เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 299 พลังแฝง
ตอนที่ 299 พลังแฝง
……….
โจวเผิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะดังจริงๆ ฉันนึกว่าซ่งจื่อเซวียนมีร้านร่ำรวยแค่ร้านเดียวเสียอีก”
โจวเผิงจงใจพูดเช่นนี้ เขาเข้าใจดีว่าเฮ่อเหยียนข่ายเป็นคนหัวสูง ถ้าตนทำตัวฉลาดเกินหน้าเกินตาเฮ่อเหยียนข่าย เฮ่อเหยียนข่ายอาจจะไม่ยอมบอกเรื่องที่รู้
ได้ยินดังนั้น เฮ่อเหยียนข่ายก็ส่ายหน้า “เป็นไปได้ยังไง โจวเผิงเอ๊ยโจวเผิง คุณฉลาดมาทั้งชีวิต แต่ดันหลงทางไปนิดเดียว ซ่งจื่อเซวียนคนนี้เป็นคนยังไงเหรอ”
โจวเผิงมองเฮ่อเหยียนข่าย ไม่ได้พูดอะไร รอให้เขาตอบคำถามออกมาเอง
“เป็นคนฉลาด ฉลาดเกินใคร เจ้าเล่ห์!”
“คนเจ้าเล่ห์แบบนี้จะมีร้านอาหารร้านเดียวได้ยังไง เขาต้องกระจายความเสี่ยงสิ เขาเรียกว่าอะไรกัน กระต่ายเจ้าเล่ห์สามโพรง[1] ไอ้หมอนี่มันเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์สามโพรง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวเผิงก็หัวเราะขึ้นมา “ใช่ ไอ้หนุ่มคนนี้มันเหมือนกระต่ายเจ้าเล่ห์จริงๆ ฮ่าๆๆ”
เฮ่อเหยียนข่ายดื่มเหล้าเข้าไป ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย “ผมจะบอกคุณให้นะ คุณไม่เคยเห็นคลับเฮาส์นั่นมาก่อน แม่ง โคตรจะไฮโซเลย ถึงจะเทียบไม่ได้กับหอหงเยวี่ย แต่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นที่สำหรับคนมีเงิน”
ขณะที่เฮ่อเหยียนข่ายพูด เขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เพราะเขาคิดว่าจะหาเงินจากร้านอาหารร่ำรวยได้ แต่ผลปรากฏเป็นว่าเขาต้องเสียเงินทั้งหมด
ส่วนซ่งจื่อเซวียนเองไม่ต้องพูดให้มากความ ร้านอาหารของเขาก็โด่งดัง ตอนนี้คลับเฮาส์ก็เปิดแล้ว จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร
ถ้ารู้ว่าบริษัทชิงอวี่ คลับเฮาส์หลงตู เป็นของซ่งจื่อเซวียน น่ากลัวว่าเฮ่อเหยียนข่ายคงจะอกแตกตายคาที่…
“พูดมาขนาดนี้…ฉันก็ยังไม่เชื่อหรอก ฉันรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนมีความสามารถ แต่ท่านชายเฮ่อ การเปิดคลับเฮาส์ได้มันต้องใช้เงินเยอะนา ขายข้าวผัดอย่างเดียวเนี่ยนะ”
โจวเผิงดื่มกับเฮ่อเหยียนข่ายไม่น้อย และเริ่มพูดถึงสิ่งที่เขาต้องการ
“ไม่เชื่อเหรอ ให้ตายสิวะ คุณนี่มันปัญญานิ่มจริงๆ มิน่าถึงได้ทำร้านสวนชุนสยาเจ๊ง เอาอย่างนี้ดีกว่า วันนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้คุณไปดูเอง คลับเฮาส์นั่นโคตรจะหรู!”
แต่หลังจากที่เขาจัดการกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานควบคุมตลาดแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มดำเนินการตกแต่ง
ตอนที่ยังไม่หยุดกิจการ เขาขยายห้องส่วนตัวอีกหลายห้อง และทำการตกแต่งหน้าร้านใหม่
ตอนนี้สวนสวินเฟิงไม่ใช่ร้านอาหารสไตล์รัสเซียแบบเดิมอีกต่อไป แต่กลายเป็นสถานที่สำหรับคนเงินหนาอย่างแท้จริง
หากไม่เคยไปมาก่อน คงไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่แบบไหน
ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าที่มาจะเป็นลูกค้าประจำ และลูกค้าประจำเหล่านี้มีจุดเด่นร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นคือมีเงิน
หลังจากที่ร้านอาหารสวนสวินเฟิงปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายมาเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูง ก็ไม่ได้ทำให้รายได้ลดลง แต่กลับยิ่งคึกคักขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าตอนนี้น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายจะหยุดวางขายชั่วคราว แต่ลูกค้าก็ยังแน่นร้านทุกวัน ทีมเชฟของเจิ้งฮุยทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
ลูกค้าเหล่านี้มาที่นี่เพื่อกินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายแต่กลับหลงรักบรรยากาศส่วนตัวแบบนี้ ดูเหมือนว่าพวกเศรษฐีจะต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า
ดังนั้น แม้ว่าจะไม่มีน้ำแกงห้าสายวางขาย พวกเขาก็ยังเลือกสวนสวินเฟิงอยู่ดี
โจวเผิงพูด “งั้นฉันต้องไปดูซะหน่อยแล้ว อยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ได้เห็นกับตาฉันไม่เชื่อหรอก!”
เฮ่อเหยียนข่ายพูดจ้อด้วยความเมามาย “อยู่ตรงข้ามมหา’ลัยหนานกวน ไปดูเองได้เลย ถ้าไม่ใช่ของซ่งจื่อเซวียน ผมยอมยกหัวผมให้เลย!”
โจวเผิงยิ้ม “ท่านชายเฮ่อ นายเมาจนพูดจาเลอะเทอะแล้ว ฉันจะเอาหัวนายไปทำอะไร!
ฮ่าๆ…แต่ว่านะ…ท่านชายเฮ่อ นายเอาอะไรมายืนยันว่านั่นเป็นของซ่งจื่อเซวียน”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เฮ่อเหยียนข่ายก็เบิกตาโต กัดฟันแน่น
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าชีวิตของเขาถูกซ่งจื่อเซวียนทำลายลงเพราะเรื่องนี้
“ร้านนี้ซ่งจื่อเซวียนทำร่วมกับนักศึกษามหา’ลัยหนานกวนคนหนึ่ง ก็คือแฟนของมันนั่นแหละ ตอนแรกพวกเขายังไม่มีเงิน เลยมาขอยืมเงินจากผม”
เมื่อได้ยินประโยคนี้โจวเผิงก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที นี่มันข่าววงในนี่หว่า
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองเหรอ แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้นจะอะไรอีกล่ะ ไม่มีอะไรหลังจากนั้นแล้ว!”
เฮ่อเหยียนข่ายตะคอก เสียงดังมากจนแขกโต๊ะข้างๆ หันมามอง
โจวเผิงรู้สึกอับอาย จึงไม่พูดอะไรต่อ ความสนใจเมื่อครู่ถูกกดทับเอาไว้ รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
หลังจากคุยกันต่ออีกนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหยียนข่ายดื่มมากแล้ว โจวเผิงจึงจ่ายเงินแล้วขอตัวกลับ
ส่วนเฮ่อเหยียนข่ายเขาขี้เกียจจะไปสนใจ ปล่อยทิ้งไว้ข้างถนนให้หาทางกลับไปเอง
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าต่อไปเขาคงไม่มีโอกาสได้ข้องเกี่ยวกับเฮ่อเหยียนข่ายคนนี้อีกต่อไปแล้ว
ในพจนานุกรมของโจวเผิงเมื่อผลประโยชน์หมด คำว่าความสัมพันธ์ก็มลายหายไปด้วย
ส่วนผลประโยชน์ครั้งสุดท้าย ก็คือการล้วงความลับเรื่องสวนสวินเฟิง เขาตั้งใจจะเอาข่าวนี้ไปบอกเลคริเซียส แม้ว่าจะไม่มีผลอะไร แต่แลกได้เงินมาใช้จ่ายบ้างก็ไม่เลว
………………..
เวลากลางคืน เมื่อทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว ชีวิตของซ่งจื่อเซวียนจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
เขาเดินเข้าไปในครัว หยิบก้อนน้ำแข็งแช่เย็นออกมา เตรียมพร้อมที่จะลองควบคุมไฟ
ทว่าคืนนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะผลักดันตัวเองไปจนถึงขีดจำกัด
เพราะรสชาตินั้นมันห่วยแตกซะไม่มี แถมต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อฟื้นฟูพลังงาน ไม่คุ้มค่านัก
ดังนั้น วันนี้เขาจึงตั้งสติ หวังว่าจะควบคุมไฟได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เพื่อพัฒนาทักษะการควบคุมไฟของเขา เขาไม่ควรมองข้ามทักษะอื่นๆ ไป เรื่องนี้ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจดี
และแล้ว หลังจากทดลองมาสองครั้ง เขาใช้เวลาสิบสามและสิบสองวินาทีในการละลายน้ำแข็งจนหมด
สิบสองวินาทีคือขีดจำกัดของเมื่อวานนี้ แต่วันนี้ซ่งจื่อเซวียนทำได้โดยไม่ต้องใช้พลังสูงสุด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อวานนี้เขาใช้กำลังภายในจนหมดและพักผ่อนหนึ่งวันจึงทำให้กำลังภายในของเขาฟื้นฟูขึ้น หรือเป็นเพราะเขาผ่อนคลายตัวเองลงได้จึงออกแรงแค่ครึ่งเดียวแต่ก็ได้ผลลัพธ์ดี แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ผลลัพธ์ในตอนแรกก็เกินความคาดหมายของซ่งจื่อเซวียนแล้ว
เขาคิดว่าตอนเริ่มอุ่นเครื่อง เขาคงต้องใช้เวลาประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าวินาทีในการละลายน้ำแข็ง แต่ผลลัพธ์กลับออกมาดีเกินคาด
หลังจากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็รักษาความผ่อนคลายนี้ไว้ แต่จดจ่ออยู่กับการควบคุมไฟอย่างเต็มที่
จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า วันนี้ระดับความจดจ่อของตนลดลง แต่กลับทำได้ดีขึ้นมาก
ใช้เวลาเท่ากัน แต่ครั้งนี้ใช้พลังงานน้อยลงกว่าครึ่ง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้าช้าๆ “ยังเครียดเกินไป ผ่อนคลายลงอีกหน่อยน่าจะดีกว่า”
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ทดลองต่อรวมทั้งหมดหกครั้ง ซึ่งจำนวนครั้งน้อยลงกว่าเมื่อวานมาก
สาเหตุนั้นเรียบง่าย เพราะระหว่างนั้นเขาพักผ่อน ดื่มชา สูบบุหรี่ และคุยกับฟางรุ่ย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำตลอดสองวันก่อน
เมื่อสองวันก่อน เขาแทบจะทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการควบคุมไฟ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาธรรมดา
อย่างไรก็ตาม การทดลองสองครั้งสุดท้ายจากหกครั้งนี้ เขาใช้เวลาเพียงสิบเอ็ดวินาทีเท่านั้น
เรื่องการใช้เวลาให้อยู่ภายในสิบวินาทีนั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้คาดหวังมากนัก เขาคิดว่าตอนนี้ ความแตกต่างของเวลาหนึ่งวินาที แทบจะไม่มีผลต่อรสชาติของโต้วหลงเหมินแล้ว
ขั้นตอนต่อไป ก็คือรอให้ปลาฉืมาแล้วลองชิมรสชาติสุดโอชะ
แต่สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันกับเรื่องเวลาเพียงอย่างเดียว บางทีการอ่านสูตรอาหารอาจจะเกิดการค้นพบใหม่ๆ ก็ได้
อย่างที่เขาคาดไว้ เมื่ออ่านหนังสือสูตรอาหารอีกครั้งซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าเขาเข้าใจโต้วหลงเหมินอย่างถ่องแท้ บวกกับคำแนะนำของฟางจิ่งจือ เขาอดใจรอใช้ปลาฉือไม่ไหวแล้ว
ในขณะเดียวกัน เขาเริ่มสังเกตเห็นข้อมูลบางอย่างถัดไปหลังจากโต้วหลงเหมิน ที่เขาอ่านเข้าใจได้แล้ว
แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่เขาเห็นได้ชัดว่า มันไม่ใช่สูตรอาหารธรรมดา จากคำอธิบายในข้อความ น่าจะหมายถึงการควบคุมไฟ
ติดที่ว่าเขายังไม่เข้าใจข้อความทั้งหมด เหมือนตอนที่เพิ่งเริ่มเรียนทำอาหาร เขาอ่านข้อความพวกนี้ได้ แม้จะรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับการควบคุมไฟ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงอยู่ดี
หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไปถามชายชราเกี่ยวกับเนื้อหาเหล่านี้ แต่ครั้งนี้ฟางจิ่งจือบอกว่า เนื้อหาเหล่านี้เขาต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
ทว่าไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็อ่านข้อความเหล่านี้และพบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการทำอาหาร
“ให้ตายสิ ทำไมถึงยุ่งเหยิงขนาดนี้นะ” ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด
แต่ในตอนนั้นเอง ซ่งจื่อเซวียนก็คิดถึงคำพูดของชายชราเมื่อเขาบรรลุอาหารจานที่สี่ มังกรทะยานสี่ย่านน้ำได้ เขาก็จะมีฝีมือเทียบเท่ากับปู่แล้ว
พูดอีกอย่างคือ ในตำราสูตรอาหารราชวงศ์ชิงนี้ ฟางจิ่งจือทำอาหารเป็นทั้งหมดสี่จาน
มังกรทะยานสี่ย่านน้ำ…ฟังจากชื่อแล้ว น่าจะเป็นอาหารทะเลประเภทหนึ่ง
แต่ทำไมในสูตรอาหารเดียวกันถึงมีอาหารทะเลสองจานติดต่อกัน
โต้วหลงเหมิน…มังกรทะยานสี่ย่านน้ำ…
เรื่องนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนจมจ่อมกับห้วงคำนึง
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ เขาก็พูดออกมาช้าๆ “เป็นไปได้ว่าโต้วหลงเหมินและมังกรทะยานสี่ย่านน้ำจะคล้ายคลึงกันมาก และพ่อครัวที่เขียนสูตรอาหารทำโต้วหลงเหมินเป็นก่อน จากนั้นจึงปรับปรุงจนกลายเป็นมังกรทะยานสี่ย่านน้ำ!
ใช่ มีความเป็นไปได้สูงมาก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่า มังกรทะยานสี่ย่านน้ำก็คือโต้วหลงเหมินเวอร์ชันอัปเกรด”
พอคิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกถึงความสำคัญของการฝึกทำโต้วหลงเหมินให้เชี่ยวชาญ บางทีวิธีนี้อาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะปูรากฐานในการทำมังกรทะยานสี่ย่านน้ำ
เช่นนั้นก็แปลว่าเทคนิคการควบคุมไฟอยู่ในเมนูโต้วหลงเหมินและมังกรทะยานสี่ย่านน้ำ
พูดอีกอย่างคือ การควบคุมไฟนั้นเชื่อมโยงกับอาหารทั้งสองจาน แต่การทำมังกรทะยานสี่ย่านน้ำนั้นต้องการการควบคุมไฟขั้นสูงกว่า
ซ่งจื่อเซวียนไม่กล้าจินตนาการว่า ความต้องการนั้นจะเป็นอย่างไร…
ตอนนี้ละลายน้ำแข็งให้ได้ภายในสิบวินาทีก็เต็มกลืนแล้ว ถ้าขั้นสูงกว่านั้น ต้องภายในห้าวินาทีงั้นเหรอ
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมา “นี่มันเวอร์ไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาตีสี่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้หมกมุ่นกับสูตรอาหารอีกต่อไป ทว่าเขากลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
หลังจากนั่งอยู่ในห้องทำงานนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเหมือนความเหนื่อยล้าได้หายวับไป ราวกับว่าเขาจะสามารถลองควบคุมไฟได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
เขาลองละลายน้ำแข็งเล่นๆ สองครั้ง ผลลัพธ์คือสิบสองวินาที ซ่งจื่อเซวียนพอใจมาก เพราะเขาไม่ต้องออกแรงเลย
เมื่อทดลองครั้งที่สาม ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจแล้วว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย เสร็จแล้วเขาจะไปพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ไปหากู่เสี่ยวเป่าที่ตึกเฉิงไฉแต่เช้า
แต่ในการทดลองครั้งสุดท้ายนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใจ ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกถึงพลังพิเศษบางอย่างกำลังสั่นไหวอยู่ที่ข้อมือ
การสั่นไหวนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเอง แต่ก็ไม่เชิง ราวกับว่าระหว่างที่เขาควบคุมพลังของตนนั้น จู่ๆ ก็มีพลังอีกกลุ่มก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ไม่เพียงเท่านั้น พลังพิเศษนี้ดูเหมือนจะมีความรุนแรงมากกว่ากำลังภายในที่เขาควบคุมเองเสียอีก
ตู้ม!
ทันใดนั้น เปลวไฟเบื้องหน้าก็พุ่งสูงขึ้นเกือบห้าสิบเซนติเมตร ถ้าเครื่องดูดควันอยู่สูงไม่พอ คงจะถูกไฟไหม้ไปแล้ว…
ซ่งจื่อเซวียนตาค้าง มองไปที่ก้อนน้ำแข็งในหม้อ มันกำลังละลายลงอย่างรวดเร็ว ความเร็วการละลายนี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
และเมื่อก้อนน้ำแข็งทั้งหมดกลายเป็นน้ำ ซ่งจื่อเซวียนก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เชี่ย…เก้าวินาที…”
…………………………………………..
[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์ขุดโพรงสามโพรง (狡兔三窟) หมายถึง เวลาทำอะไรสักอย่างต้องเตรียมแผนรับมือหลายๆ แผน
……….