เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 28 นัดกินข้าว
ตอนที่ 28 นัดกินข้าว
ซ่งจื่อเซวียนเห็นสาวสวยก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ถามว่า “ข้าวผัดนี่…เธอเป็นคนสั่งเหรอ”
เห็นทั้งสองเหมือนจะรู้จักกัน โจวเผิงอดแปลกใจไม่ได้ ในใจคิดว่าจบแล้ว ถ้าอย่างนี้บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ซักถามแล้ว
เขารีบพูด “แหะๆ คุณคนสวย ที่แท้พวกคุณก็เป็นเพื่อนกันนี่เอง แต่คุณวางใจได้ ส่วนรวมก็คือส่วนรวม ส่วนตัวก็คือส่วนตัว พวกเราไม่สามารถเมินเฉยให้พนักงานดึงเรื่องส่วนตัวมาปกปิดความผิดของตัวเองได้ครับ”
สาวสวยเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง สายตาเรียบเฉยมาก พูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณค่ะ”
น้ำเสียงที่พูดแข็งกระด้างเหลือเกิน ทำให้โจวเผิงรู้สึกหน้าร้อนไปชั่วขณะ เรียกได้ว่ากระอักกระอ่วน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้ามองสาวสวยแล้วก็จากไป ตอนที่เดินแยกออกมาไม่ลืมหันกลับไปมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง คิดในใจว่าถือว่านายโชคดีแล้วกัน แต่คราวหน้า…หึ!
“วันนี้นายไม่ได้ใส่สูทเหรอ” ถังหย่าฉีพูดด้วยรอยยิ้ม ตอนที่มองซ่งจื่อเซวียน สายตาของเธออ่อนโยนอยู่ไม่น้อย
“อืม ใส่ชุดแบบนั้นทำอาหารเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะนะ…” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าแล้วพูด
ความจริงแล้วท่าทีของซ่งจื่อเซวียนก็อ่อนโยนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ตอนที่เขาเดินมาก่อนหน้านี้ท่าทางดูเย็นชา แต่เมื่อเจอหน้าถังหย่าฉี ความรู้สึกนั้นในใจก็สลายหายไป
“นายนั่งลงก่อนสิ ฉันคงไม่ได้รบกวนเวลาทำอาหารใช่ไหม” ถังหย่าฉีพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่หรอก จานละ 899 หยวน จะมีคนสั่งเยอะที่ไหนกัน”
พูดจบ เขาก็พิงพนักเก้าอี้ เห็นได้ชัดว่าสบายอกสบายใจอย่างมาก อย่างน้อยก็ดูไม่เข้ากับช่วงมื้อเย็นที่เร่งรีบ ต้องรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าจะโถงด้านหน้าหรือครัวด้านหลังก็ต่างยุ่งกันจนขาขวิด
“อาหารนี่นายเป็นคนทำจริงๆ เหรอ” ถังหย่าฉีถามด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย
“อืม รสชาติเป็นยังไงบ้าง” ซ่งจื่อเซวียนโพล่งถาม
“ฮ่าๆ อร่อยมากจริงๆ ซ่งจื่อเซวียน ฉันไม่เคยกินข้าวผัดที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย อ้อ ไม่สิ เป็นอาหารที่ไม่มีอาหารอะไรเทียบกับมันได้เลย ต่อให้เป็นสเต็กเนื้อแบบฝรั่งเศสหรือจะกุ้งล็อบสเตอร์ของยุโรป พอเทียบกับข้าวผัดนี่ก็เป็นขยะไปเลย!” ถังหย่าฉีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนมองถังหย่าฉี ยิ้มเบาบางออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ต้องโอเวอร์ขนาดนั้นเลยเหรอ”
สำหรับถังหย่าฉีแล้ว บ้านของเธอไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุที่พูดขนาดนี้คงต้องเป็นเพราะเธอกินอาหารรสเลิศจากป่าและทะเลจนเอียนแล้ว เขานึกภาพออกว่ารสชาติของข้าวผัดหยกทองจะต้องไม่เลวแน่ๆ แต่ถ้าเทียบกับอาหารล้ำค่าพวกนั้น…ก็น่าจะยังด้อยกว่าอยู่บ้าง
“ไม่ได้โอเวอร์เลยสักนิดนะ ไม่เชื่อนายก็ลองดูสิ” ถังหย่าฉีพูดพลาง หยิบช้อนยื่นมาที่ปากของซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก นี่…ป้อนฉันเหรอ
พูดตามตรงเขาตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง ถึงแม้คราวที่แล้วจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย แต่ต้องยอมรับว่านางฟ้าถังหย่าฉีคนนี้ใช้เพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกและรัศมีก็มากพอจะทำให้คนหลงรักได้แล้ว
“ทำไมล่ะ” เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่อ้าปาก ถังหย่าฉีจึงถาม
“เอ่อ…ช้อนนี่เธอเพิ่งใช้ไปนี่” ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลุดคำพูดนี้ออกไป แต่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ก็นึกเสียใจทีหลังแล้ว
คำพูดนี้ทำให้ถังหย่าฉีหน้าแดงขึ้นมา รู้สึกร้อนๆ “ขอ ขอโทษนะ ฉันเปลี่ยนให้นายแล้วกัน…”
บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันตา ถังหย่าฉีหยิบช้อนอันใหม่ข้างๆ มา ครั้งนี้ไม่ได้ป้อนซ่งจื่อเซวียนแล้ว แต่ยื่นช้อนให้เขาแทน
อย่างไรก็เป็นหัวใจเด็กสาว จะยอมโดนเหยียบย่ำแบบนี้ได้ที่ไหน…
ซ่งจื่อเซวียนพูดในใจ นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ดันพูดกับเธอไปแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นถังหย่าฉีด้วย…ฉันมันโง่ไปแล้วหรือไง
แต่ก็ออกปากไปแล้ว เขาก็ต้องรับช้อนมาชิมทันที พูดตามตรงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ชิมด้วยตัวเอง ผัดมาทั้งหมดสามครั้ง ชิมกับปากตัวเองเป็นครั้งแรก
ตอนที่ข้าวเข้าปาก กลิ่นไข่หอมๆ ก็คลุ้งไปทั่วทั้งปากพร้อมกันทันที ซ่งจื่อเซวียนอดคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ไม่ได้ ขณะที่เคี้ยวตาสองข้างก็กลอกไปซ้ายขวาอย่างไม่รู้ตัว เหมือนสัมผัสกับรสชาติพลางครุ่นคิดว่าบนโลกมนุษย์นี่มีอาหารรสเลิศแบบนี้ได้อย่างไร และนึกไม่ถึงว่าจะเป็นตัวเองที่ผัดรสชาติล้ำเลิศนี่ออกมา
“พระเจ้าช่วย อะ อร่อยมากจริงๆ ด้วย” ซ่งจื่อเซวียนพูดกับตัวเอง
“แน่นอนว่าอร่อยอยู่แล้วสิ นาย…ไม่เคยชิมเองเลยเหรอ” ถังหย่าฉีถาม
ซ่งจื่อเซวียนคลอนหัว ท่าทางเหมือนกำลังเสพสุขอยู่กับรสชาติของข้าวผัด
ถังหย่าฉียิ้ม “มีแบบนี้ที่ไหนกัน ไม่เคยชิมข้าวผัดที่ทำเอง แต่ว่า…เชฟซ่ง ข้าวผัดของนายมหัศจรรย์จริงๆ”
“อย่างนั้นเหรอ เหอะๆ น่าเสียดายที่ตั้งราคาแพงเกินไป ไม่อย่างนั้นยอดขายน่าจะดีกว่านี้สักหน่อย” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเผยรอยยิ้มจนปัญญา ถึงอย่างไรเป็นพ่อครัว เขาก็ยังหวังว่าจะมีโอกาสทำอาหารให้ลูกค้าได้ชิมฝีมือตัวเองมากขึ้นกว่านี้ “แต่วันนี้เปิดร้านวันแรกก็ได้ทำเสิร์ฟแล้วเป็นเรื่องที่ฉันคิดไม่ถึงเลย ขอบคุณเธอนะ”
“ขอบคุณฉัน? จะว่าไป…คราวที่แล้วฉันผิดเอง อยากหาโอกาสขอโทษนายมาตลอดเลย แต่ไม่รู้ว่าจะติดต่อนายยังไง” ถังหย่าฉีพูดพลางก้มหน้าเล็กน้อย
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ผ่านมาตั้งนานแล้วใครจะไปจำได้” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ความจริงเรื่องครั้งที่แล้วซ่งจื่อเซวียนก็โกรธอยู่นิดหน่อยจริงๆ อย่างไรก็ถูกคนเข้าใจผิด แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับนางฟ้าคนนี้อีก แน่นอนว่าความกรุ่นโกรธในใจก็มลายหายไปแล้ว
“ฉันจำได้นะ ความจริงคราวที่แล้วหลังจากที่ฉันแยกออกมาก็ไปดูกล้องวงจรปิด ได้รู้ว่าตอนนั้นพวกหลี่เจียหาวรังแกพวกนาย แต่พอฉันไปที่ห้องทำงานท่านประธาน นายก็ไปซะแล้ว” ถังหย่าฉีอธิบาย
“ช่างเถอะๆ เรื่องก็ไม่ได้ใหญ่โตเลย วันนี้เธอสั่งข้าวผัดของฉันก็ถือว่าหายกันแล้ว แปดร้อยกว่าหยวนเลยนะ เธอก็สิ้นเปลืองแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ ในเมื่ออร่อยก็ไม่ได้สิ้นเปลืองหรอก จื่อเซวียนนายรู้ไหม ที่บ้านฉันก็ทำธุรกิจอาหาร พูดได้ว่าไม่ว่าจะอาหารจีน อาหารตะวันตก อาหารจะดีจะแพงแค่ไหนฉันก็กินมาจนเอียนหมดแล้ว ข้าวผัดของนายทำฉันตกใจเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนมองถังหย่าฉี ไม่น่าล่ะเธอถึงพูดออกมาแบบนี้ได้ ที่แท้ที่บ้านก็ทำธุรกิจอาหาร คุณหนูใหญ่อย่างนี้ย่อมกินสิ่งที่บินอยู่บนฟ้า ว่ายอยู่ในน้ำ วิ่งอยู่บนพื้นโลกไปหมดแล้ว
“อย่างนั้นเหรอ ถ้ามีโอกาสฉันจะผัดให้เธอกินอีก เหอะๆ”
“ยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม”
สายตาของถังหย่าฉีจริงใจมาก ทำเอาซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเขินอายอยู่บ้างจริงๆ ต้องพูดเลยว่าเขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักใดๆ มาก่อน ตอนที่เผชิญหน้ากับเด็กสาวก็ยากที่จะไม่เขินอาย โดยเฉพาะนางฟ้าอย่างถังหย่าฉี ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี
ความรู้สึกแบบนี้ทั้งๆ ที่ในใจคาดหวังอยู่มาก แต่ก็ยากจะแสดงออกมา เพราะเด็กหนุ่มคนนี้หน้าบางกว่าอยู่หน่อย หากมองอีกฝ่ายมากเกินไปอาจจะรู้สึกขวยเขินเอาได้
เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่ตอบ ถังหย่าฉีจึงพูดขึ้นมา “คราวก่อนนายตอบตกลงว่าจะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ให้ฉันฟังนี่”
“หา? ใช่ ใช่ เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ ใช่แล้ว…” ซ่งจื่อเซวียนพูดจบก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองจะพูดอะไรอีก
ถ้าบอกว่าเจอกันคราวก่อนถังหย่าฉีทำให้เขาพูดตะกุกตะกัก เพราะเขาได้เจอเด็กสาวที่สวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก เช่นนั้นคราวนี้ก็เป็นเพราะถังหย่าฉีปรากฏตัวได้น่าแปลกใจไปหน่อย ซ่งจื่อเซวียนกระทั่งไม่ได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ
“เมื่อกี้นายบอกว่าทำเสิร์ฟในวันแรก…ถ้างั้นก็เป็นวันเริ่มงานวันแรกของนายใช่ไหม” ถังหย่าฉีพูด
“อืม วันนี้วันแรก”
“ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวให้ฉันเลี้ยงข้าวนายดีไหม เป็นการฉลองให้การทำงานวันแรกของนายไง”
“ทำงานวันแรกมีอะไรให้น่าฉลองกัน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“โธ่ ตกลงตามนี้แหละ ถือว่าฉันทำเพื่อไถ่โทษให้นายครั้งที่แล้วละกัน นายเลิกงานกี่โมงล่ะ ฉันจะรอ”
“เอ่อ…ครัวด้านหลังเลิกสามทุ่มครึ่ง”
“โอเค!”
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็กลับไปที่ครัวด้านหลังอีกครั้ง เพราะยังไม่ได้เลิกงาน เวลางานจะมัวมาพูดคุยอยู่ตรงนี้ก็ไม่เหมาะสม อีกอย่างถังหย่าฉีก็ยังรออยู่ที่เดิม จ่ายเกือบหนึ่งพันหยวน นั่งอยู่ตรงนี้จนร้านปิดก็คงไม่มีใครไล่เธอออกไป
โจวเผิงมองถังหย่าฉีจากที่ไกลๆ ในใจแอบคิด ‘ทำไมซ่งจื่อเซวียนถึงมีเพื่อนแบบนี้ได้ สาวน้อยคนนี้เป็นเทพธิดาจากที่ไหนกัน ไม่ได้แล้ว ต้องรีบไล่เขาให้ออกไปไวๆ ไม่อย่างนั้น…หลังจากนี้อาจจะจัดการดูแลภัตตาคารต้าสือไต้นี้ได้ยากแน่’
ถังหย่าฉีไม่ว่าจากสิ่งที่สวมใส่อยู่หรือมารยาทก็ดูออกว่าฐานะไม่ธรรมดา บวกกับเธอเข้าใจอาหารรสเลิศเป็นอย่างดี หากมีคนแบบนี้มาถือหางซ่งจื่อเซวียน เกรงว่าซ่งจื่อเซวียนจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการอาหารได้ง่ายๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ โจวเผิงก็จะจัดการลำบาก
อย่างไรเขาก็จัดการดูแลภัตตาคารนี้ ถ้าเป็นไปตามปกติเขาก็นับว่าเป็นคนที่มีสิทธิมีเสียงมากที่สุด แต่ถ้ามีคนดังในวงการอาหารโผล่มา สิทธิและเสียงของเขาจะต้องถูกจำกัดแน่
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจในความความคิดของตัวเอง แต่จะไล่ซ่งจื่อเซวียนออกไปอย่างไรกลับเป็นปัญหาที่ยาก เนื่องจากเถ้าแก่แต่งตั้งเขามารับผิดชอบข้าวผัดโดยเฉพาะ แค่ความสัมพันธ์นี้อย่างเดียว…ก็ค่อนข้างลำบากแล้ว
……
รถบีเอ็มดับเบิลยูสีแชมเปญกำลังเคลื่อนที่อยู่บนถนน สุดท้ายก็ค่อยๆ จอดที่ริมถนนสยากวง
หลี่เจียหาวมองผ่านกระจกรถไป ขมวดคิ้วเล็กน้อยถามว่า “โหวจื่อ ที่นี่จริงเหรอ”
“น่าจะไม่ผิดครับคุณชายหลี่ นี่คือที่ที่พวกเขาปักหมุดมาให้ จีพีเอสนำทางมาที่นี่ครับ” โหวจื่อก็มองไปทางนั้นเช่นกัน
ร้านอาหารร้านหนึ่งริมถนนดูแล้วขนาดประมาณสี่สิบห้าสิบตารางเมตร ตกแต่งธรรมดามาก ป้ายร้านเหนือประตูเป็นป้ายกล่องไฟ แต่ตัวอักษรไม่สว่างแล้ว ทว่ายังอาศัยแสงไฟมองจนเห็นตัวอักษรว่าร้านอาหารอวิ้นชาง
พวกหลี่เจียหาวสามคนเดินลงจากรถ เดินไปที่หน้าร้าน มองทะลุประตูกระจกเข้าไปเห็นหมอกควันลอยอบอวลเหมือนเมฆอยู่ด้านใน ร้านอาหารเล็กๆ แบบนี้ ด้วยฐานะการเงินของเขาปกติไม่มีทางเดินเข้าไป แต่วันนี้โหวจื่อนัดพี่เจี๋ยเอาไว้ เขาจึงทำได้แค่มาที่นี่ตามนัด
เดินเข้าไปในร้าน โหวจื่อลองเดินไปถามที่เคาน์เตอร์ ต้องรู้ว่าพวกพี่เจี๋ยอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน หลี่เจียหาวรู้สึกว่าน่าขำ ร้านอาหารแบบนี้ถูกขนานนามในเมืองตู้เหมินว่าร้านอาหารหมา หรือก็คือเกรดต่ำที่สุด นึกไม่ถึงว่าจะมีห้องส่วนตัว…นี่กลับน่าสนใจจริงๆ
ประตูห้องส่วนตัวเปิดแง้มไว้ ช่องว่างสิบเซนติเมตรมีควันบุหรี่ลอดออกมา และยังได้ยินเสียงโวยวายและเสียงแก้วกระทบกันจากด้านใน
หลี่เจียหาวเคาะประตูสองครั้ง ประตูก็เปิดทันที คนด้านในพลันมองมาที่เขา แต่ละคนสายตาท่าทางดุร้าย เหมือนกับพวกปีศาจซาตาน มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี
ชายอายุประมาณสามสิบปีที่นั่งอยู่ตรงกลาง รูปร่างกลางๆ ใส่เสื้อยืดลายดอก ผมยาวหนึ่งนิ้วเสยปาดไปด้านหลัง หน้าตานับว่าธรรมดา แต่สายตากลับดุดันมากทั้งยังแฝงด้วยความรุนแรงเล็กน้อย
ไม่ต้องรอให้หลี่เจียหาวเปิดปาก โหวจื่อที่อยู่ด้านหลังเดินขึ้นหน้ามา พูดว่า “พี่เลี่ยง ท่านนี้คือคุณชายหลี่”
ชายที่อยู่ข้างๆ ชายเสื้อยืดลายดอกก็คือพี่เลี่ยงคนที่ไปหาเรื่องซ่งจื่อเซวียนในวันนั้น ได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้า คุยกับชายเสื้อลายดอกว่า “พี่เจี๋ย นี่เด็กคนนั้นที่ผมเล่าให้พี่ฟัง”
สายตาของพี่เจี๋ยหยุดที่หลี่เจียหาว พยักหน้าเบาๆ “สละที่นั่งให้พวกเขา”
พี่เจี๋ยพูดจบ ลูกน้องคนหนึ่งที่ใส่กางเกงยีนส์ลุกขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าสละที่นั่งตรงนี้ให้หลี่เจียหาว ส่วนชายอ้วนหัวโล้นและโหวจื่อไม่มีสิทธิ์ได้นั่ง
บรรยากาศในห้องส่วนตัวเงียบลงชั่วขณะหนึ่ง เสียงโวยวายเมื่อครู่และเสียงแก้วกระทบกันหยุดลงทันที มีเพียงควันบุหรี่ที่ยังคงลอยวนอยู่ในอากาศ
“พี่เจี๋ย วันนี้ผมมาหาคุณ หลักๆ เพราะอยาก…”
ไม่รอหลี่เจียหาวพูดจบ พี่เจี๋ยก็ยกมือขึ้นหยุดเขา พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่กินเหล้าห้ามพูด กินก่อนสักแก้วสิ”
พูดจบ ลูกน้องข้างๆ ก็เทสุราจนเต็มแก้ว เมื่อเห็นแก้วที่เต็มไปด้วยสุรา หลี่เจียหาวรู้สึกเพียงว่าท้องไส้ปั่นป่วน…
………………………………