เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 288 อาหารอะไรที่ต้องเล่นกับไฟ
ตอนที่ 288 อาหารอะไรที่ต้องเล่นกับไฟ
……….
คำพูดของฟางจิ่งจือเป็นเหมือนภาพที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหัวของซ่งจื่อเซวียน
เมื่อภาพทั้งหมดสิ้นสุดลง ฉากสุดท้ายคืองานฉลองอาหารทะเลแสนอร่อยในชามซุป
โต้วหลงเหมิน!
ตอนแรกเขาคิดแค่จะใส่น้ำเย็นลงในหม้อแล้วเร่งไฟเพื่อตุ๋นปลา แต่ไม่เคยคิดจะใส่น้ำแข็งลงในหม้อเลย
ผลลัพธ์ระหว่างการแช่แข็งและน้ำเย็นเทียบกันไม่ได้
ด้วยการกระตุ้นจากความเย็นจัดและความร้อนจัด เนื้อปลาถึงจะมีรสชาติที่ดีที่สุด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็นึกถึงเรื่องราวที่ชายชราเคยเล่าให้ฟัง นั่นคือในสมัยโบราณ ปลาฉือเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากมาก
ในเวลานั้นปลาฉือตามธรรมชาติจะพบได้เฉพาะในแม่น้ำแยงซีเท่านั้น
การที่จักรพรรดิจะเสวยปลาฉือนั้นจะต้องจัดทำโครงการใหญ่ขึ้นมา เพราะหากขึ้นจากน้ำปลาฉือจะตายและสูญเสียความสดไปทันที
ดังนั้นจักรพรรดิจึงสั่งให้ประชาชนสร้างเส้นทางน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นทางขนส่งปลาฉือ
ปลาฉือถูกแช่แข็งจะรับรองความสดอร่อยได้ แม้ว่าจะถูกส่งจากแม่น้ำแยงซีไปยังเมืองหลวง รสชาติก็จะไม่ผิดเพี้ยน
ไม่เพียงเท่านั้นแต่ยังทำให้ปลาฉือมีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้นอีกด้วย
ใช่แล้ว นี่คือหลักการ น้ำแข็ง!
“ปู่ ผมเข้าใจแล้ว!”
ฟางจิ่งจือพยักหน้า “ดี เข้าใจแล้วก็จะพูดต่อ วิธีการปรุงโต้วหลงเหมินจะแตกต่างจากน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ถ้าอาศัยแค่ขนาดของเปลวไฟก็จะยากที่จะทำให้ปลาฉือได้รสชาติที่ดีที่สุด!”
“ดังนั้นเราต้องพึ่งการควบคุมกำลังไฟ!”
“ถูกต้อง แต่มีเพียงเวลาเดียวเท่านั้นที่เมนูโต้วหลงเหมินต้องควบคุมกำลังไฟ แกรู้ไหมว่าตอนไหน” ฟางจิ่งจือถาม
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ตอนเริ่มทำ แม้จะเป็นเตาเฉพาะทางในร้านอาหารก็เกรงว่าจะร้อนระอุได้ในทันที”
“เด็กคนนี้โตพอที่จะถ่ายทอดความรู้แล้วสินะ ในเวลานี้แกต้องเร่งเปลวไฟ กำลังภายในไม่ได้ใช้เพื่อวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเปลวไฟด้วย เปลวไฟจะเผาก้นหม้อจนไหม้ไปหมดในแวบแรก จากนั้นก็ใส่น้ำแข็งลงไปเลย ปลาฉือจะอยู่บนน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ต้องมีความเย็นจัดและความร้อนจัดเท่านั้นถึงจะทำได้”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “แต่ว่าปู่ ต้องใช้เวลาละลายน้ำแข็งนานแค่ไหนถึงจะได้รสชาติที่ดีที่สุดล่ะ”
ฟางจิ่งจือกระตุกยิ้ม “แกถามแบบนี้แสดงว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สิบวินาที แค่สิบวินาทีเท่านั้น แกน่าจะรู้ใช่ไหมว่าต้องใช้ความร้อนมากแค่ไหน”
ได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ สิบวินาทีเหรอ
หม้อน้ำแข็งจะต้องละลายในสิบวินาที นี่คืองานที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของซ่งจื่อเซวียน ฟางจิ่งจือก็พยักหน้า “ฉันนึกไว้แล้วว่าแกคงจะคิดว่ามันยาก แต่ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้ เนื้อปลาฉือก็จะไม่มีวันถึงในระดับที่สดที่สุด หลอกลวงลูกค้าได้ แต่หลอกตัวเอง…แกทำได้จริงๆ เรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ปู่ ผมเข้าใจแล้ว สองสามวันนี้ผมจะปล่อยวางเรื่องทุกอย่างแล้วจะทำแค่โต้วหลงเหมิน ให้ละลายในหม้อน้ำแข็งได้ภายในสิบวินาที!”
“จำไว้ น้ำแข็งต้องอยู่สูงกว่าพื้นผิวหม้อ หลังจากละลายแล้วก็จะระเหยเป็นไอ นี่เพียงพอที่จะเป็นน้ำซุปในอาหารจานนี้แล้ว”
“ปู่ ผมจะจำไว้ครับ”
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนตกผลึกคำพูดของฟางจิ่งจือและทำความสะอาดห้องกับถังหย่าฉีอีกครั้งก่อนจะออกไปสวนสวินเฟิง
ระหว่างทาง ซ่งจื่อเซวียนยังได้พูดคุยเรื่องนี้กับถังหย่าฉี ถังหย่าฉีตัดสินใจหยุดขายน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไว้ชั่วคราว และให้ซ่งจื่อเซวียนทุ่มแรงศึกษาโต้วหลงเหมินในสองสามวันนี้
……………………
ณ โรงน้ำชาในเขตเฉิงหนาน
เฮ่อเหยียนข่ายมองไปที่โจวเผิงตรงหน้าเขาด้วยสายตาที่เย็นชาเป็นอย่างมาก
“โจวเผิง ผมไว้หน้าคุณด้วยการเรียกว่าพี่โจว แต่คุณไม่ไว้หน้าผมจริงๆ เลยนะ”
น้ำเสียงของเฮ่อเหยียนข่ายแผ่วเบาลงมาก แต่คำพูดของเขายังคงรุนแรงเช่นเคย
ใบหน้าของโจวเผิงเปลี่ยนสี “เอ่อ…ท่านชายเฮ่อ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ใครจะรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะดึงตัวเชฟของฉันไปจริงๆ รวมไปถึงการก่อกวนหลายครั้งจากหน่วยงานควบคุมตลาด ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องไม่คาดคิดทั้งนั้น”
“พอแล้ว ไม่คาดคิด…คุณจะคาดหวังอะไรได้อีก คุณยังทำอะไรได้อีก หนึ่งล้านกว่าเชียวนะ สร้างให้เสียเปล่าแบบนี้เหรอ คุณแม่งกล้าเอาเงินผมไปเป็นเงินเดือนในแต่ละเดือนได้ยังไง!”
ขณะที่พูด เฮ่อเหยียนข่ายก็โยนถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าเขาลงไปที่พื้น
วินาทีที่ถ้วยชาแตก ร่างกายของโจวเผิงก็สั่นสะท้านไปด้วย
“โจวเผิง ทุกวันนี้ต่างจากเมื่อก่อน พ่อของผมไม่ได้บริหารบริษัทแล้ว เงินหนึ่งล้านกว่านี้คุณคิดว่าจะลงทุนไปเปล่าๆ ได้งั้นเหรอ”
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีทางคำพูดของเฮ่อเหยียนข่าย โจวเผิงก็ไม่มีอะไรจะพูด
ท้ายที่สุดไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร ร้านสวนชุนสยาก็ถึงคราวจบสิ้นแล้ว เฮ่อเหยียนข่ายเป็นคนลงทุน ดังนั้นคุณต้องให้คำอธิบาย
“ตอนแรกคุณบอกผมว่าจะทำให้ซ่งจื่อเซวียนสั่นคลอน โอเค เราค่อยพูดเรื่องกำไรขาดทุนทีหลัง ซ่งจื่อเซวียนล้มลงหรือยัง คำสัญญาของคุณล่ะ”
“ท่านชายเฮ่อ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไม่คาดคิด จริงๆ นะครับ…”
“หุบปากซะ ยังดีที่ผมตงิดใจในสัญญาที่เซ็นกับคุณ โจวเผิง ผมจะให้เวลาคุณหนึ่งเดือน ถ้าคืนเงินให้ผมไม่ได้ ผมรับรองว่าคุณจะถูกดำเนินคดีแน่นอน!”
“นาย…”
โจวเผิงก็ไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนพวกเขาทั้งคู่ก็อยู่ฝ่ายเดียวกัน ตอนนี้จะจ่ายค่าชดเชยก็ไม่ผิด แต่เฮ่อเหยียนข่ายนายพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือมากเกินไปหรือเปล่า
“ท่านชายเฮ่อ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ ยิ่งในเวลาแบบนี้เราควรจะยิ่งร่วมมือกัน การกำจัดซ่งจื่อเซวียนเป็นเป้าหมายร่วมกันของเรา จู่ๆ นายก็ชี้หอกมาที่ฉัน นี่มันผิดคำพูดไปหน่อยหรือเปล่า”
เฮ่อเหยียนข่ายยิ้มอย่างเยือกเย็น “ผิดคำพูดงั้นเหรอ ไม่มีคำนั้นในตระกูลเฮ่อของผม ผมรู้ว่าคราวนี้เชื่อคำหลอกลวงของคุณแล้วมาสร้างร้านสวนชุนสยา คุณบอกว่าจะโค่นซ่งจื่อเซวียนและทำให้ผมรวยได้ แล้วผลตอนนี้ล่ะ แม่งเอ๊ย มันก็ไม่มีเหมือนกันไง!”
“งั้นนายคิดว่ายังไง”
“ง่ายๆ ในหนึ่งเดือน ผมไม่ได้ขอให้คุณคืนเงินทั้งหมด แค่ให้ผมแปดแสนก็พอ”
โจวเผิงถอนหายใจออกและพยักหน้า “ตกลง ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ไม่ติดค้างอะไรกันแล้วใช่ไหม”
“ถูกต้อง ถือว่าฉีกสัญญาแล้ว”
พูดจบ โจวเผิงก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องส่วนตัวไป
มองแผ่นหลังของเขาที่จากไป เฮ่อเหยียนข่ายก็ถ่มน้ำลาย “ไอ้ขี้โกง!”
หลังจากออกจากโรงน้ำชา โจวเผิงก็ยืนอยู่บนทางเท้า มองดูถนนที่เปล่าเปลี่ยวในตอนกลางคืนและรู้สึกเหน็บหนาวใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาถอนหายใจและจุดบุหรี่ “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะ ตั้งแต่ซ่งจื่อเซวียนโผล่มา ฉันก็ไม่ราบรื่นสักอย่าง ไอ้ตัวซวย…”
แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเงิน
แปดแสน…โจวเผิงสามารถจ่ายได้ แต่นี่คือน้ำพักน้ำแรงที่เขาสั่งสมมาหลายปี ถ้านำไปจ่ายทั้งหมด เขายอมไม่ได้แน่นอน
ดังนั้นเขาจึงต้องหาสถานที่ที่ให้เงินแปดแสนหยวนกับเขา!
โจวเผิงนั่งสูบบุหรี่อยู่ริมถนนและมีความคิดมากมายอยู่ในหัว
ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรออกทันที
“เหล่าเจิ้ง ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“เหอะๆ โจวเผิงเอ๊ย สบายดี นายล่ะ ช่วงนี้ทำอะไรอยู่” เจิ้งฮุยถาม
“ทำงานในร้านอาหารน่ะสิ ไม่รู้ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน นายสนใจมาทำที่นี่ไหม” โจวเผิงกล่าว
เจิ้งฮุยยิ้ม “ไม่เป็นไร ตอนนี้งานของฉันมั่นคงแล้ว นายทำงานที่ร้านไหนล่ะ”
“ทางเขตเฉิงตงน่ะ แต่เหล่าเจิ้ง ก่อนหน้านี้นายยังว้าวุ่นที่ไม่มีงานทำไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงมั่นคงแล้วล่ะ”
“เฮ้อ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นนายท่านรองที่ทำให้ฉันมีข้าวกิน นายท่านรองน่ะนายรู้จักใช่ไหม”
“อ๋อๆ รู้จักสิ ซ่งจื่อเซวียนข้าวผัดจักรพรรดิไง” โจวเผิงยิ้มอย่างมีเลศนัยและดูเหมือนจะมีไอเดียบางอย่าง
“ใช่ เขาเปิดร้านอาหารตรงมหา’ลัยหนานกวน ตอนนี้กิจการดีมากแล้วยังมีอาหารเมนูพิเศษใหม่ๆ ที่โด่งดังอีกด้วย ต้องพูดเลยว่านายท่านรองสุดยอดจริงๆ” ขณะที่เจิ้งฮุยพูด ในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นอยู่ในนั้นด้วย
โจวเผิงบอกได้ว่าตอนนี้เจิ้งฮุยคือคนของซ่งจื่อเซวียนอย่างแน่นอน แต่ก็ดีเหมือนกัน นี่คือข้อมูลที่เขาต้องการ
“ไม่เลวเลย เหล่าเจิ้ง ร้านอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันจะหาโอกาสลองไปที่นั่น” โจวเผิงกล่าว
เจิ้งฮุยหัวเราะครืนใหญ่ “ฮ่าๆๆ นายวางแผนที่จะขโมยสูตรลับเหรอ หยุดซะเถอะ เมื่อก่อนฉันเรียนทำข้าวผัดจักรพรรดิมานานก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับนาย”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากลองอาหารเมนูพิเศษที่นายพูดถึงน่ะ”
“ฮ่าๆ ได้สิ งั้นนายมาได้เลย ตรงข้ามมหา’ลัยหนานกวน สวนสวินเฟิงน่ะ!”
“โอเค วันหลังฉันจะเข้าไปแล้วเราค่อยคุยกัน”
“ได้เลย!”
หลังจากวางสาย โจวเผิงก็ยักไหล่และยิ้ม “น่าสนใจนิดหน่อยแฮะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดคลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขามักจะทำเพื่อฆ่าเวลา
จนกระทั่งเขาเห็นคลิปวิดีโอของเลคริเซียส โจวเผิงก็หัวเราะและพูดว่า “ไอ้บ้านี่ยังเหยียดหยามคนอยู่อีกเหรอ”
ในมุมมองของโจวเผิง ตราบใดที่เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ แค่ดูเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น
เนื่องจากเลคริเซียสโด่งดังในช่วงเวลานี้ ปกติแล้วเมื่อได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงในอินเทอร์เน็ต ก็จะมีผู้คนบันทึกคลิปเขาเป็นจำนวนมากและอัตราการเข้าชมก็สูงมาก
แต่เมื่อเขาเลื่อนไปอีกหนึ่งคลิปวิดีโอ ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ เบิกกว้าง
“ซ่ง ซ่งจื่อเซวียน…”
เนื้อหาในวิดีโอเป็นการประจันหน้ากันระหว่างซ่งจื่อเซวียนและเลคริเซียสในวันนี้ รวมถึงหวังเฉิงยงและหยางต้าฉุยก็อยู่ในวิดีโอด้วย
“ละ…หลังจากนี้เจ็ดวัน” ขณะที่พูด โจวเผิงก็เริ่มขมวดคิ้ว แต่ไม่นานก็คลายออกและเผยรอยยิ้มออกมา
“แปดแสนนี้…มีคนออกให้แล้ว!”
ช่วงเย็น ซ่งจื่อเซวียนให้ซางเทียนซั่วไปส่งหวังเฉิงยงที่สวนสวินเฟิง
เมื่อเดินเข้าไปในสวนสวินเฟิง หวังเฉิงยงมองไปรอบๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“นี่คือร้านของซ่งจื่อเซวียนเหรอ”
ซางเทียนซั่วกล่าว “ใช่แล้ว เสี่ยหวังเชิญทางนี้ อาจารย์ของผมจองห้องส่วนตัวไว้ให้แล้ว”
“อืม เด็กคนนี้ใช้ได้ ไปๆๆ เราไปดูกันเถอะ!”
จากนั้น ซางเทียนซั่วก็เดินนำหวังเฉิงยงเข้ามาในห้องส่วนตัว
มองดูการตกแต่งในห้องส่วนตัว หวังเฉิงยงก็พยักหน้า “แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นร้านของซ่งจื่อเซวียน”
“หา คุณดูออกได้ยังไง” ซางเทียนซั่วเอ่ยถาม
หวังเฉิงยงคลี่ยิ้มและพาดขาของเขาบนเก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะพูดว่า “นี่เรียกว่าสง่างาม นายไม่เข้าใจหรอก”
ซางเทียนซั่วกลอกตา ฉันจะไม่เข้าใจได้ยังไง ฉันไม่ใช่ผู้ชายหยาบคายสักหน่อย…
ในไม่ช้า ซ่งจื่อเซวียนในชุดเชฟก็เดินเข้ามา อย่างไรเขามีนัดกับหวังเฉิงยงในช่วงกลางคืน เขาจึงไม่รีบร้อนเก็บตัวเพื่อศึกษาโต้วหลงเหมิน และเขายังเสิร์ฟน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายสองสามที่อีกด้วย
“เสี่ยหวัง เพิ่งมาถึงเหรอครับ”
“เพิ่งถึงๆ ไอ้หนูพอนายสวมชุดเชฟแบบนี้แล้ว…ดูดีเลยนะ ฉันชอบ!”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “เอาล่ะ เทียนซั่วไปเตรียมอาหารหน่อย ฉันจะคุยกับเสี่ยหวัง”
“เฮ้ยๆๆ อย่าลืมเอาเหล้ามาด้วยล่ะ”
“เสี่ยหวัง วันนี้ผมมีเรื่องจะขอคำปรึกษาคงไม่ต้องดื่มเหล้ามั้งครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไร้สาระ ข้าจะกระปรี้กระเปร่าหลังจากดื่มเหล้า รีบเร็วเข้า!”
ซ่งจื่อเซวียนก็มึนงงเช่นกัน จากนั้นก็หันไปหาซางเทียนซั่วแล้วพยักหน้าให้เขานำเหล้ามาหนึ่งขวด
หลังจากจัดเตรียมอาหารและเหล้าเสร็จแล้ว หวังเฉิงยงก็จิบเหล้าเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมาฉับพลัน
“ไอ้หนู วันนี้ฝีมือนายใช้ได้แต่ยังไม่แข็งแกร่ง ฉันขอถามนายหน่อย นายคิดว่าถ้าอยากเล่นกับไฟ…อาหารประเภท ไหนเหมาะสมที่สุดล่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็สับสนเล็กน้อย การทำอาหารไม่มีอะไรมากไปกว่าการผัด ทอด ตุ๋น ต้ม นึ่ง การควบคุมกำลังไฟเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ด้วยเหรอ
…………………………………………………….
……….