เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 287 อะลุ่มอล่วยให้หนึ่งครั้ง
ตอนที่ 287 อะลุ่มอล่วยให้หนึ่งครั้ง
……….
ถังหย่าฉีตกใจ ในสายตาของเธอนั้นซ่งจื่อเซวียนอ่อนโยนและมีความอดทนมาตลอด รวมถึงเขาไม่เคยทะเลาะกับเธอเลยด้วยซ้ำ
ทว่าเหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้รู้สึกสับสนอยู่บ้างจริงๆ
แต่ไต้ทงที่อยู่ด้านข้างกลับไม่ได้เข้ามาช่วย เขามองออกว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ และในเวลานี้ถังหย่าฉีควรยอมถอยไปจริงๆ เมื่อครู่นี้เธอเอาความคิดของตัวเองเป็นหลัก
เมื่อเห็นดังนั้น หวังเฉิงยงก็คลี่ยิ้ม “เอาล่ะ ไอ้หนู ตามนั้น คืนนี้เราจะไปที่ร้านของนายกัน แล้วฉันจะฝึกฝนนายให้ดี!”
“ได้เลยครับ ผมจะเตรียมเครื่องดื่มและกับแกล้มไว้ให้คุณเอง”
จากนั้นหวังเฉิงยงก็จากไป
หยางต้าฉุยกล่าวขึ้น “เจ้ารอง เสี่ยหวังคนนี้ไม่ธรรมดา แกขอคำแนะนำจากคนอื่นจะดีกว่านะ”
“ขอบคุณครับเถ้าแก่ ผมรู้ แล้วถ้าคนพวกนั้นมาก่อกวนคุณอีก คุณโทรมาหาผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาด”
แม้เขาจะรู้สึกว่าเลคริเซียสไม่น่าจะกลับมาอีก แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ยังกังวลอยู่จึงได้พูดออกไป
หยางต้าฉุยรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “แกไม่ต้องกังวล ฉันทำได้ จริงสิเจ้ารอง ช่วงนี้พี่หานสบายดีใช่ไหม”
“สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”
“งั้นก็ดี ไม่ได้เจอเธอมาหลายวันแล้ว ฉันกลัวว่าเธอจะป่วย แล้วผู้เฒ่าฟางล่ะ”
พูดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็คิดว่าตอนนี้ตนมาถึงแถวหน้าบ้านแล้ว แวะไปเยี่ยมชายชราด้วยจะดีกว่า
จากนั้น หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค ซ่งจื่อเซวียนก็ออกจากร้านอาหารชุนเซียงไป
เขาให้พวกถังหย่าฉีกลับไปที่สวนสวินเฟิงก่อน ส่วนเขาจะไปเยี่ยมชายชรา แต่ถังหย่าฉียอมเสียที่ไหน เรื่องเมื่อครู่นี้ยังไม่คลี่คลาย เธอกำลังจะคิดบัญชีกับซ่งจื่อเซวียน
ไม่มีทางเลือกอื่น ซ่งจื่อเซวียนทำได้เพียงพาเธอไปเยี่ยมฟางจิ่งจือด้วยกัน ขณะที่ฟางรุ่ยและไต้ทงรออยู่นอกซอย
เมื่อเดินเข้าไปในซอย ถังหย่าฉีก็สีหน้าห่อเหี่ยวและบ่นพึมพำออกมา “ใช่สิ ฉันดูซ่งจื่อเซวียนไม่ออกจริงๆ นายมันพวกความคิดชายเป็นใหญ่ เพื่อจะเรียนรู้เคล็ดลับอะไรนั่น นายถึงกับลากฉันเข้าไปด้วย นายนี่มันดีจริงๆ เลยนะ!”
“เหอะๆ โอเค นายคิดจะเงียบใช่ไหม ว่ากันว่าความเงียบคืออาวุธที่ดีที่สุด นายกล้าใช้อาวุธนี้กับฉันได้ยังไงเนี่ย ได้ๆๆ ซ่งจื่อเซวียน ถือว่าฉันมองนายไม่ออกมาตลอดเอง ใจร้ายจริงๆ”
“ฉัน…”
“ทำไม เป็นแบบนี้แล้วนายยังอยากจะอธิบายอีกเหรอ หน้าด้านจริงๆ ไม่รู้ว่านายเรียนรู้ทักษะนี้มาจากใคร คงไม่ใช่ตาเฒ่าเมื่อกี้หรอกใช่ไหม นายมีอาจารย์เยอะแยะจริงๆ เลยนะ ทั้งเรียนทำอาหาร แล้วก็เรียนรู้ที่จะหน้าด้านด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนยอมแล้วจริงๆ จึงหันกลับมาพูดว่า “แม่ทูนหัวฉันยอมแล้ว ยอมแล้วโอเคไหม เธอหยุดเถอะ”
“ทำไมล่ะ ยังคิดว่าฉันยังพูดไม่จบเหรอ นายดูถูกฉันใช่ไหม ฉันว่านายเสียใจที่เปิดร้านสวนสวินเฟิงกับฉันแล้วล่ะ ได้เลย ยังไงนายก็ได้เงินทุนกลับมาแล้ว ฉันไปให้พ้นก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ นายอยากให้ฉันออกไปจากจีนไม่ใช่หรือไง ฉันทำตามที่นายอยากได้ก็พอแล้วใช่ไหม
ซ่งจื่อเซวียนงุนงง นี่มันเกี่ยวอะไรกัน
“ไม่ใช่นะ ฟังฉันก่อนหย่าฉี เธอก็รู้สถานการณ์เมื่อกี้ เสี่ยหวังแค่หยอกฉัน ฉันก็แค่ตามน้ำไปเท่านั้น แล้วเขาก็เป็นคนสอนฉันด้วย ตาเฒ่าคนนี้มีทักษะบางอย่าง ถ้าพึ่งแค่พลังของฉันในตอนนี้ เลคริเซียสอะไรนั่นคงเผาฉันจนตายแน่!”
อันที่จริงถังหย่าฉีก็รู้ดีว่าซ่งจื่อเซวียนจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะ ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นอันตราย
และรู้อีกด้วยว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ตะโกนใส่เธอจริงๆ เป็นเพราะตาเฒ่าหวังพูดแบบนั้นออกมาก่อนแล้ว
แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ ปกติแล้วซ่งจื่อเซวียนมักจะตามใจเธอ แต่จู่ๆ เธอก็โดนตะโกนใส่จึงรู้สึกโมโห
เธอมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ฉัน…ฉันรู้ แต่ฉันไม่อยากให้นายตะโกนใส่ฉันนี่”
เมื่อเห็นว่าถังหย่าฉีอารมณ์ดีขึ้น ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “โธ่เอ๊ยแม่ทูนหัว มันก็แค่หยอกล้อกันเองไหม เสี่ยหวังหยอกฉัน ฉันก็หยอกเขากลับ เขาต้องการรักษาหน้า เราก็ไว้หน้าเขาไง”
ถังหย่าฉีก้มหน้าลงเล็กน้อย มุ่ยปากแล้วพยักหน้า
“เอาล่ะ รีบไปเยี่ยมตาเฒ่ากันเถอะ”
ทั้งสองคนมาถึงบ้านของฟางจิ่งจือ ประตูลานบ้านไม่ได้ใส่กลอน พวกเขาจึงเดินเข้าไปทันที
ลานบ้านยังคงสะอาดสะอ้าน เป็นเพราะซ่งจื่อเซวียนมาทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้ยินเสียงงิ้วปักกิ่งที่ดังมาจากในห้อง ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้าไปข้างใน เขายังไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงของฟางจิ่งจือ
“เจ้าหัวขโมย ไม่เอาเหล้ามาด้วยแล้วมาทำไม ออกไป!”
เมื่อได้ยินคำดุด่าจากฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่โกรธ แต่รู้สึกอบอุ่นหัวใจและเผยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาออกมา
“เหล้าครั้งที่แล้วดื่มหมดแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง ขณะเดียวกันก็พาถังหย่าฉีเข้ามา
ฟางจิ่งจือเหลือบมองแวบหนึ่ง “โอ้โห หลานชายกับหลานสะใภ้มาด้วยกันเรอะ”
ถังหย่าฉีหน้าแดงระเรื่อ แต่เมื่อผ่านครั้งที่แล้วมาเธอก็ชิน ถึงอย่างไรนี่ก็คือการพูดจาของชายชรา
ไม่สิ ทุกคนรอบตัวซ่งจื่อเซวียนต่างก็พูดแบบเดียวกัน…ไม่สมเหตุสมผลเลย…
“ใช่แล้วปู่ ผมมาหาปู่น่ะ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าและยิ้ม “ยัยหนูจะมามือเปล่าก็ได้ ไม่เป็นไร แต่แกล่ะ”
คำถามนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนกระอักกระอ่วน แต่ถังหย่าฉีฉลาดจึงเผยรอยยิ้มแสนหวาน “คุณปู่คะ อย่าให้เขาลำบากใจเลยค่ะ หนูจะไปซื้อมาให้เอง!”
พูดจบ ถังหย่าฉีก็หันหลังเดินออกไป
เนื่องจากยังมีไต้ทงและฟางรุ่ยอยู่ข้างนอก ซ่งจื่อเซวียนไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอ ดังนั้นจึงปล่อยให้เธอไป
“แกดูเธอเป็นตัวอย่าง หลานชาย แกต้องเรียนรู้นะ”
“ได้เลย ต่อจากนี้ผมจะเรียนรู้เพิ่มเติม จริงสิอาจารย์ ช่วงนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในตู้เหมินล่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฟางจิ่งจือก็ค่อยๆ หันหน้าไปทางซ่งจื่อเซวียน “เกี่ยวกับวงการพ่อครัวเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างแรง
“มีคนมาลงสนามด้วยเรอะ มาจากทางใต้ หรือตะวันตกเฉียงเหนือล่ะ”
“ต่างชาติ” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ฟางจิ่งจือก็ไม่เปิดปากเป็นเวลานาน
“ปู่ ทำไมถึงรู้หมดเลยล่ะ”
“เชฟชาวต่างชาติมีฝีมือดีหลายคน แต่พวกเขาไม่มีกฎตายตัว ทักษะการเล่นไฟจึงตกทอดมาสู่ผู้คนมากมาย” ฟางจิ่งจือพูด
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจฟางจิ่งจือทันที ชายชราทำตามกฎเกณฑ์เสมอไม่ว่าเขาจะทำอะไร อันที่จริงจุดนี้ก็ส่งอิทธิพลต่อซ่งจื่อเซวียนด้วย
ในเรื่องหลายอย่าง ซ่งจื่อเซวียนให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มาก หากคุณทำตามกฎเกณฑ์ ผมก็จะเคารพคุณ หากคุณไม่ทำตามกฎเกณฑ์ ผมก็จะตักเตือนคุณ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนอยากถามฟางจิ่งจือเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมไฟ แต่เขารู้ว่าชายชราไม่สนับสนุนให้ทำแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยปากถาม
แต่ฟางจิ่งจือกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เจ้าหลานชาย ทำไมแกไม่พูดอะไรแล้วล่ะ เล่าให้ปู่ฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก”
ซ่งจื่อเซวียนมองฟางจิ่งจือและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ในวงการอาหารตู้เหมิน
หลังจากฟังซ่งจื่อเซวียนเล่าจบ ใบหน้าของฟางจิ่งจือก็เผยความปวดใจเล็กน้อย เขาเหม่อไปข้างหน้าและไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจึงเดินไปอีกด้านเพื่อจุดและเริ่มสูบบุหรี่
ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรยากาศภายในห้องก็เงียบลง
จนกระทั่งถังหย่าฉีเดินเข้ามาพร้อมถือถุงเหมาไถคุณภาพสูง เมื่อเห็นว่าฟางจิ่งจือและซ่งจื่อเซวียนต่างก็เงียบกันทั้งคู่ แถมยังนั่งห่างกันมาก เธอจึงตระหนักถึงบางเรื่อง
เธอวางถุงไว้ข้างเตียงชายชราแล้วกล่าว “คุณปู่ เขาทำให้โกรธหรือเปล่าคะ หนูซื้อเหล้ามาให้แล้ว อย่าโกรธเลยนะคะ!”
ฟางจิ่งจือหันไปมองถังหย่าฉีแล้วยิ้ม “ยัยหนู เธอนิสัยดีจริงๆ ปู่ชอบเธอนะ”
“ค่ะ คุณปู่ชอบก็ดีแล้ว ครั้งต่อไปไม่ต้องรอซ่งจื่อเซวียนแล้ว หนูจะมาเยี่ยมเองค่ะ!”
“ดีเลย คำพูดนี้ชัดเจนมาก หมายความตามนั้นจริงๆ” ฟางจิ่งจือยิ้มพราย ดวงตาของเขามีความสุขจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
อย่างไรฟางจิ่งจือก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียว ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนยังเป็นเด็กก็มาเล่นกับเขาทั้งวัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเบื่อ
แต่ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนโตแล้ว มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ชายชราจึงมักจะเบื่อหน่ายกับการอยู่คนเดียว ดังนั้นเมื่อมีคนมา เขาจึงอารมณ์ดีขึ้นเป็นธรรมดา
ฟางจิ่งจือยิ้มให้ “ยัยหนู เธอไปนั่งเล่นที่ลานบ้านสักพักก่อนนะ”
ถังหย่าฉีชะงักและมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน ราวกับเข้าใจว่าชายชราต้องการคุยกับซ่งจื่อเซวียนเป็นการส่วนตัว
“ได้ค่ะ พวกคุณปู่คุยกันตามสบายได้เลย ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกหนูนะคะ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าและถังหย่าฉีก็เดินออกไป
จากนั้นฟางจิ่งจือก็มองซ่งจื่อเซวียน “เจ้าหัวขโมย เรื่องนี้…เกี่ยวข้องกับแกใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ปู่ ปู่รู้เรื่องหมดแล้ว แต่ก็ยังถามผม…”
ฟางจิ่งจือพยักหน้า “ฉันคิดไว้อยู่แล้ว ตอนนี้แกมีปีกที่แข็งแกร่งแล้วก็เลยชอบเสนอหน้า”
“ผม…”
ซ่งจื่อเซวียนอยากอธิบาย แต่เขารู้ว่าอันที่จริงชายชราเข้าใจทุกอย่าง
บางครั้งฟางจิ่งจือนั้นเลอะเลือนเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาไม่ได้เลอะเลือน เขาก็ฉลาดมากจริงๆ
“ไอ้หนู แกเคยประลองกับคนคนนั้นบ้างหรือเปล่า”
“ตอนที่เถ้าแก่หยางแข่งกับเขา ผมก็ลงมือไปแล้วบ้าง แต่ตอนนั้นพลังเยอะมากจนผมคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ”
“นี่เป็นเพราะว่าแกทำอาหารตามหนังสือสูตรอาหารมานาน พลังในร่างกายแกก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการใช้งานของแก”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ปกติผมไม่เป็นแบบนี้นะ อีกอย่างการควบคุมไฟเมื่อครั้งที่แล้วก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้”
“แม้ว่ากำลังภายในจะแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีวิธีดีๆ ที่จะใช้มันออกไป แกคิดว่าการควบคุมไฟของแกตอนนี้เรียกว่าการควบคุมไฟเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดอะไรไม่ออกและยังคงฟังคำพูดของชายชราต่อไป
“ถัดจากโต้วหลงเหมินในหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงก็มีวิธีควบคุมไฟอยู่ ความจริงวฉันไม่อยากบอกแกมาตลอด แต่ตอนนี้…บางทีแกอาจจะต้องรู้เรื่องพวกนี้แล้ว”
“ถัดจากโต้วหลงเหมิน เพราะงั้น…ปู่เลยถามผมว่าฝึกโต้วหลงเหมินเป็นยังไงบ้างใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางจิ่งจือพยักหน้า “ถูกต้อง ไอ้หนู ฉันอายุเก้าสิบกว่าปีแล้วเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้น ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจหนังสือสูตรอาหารครบถ้วนก่อนที่ฉันจะตาย ต้องรู้ว่าเมื่อแกเข้าใจ ‘มังกรทะยานสี่ย่านน้ำ’ เมนูอาหารจานที่สี่ก็จะแตกฉานเหมือนฉัน”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ ที่แท้ชายชราเข้าใจอาหารทั้งสี่ของหนังสือสูตรอาหารแล้ว เช่นนั้นเขา…จะมีความหวังที่เข้าใจโต้วหลงเหมินได้จริงๆ หรือเปล่า
“ปู่ ผมยังไม่เข้าใจโต้วหลงเหมินเลย แต่ตอนนี้เลคริเซียสจะแข่งกับผมในเจ็ดวันหลังจากนี้…ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ฟางจิ่งจือก็ครุ่นคิดเป็นเวลานาน
“ไอ้หนู ฉันให้แกเรียนทำอาหาร ฉันหวังว่าแกจะเอาจริงเอาจังและมีพื้นฐานที่ดีมาโดยตลอด แต่ตอนนี้…ฉันคิดว่าจะต้องก้าวกระโดดแล้ว แกจำไว้ว่าโต้วหลงเหมินไม่มีอะไรมากไปกว่าการตุ๋น ต้องตุ๋นเป็นลำดับ มีการแยกและรวมเข้าด้วยกันอีกด้วย ปลาเงิน ปลาหมึกและหอยเชลล์ต้องตุ๋นทิ้งไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ส่วนปลาฉือต้องตุ๋นตลอด แต่รสชาติของปลาฉือคือหัวใจหลักของโต้วหลงเหมิน และควรนำปลาสดที่แช่แข็งลงในหม้อแล้วตุ๋นด้วยไฟแรง หลังจากน้ำแข็งละลายแล้วก็ให้เปลี่ยนเป็นไฟอ่อน แกเข้าใจหรือยัง
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าได้ไขข้อข้องใจปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการศึกษาโต้วหลงเหมินทันที
คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าชายชราที่พูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์มากที่สุดมาโดยตลอดจะอะลุ่มอล่วยให้ฉันจริงๆ!
…………………………………………………
……….