเลื่อนกำหนดออกไปสักสองสามวัน แต่ปริมาณไม่เปลี่ยน ทางโน้นคงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรเถ้าแก่ใหญ่ คุณวางใจได้เลย ผมคุยกับทางโน้นแล้ว ลำพังแค่รายการปลาฉือนี่ก็ถือเป็นสินค้าล็อตใหญ่ พวกนั้นดีใจกันยกใหญ่เลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ดีแล้ว กำไรตรงนี้คงช่วยร้านของคุณได้ เถ้าแก่เฉิน ถึงเวลาคุณไปลงบัญชีไว้ที่ร้านนะ ถือว่าเป็นผลงานของตลาดด้วย ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ได้ครับเถ้าแก่ใหญ่ ผมฟังคุณอยู่แล้ว ต่อให้เข้าร้านหรือเข้าที่ผมโดยตรง เงินมันก็เข้ากระเป๋าผมอยู่ดี ผมไม่ซีเรียสหรอกครับ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ พูดคุยต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย
เวลานี้ฟางรุ่ยออกไปซื้อเจียนปิ่ง[1]มาทาน เมื่อทั้งคู่ทานเสร็จ ก็ออกจากสวนสวินเฟิงไปที่ตึกเฉิงไฉ
ระหว่างทาง ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยพูดคุยถึงสถานการณ์เมื่อวาน เมื่อคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แก๊งขอทานคงจะวุ่นวายน่าดู
เพราะไม่รู้ว่ากลุ่มเสื้อผ้าสะอาดจะปรากฏตัวเมื่อไร จากเหตุการณ์เมื่อวาน ดูเหมือนว่ากลุ่มเสื้อผ้าสะอาดยังมียอดฝีมืออยู่บ้าง
เนื่องจากเป็นชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเช้า การจราจรจึงค่อนข้างติดขัด ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจึงจะถึงตึกเฉิงไฉ
ก่อนเข้าไป ซ่งจื่อเซวียนบอกให้ฟางรุ่ยโทรหาอวี่เหวินเซี่ยว ไม่อย่างนั้นขืนเข้าไปทั้งอย่างนี้จะดูเร่งรีบเกินไป
เมื่อหันไปมอง ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา
เขาเห็นใบหน้ายิ้มแย้มกำลังแนบอยู่กับกระจกด้านข้างรถ พลางจ้องเข้ามาข้างใน จมูกของเขาบี้แบนจนกลายเป็นจมูกหมู กู่เสี่ยวเป่านั่นเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟางรุ่ยก็หัวเราะออกมา รีบลดกระจกอย่างระมัดระวัง
“เฮ้ พี่รอง มาได้ยังไงเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ได้ยินว่าเมื่อวานนี้จับคนได้จากร้านฉันนี่ ก็เลยมาดูน่ะ”
“เฮ้ บังเอิญจริงๆ ฉันก็มาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน ไปด้วยกันไหม” กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกมึนงง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับแก๊งขอทานมาก แต่กู่เสี่ยวเป่ากลับพูดเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น…
ไหนว่ามาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน…ฟังดูยังไงก็แปลก
จากนั้น ทั้งคู่ก็เดินไปยังทางเข้าตึก
แต่เมื่อมาถึงทางเข้า ทั้งสามคนก็ถูกขวางไว้
ยามเห็นว่าฟางรุ่ยแต่งตัวสุภาพ สวมสูทสีดำ แม้จะไม่ใช่ของหรู แต่ก็สะอาดเรียบร้อย
ตัดภาพไปที่ซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่า…
คนหนึ่งสภาพขอทาน เรื่องเสื้อผ้าไม่ต้องพูดถึง แถมยังตัวเหม็นฉึ่ง…
ส่วนอีกคนก็สภาพแทบจะเหมือนขอทานแล้ว กางเกงขายาวสีเทาที่ไม่รู้ใส่มาแล้วกี่วัน คราบน้ำมันบนกางเกงรวมเป็นปื้นใหญ่ และด้ายที่เสื้อขาดหลุดรุ่ยโผล่ออกมา
“พวกนาย…มาหาใคร”
“เอ่อ…ชั้นสิบสาม” เมื่อเห็นว่ายามถาม ฟางรุ่ยจึงตอบ
“อืม…คุณเข้าไปได้ แต่พวกนี้…”
ยามกวาดตามองซ่งจื่อเซวียนและกู่เสี่ยวเป่าอีกครั้ง
กู่เสี่ยวเป่าโพล่งขึ้นทันที “พวกเราเป็นยังไง พวกเราจ่ายค่าเช่าที่นี่ ทำไมจะเข้าไปไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยามก็หัวเราะ “ไอ้ขอทาน แกเนี่ยนะจ่ายค่าเช่า ฮ่าๆๆ ชั้นไหน ใบเสร็จอยู่ไหนล่ะ แกล้อเล่นหรือเปล่า!”
เห็นได้ชัดว่ายามไม่เชื่อว่ากู่เสี่ยวเป่าจะจ่ายค่าเช่าที่นี่ได้
อย่าว่าแต่เขาเลย ใครๆ ก็คิดแบบนั้น
แถมตอนนี้คนที่มาทำงานจำนวนไม่น้อยต่างเดินเลี่ยงกู่เสี่ยวเป่าไป เพราะกลิ่นของเขานั้นไม่ใช่เล่นๆ
“พวกเขาจ่ายจริง เขาคือเจ้าของชั้นสิบสาม!” ฟางรุ่ยพูด
ยามงงเป็นไก่ตาแตก ตอนนี้เขาคิดว่าไม่ใช่แค่ซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่าที่เข้าไปไม่ได้ แม้แต่ฟางรุ่ยก็เข้าไปไม่ได้
ขอทานสองคน ไอ้บ้าหนึ่งคน…
แต่โชคดีที่อวี่เหวินเซี่ยวลงมาจากตึกพอดี และรีบพาพวกเขาเข้าไป
เมื่ออวี่เหวินเซี่ยวเห็นรถของซ่งจื่อเซวียนจากชั้นบน เขาก็รีบลงมาทันที เพราะสำหรับแก๊งขอทานแล้ว เขาคือแขกคนสำคัญที่สุด
นึกไม่ถึงว่ากู่เสี่ยวเป่าก็อยู่ด้วยพอดี จึงขึ้นไปด้วยกัน
เห็นพวกเขาเดินเข้าไป ยามได้แต่ถอดหมวกแล้วกุมขมับ
นี่มันอะไรกัน โลกมันเปลี่ยนไปแล้วเหรอ…
เมื่อมาถึงชั้นสิบสาม อวี่เหวินเซี่ยวก็พาพวกเขาไปที่ห้องทำงานของกู่เสี่ยวเป่าก่อน และให้พวกเขาพักผ่อนสักครู่
เห็นสภาพภายในห้องทำงาน ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยต่างตกตะลึง
ที่นี่มันห้องเด็กเล่นชัดๆ !
ผนังทั้งสี่เต็มไปด้วยโปสเตอร์การ์ตูนหลากหลายแบบ บนโต๊ะวางของเล่นประกอบหลากหลายชนิด บางชิ้นยังประกอบไม่เสร็จ อาจจะเป็นของเล่นที่ต่อค้างจากครั้งก่อน
โต๊ะน้ำชายิ่งน่าทึ่งเข้าไปใหญ่ ทั้งขนมขบเคี้ยว ทั้งช็อกโกแลต วางกลาดเกลื่อนกันเต็มโต๊ะ พูดได้เลยว่าเปลี่ยนชื่อโต๊ะน้ำชาเป็นโต๊ะขนมยังจะเหมาะสมกว่า
“พี่รอง ไม่ต้องเกรงใจนะ ทานเลย เครื่องดื่มอยู่ทางนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมอง โอ้โห…น้ำดื่มที่นี่ดูเหมือนจะมีเยอะกว่าที่ร้านอาหารร่ำรวยเสียอีก แต่ละรสชาติวางซ้อนกันสองสามลังที่มุมห้อง
“รู้แล้วน่าพี่รอง ฉันขอต่อกันพลานี่ให้เสร็จก่อน เดี๋ยวไปคุยกับพี่นะ!”
พูดจบ เขาก็เริ่มจดจ่อกับการประกอบโมเดล
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเบื่อ จึงหยิบมันฝรั่งทอดขึ้นมากินเล่น
ไม่นานอวี่เหวินเซี่ยวก็เดินเข้ามาพร้อมกับชา แล้วชงให้ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ย ก่อนจะนำอีกถ้วยไปเสิร์ฟให้กู่เสี่ยวเป่า
“นายท่านรอง เรื่องเมื่อวานผมว่าจะไปขอบคุณคุณอยู่พอดีเลย ไม่นึกว่าวันนี้คุณจะมาที่นี่”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “แก๊งขอทานเป็นพวกของเรา เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันก็ต้องมาดูสิ ฮ่าๆ เสี่ยวเป่าเลิกเล่นได้แล้ว มาคุยกันเถอะ”
“อืม”
กู่เสี่ยวเป่าว่านอนสอนง่าย วางของเล่นแล้วเดินมานั่งข้างๆ ซ่งจื่อเซวียน หยิบช็อกโกแลตมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อวี่เหวินเซี่ยว สถานการณ์ของพวกนายเป็นยังไง”
อวี่เหวินเซี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตอบยากครับ พวกเราจับตัวเหลียงฮั่นได้ เขาเป็นยอดฝีมือชื่อดังของแก๊งขอทาน ถือเป็นการขู่กลุ่มเสื้อผ้าสะอาดกลายๆ แต่ผมคิดว่า…พวกมันน่าจะส่งคนมาอีกเพื่อตามหาชามเมฆคราม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเมื่อฟังจบ แล้วหันไปหากู่เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า นายคิดว่าไง”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “คิดยังไงเหรอ พี่รองเป็นคนของเรา ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฮ่าๆๆ อวี่เหวินเซี่ยวขี้เกรงใจเกินไปแล้ว”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนพูดไม่ออก ราวกับว่าทุกคนกำลังคุยกันคนละเรื่อง…
“ฉันพูดถึงเรื่องแก๊งขอทาน เสี่ยวเป่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปนายจะตกอยู่ในอันตรายนะ ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่ไปหาฉันที่ร้าน แต่ถ้าพวกเขาเจอตัวนายเมื่อไรเป็นเรื่องแน่”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางจุดบุหรี่สูบ
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “ฮ่าๆ ช่างปะไร ถ้าพวกมันจับตัวฉันได้ก็ถือว่าเก่ง เหมือนกับพวกเราไงที่เอาชามเมฆครามมาได้ ก็ถือว่ามีฝีมือ”
ประโยคนี้ทำเอาซ่งจื่อเซวียนอึ้ง “โฮ่ ทำเป็นเก่งนะ แบบนี้อวี่เหวินเซี่ยวก็ต้องติดตามนายตลอดเวลา ฉันก็ต้องให้นายยืมตัวรุ่ยจื่อด้วยสิ”
“ฮ่าๆ งั้นก็ดีสิ มีมือดีสองคนคอยคุ้มกัน”
กู่เสี่ยวเป่าพูดแล้วก็หันไปมองอวี่เหวินเซี่ยว “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องปู่ตาบอด ปู่หลง แล้วก็ปู่กุ่ย เข้าใจไหม”
เวลาพูดคุยกับอวี่เหวินเซี่ยว กู่เสี่ยวเป่าดูจริงจังขึ้น และยังมีท่าทีเป็นผู้นำ
อวี่เหวินเซี่ยวพยักหน้า “อย่ากังวลเลยครับ จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว แม้แต่งานขอทานก็ไม่ให้พวกเขาทำ”
“อืม ตาแก่พวกนั้นเป็นขอทานไม่ได้ คงจะอึดอัดน่าดู”
กู่เสี่ยวเป่าพูดจบ อวี่เหวินเซี่ยวก็หัวเราะออกมา แล้วพยักหน้ารัวๆ
“จริงครับ โดยเฉพาะปู่กุ่ย ผมสั่งคนส่งเหล้าไปให้ ปู่แกบอกว่าเหล้าที่ซื้อมารสชาติไม่ได้เรื่อง ปู่ตาบอดก็เหมือนกัน บอกว่าไม่ได้ออกไปทำตัวน่าสงสารทุกวัน รู้สึกเหมือนใช้ชีวิตไปวันๆ”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็หัวเราะออกมา
อย่างไรก็เป็นขอทาน เคยขอทานมาทั้งชีวิต จู่ๆ จะไม่ให้ไปขอทาน คงจะทนไม่ไหว
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้ายิ้มๆ “เอาเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยปกติต้องอดทนไว้ ว่าแต่…พี่รอง ช่วงนี้เกิดเรื่องใหญ่ที่ตู้เหมิน เรื่องฝรั่งที่ไปถล่มร้านอาหาร คงจะเกี่ยวกับพี่ด้วยสินะ”
“เอ๊ะ นายก็รู้เหรอ”
กู่เสี่ยวเป่าหัวเราะ “รู้สิ แก๊งขอทานเป็นแก๊งอันดับหนึ่งในใต้หล้า ต้องรู้เรื่องทุกอย่างในวงการอยู่แล้ว อวี่เหวินเซี่ยว ฉันตั้งใจว่าจัดการเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก!”
………………………………………..
[1] เจียนปิ่ง (煎饼) เครปจีน อาหารเช้ายอดนิยมของชาวจีนทางตอนเหนือ มีลักษณะคล้ายกับเครปในประเทศไทย แต่เป็นไส้คาว ใส่ไข่ ใส่เนื้อสัตว์ และผักตามชอบ ทาด้วยซอสแบบจีน
……….