เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 272 อธิบายได้แล้ว!
ตอนที่ 272 อธิบายได้แล้ว!
ซ่งจื่อเซวียนมองจงเทียนอวี่ ด้วยสายตาที่เหยียดหยามอยู่บ้าง
“รุ่ยจื่อ บอกพวกเขาสองคนไปรอที่หน้าประตู”
“ครับ นายท่านรอง!”
รุ่ยจื่อพูดจบแล้วก็เดินไปข้างหน้า มือซ้ายและมือขวาแยกกันวางอยู่บนไหล่ของจงเทียนอวี่กับหลี่เฉิง
ออกแรงเล็กน้อย ทั้งสองคนก็ร้องเจ็บขึ้นมา โดนฟางรุ่ยลากออกไปทันที
ซ่งจื่อเซวียนหันตัวกลับมามองจางเฉิงกุ้ย “เชฟจาง ผมอยากถามหน่อย ปกติคุณทำโจ๊กผักให้ท่านผู้เฒ่าหลิง ใส่อะไรบ้างเหรอครับ”
“หืม โจ๊กผักเหรอ ท่านผู้เฒ่าหลิงชอบกินผักปวยเล้ง ผักกาดขาว บางครั้งจะสั่งให้ผมใส่กุ้งตัวเล็กลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติครับ”
“แล้วยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามต่อ
จางเฉิงกุ้ยครุ่นคิด “เอ่อ…ไม่มีนะครับ ช่วงนี้ท่านผู้เฒ่าหลิงกินข้าวต้มกุ๊ยค่อนข้างเยอะ แล้วก็กินข้าวต้มผักเป็นบางครั้ง”
พอได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนกลับแปลกใจอยู่บ้าง
ดูจากอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าหลิง มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์คือโดนพิษของต้นลำโพงม่วง แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อย จึงไม่มีอาการร้ายแรง
และลำโพงม่วงมีลักษณะคล้ายใบไม้ น่าจะเข้าไปผสมกับโจ๊กผักได้ง่ายกว่า
แต่ท่านผู้เฒ่าหลิงกินแค่สองสามครั้งเท่านั้น…
หรือว่ามีคนบดมันให้กลายเป็นผงกัน
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจออกมา ถ้าอย่างนั้น…คนที่ใส่ยาพิษต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อซ่งจื่อเซวียนดมหม้อดินอีกสองหม้อที่เหลือ กลับไม่มีกลิ่นของลำโพงม่วงเลย
“เชฟจาง สองสามวันนี้นอกจากกินข้าวต้มแล้ว ท่านผู้เฒ่าหลิงยังกินอะไรอีกครับ”
“เอ่อ…ผมไม่รู้แล้วครับ เพราะผมรับผิดชอบแค่ข้าวต้มเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีผักดองที่คนอื่นเสิร์ฟไปคู่กันนิดหน่อย ส่วนเวลาอื่นท่านผู้เฒ่าหลิงกินอะไร…ผมไม่รู้ครับ” จางเฉิงกุ้ยพูด
แต่ประโยคนี้กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนตาเป็นประกาย “ผักดองงั้นเหรอ อยู่ไหนครับ”
“อยู่ทางนี้ครับ”
จางเฉิงกุ้ยเดินไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นชี้ไปที่โถทรงแบนที่วางอยู่บนโต๊ะเตรียมอาหาร
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปข้างหน้าแล้วมอง เป็นโถเซรามิกอันหนึ่ง ทรงกลมแบน มีฝาปิดสนิท
เขาเปิดฝาแล้วดมดู กลิ่นของลำโพงม่วงชัดเจนมาก ถึงแม้จะไม่แรง แต่ก็มีกลิ่นอยู่
ลำโพงม่วงมีพิษแรงมาก แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อย อาจจะไม่ทำให้ตายในทันที ทว่าหากกินเป็นเวลานาน จะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายอย่างแน่นอน
และกลิ่นของลำโพงม่วงก็โดนกลบด้วยกลิ่นอื่นง่ายมาก จึงตรวจพบได้ยาก
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเป็นเด็ก ฟางจิ่งจือเคยเอาสมุนไพรประเภทนี้มาให้ซ่งจื่อเซวียนดม และบอกเขาว่าต่อไปต้องระวังอย่าเผลอกินผิด
ซ่งจื่อเซวียนจึงจำได้แม่น
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจหนึ่งที “เชฟจาง ใครเป็นคนซื้อผักดองนี้ครับ หรือว่าทำเอง”
“ผมทำเองครับ ท่านผู้เฒ่าหลิงเป็นคนสอนวิธีการดอง ผมทำตามวิธีของเขาทั้งหมด”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วจึงพยักหน้า เขามั่นใจว่า ปัญหาอยู่ในผักดองนี้
แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าจางเฉิงกุ้ยเป็นคนวางยาพิษ หากใช่…จุดประสงค์ก็เหมือนจะอธิบายยาก
แต่หากไม่ใช่ เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนอื่น อย่างไรการใส่ลำโพงม่วงลงไปในผักดอง ก็ต้องเป็นฝีมือคนแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะอย่างขมขื่นไม่หยุด คนที่วางยาพิษโหดเหี้ยมจริงๆ รู้ว่าปกติท่านผู้เฒ่าหลิงกินแต่ข้าวต้ม ถึงได้ใส่ลำโพงม่วงลงไปในผักดอง
ตัวเองเพิ่งจะบอกไปเมื่อครู่ ว่าเย็นนี้จะรับผิดชอบอาหารการกินของท่านผู้เฒ่าหลิงเอง
หากตัวเองทำข้าวต้ม แล้วใส่ผักดองลงไป เกรงว่าตนจะกลายเป็นคนที่วางยาพิษเสียเอง
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงแสร้งทำเป็นหมดธุระแล้วเดินออกไป
พอเดินออกจากห้องครัว ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นจงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงยังถูกฟางรุ่ยจับอยู่ข้างนอก จึงเอ่ยว่า “รุ่ยจื่อปล่อยพวกเขาเถอะ จงเทียนอวี่ หลี่เฉิง ฉันจะไปที่ห้องครัวของพวกนาย!”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่า ในตระกูลหลิงนอกจากห้องครัวใหญ่ที่ทุกคนใช้แล้ว หลิงเจิ้น ตู้ปั๋ว จงเทียนอวี่และหลี่เฉิงล้วนมีห้องครัวเล็กเป็นของตัวเอง
ดังนั้น ถ้าจะสืบหาเบาะแส จะมองข้ามห้องครัวเล็กเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด
ได้ยินดังนั้น จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงสบตากันหนึ่งที
ห้องครัวเป็นพื้นที่ส่วนตัวของพวกเขา จึงไม่ยอมให้ซ่งจื่อเซวียนเข้าไป
“ไปห้องครัวของฉันงั้นเหรอ หึ ไม่ได้ อย่าแม้แต่จะคิด!” จงเทียนอวี่พูด
พวกเขากำลังพูดกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเถียงกันดังมาจากประตูใหญ่
“แม่งเอ๊ย เปิดประตู!” เป็นเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ยามหน้าบ้านตระกูลหลิงมองผ่านประตูเหล็กกั้น “คุณมาหาใครน่ะ! นัดไว้หรือเปล่า”
“แม่งไร้สาระ ฉันมาหาหลิงเข่อเอ๋อร์ อ้อ แล้วก็ซ่งจื่อเซวียน รีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้ มีเรื่องด่วน!” ผู้ชายคนนั้นร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด
“คุณรอผมโทรศัพท์ถามก่อน ไม่อย่างนั้นไม่สามารถเปิดให้คุณได้ครับ!”
ยามคนนี้เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ เนื่องจากครั้งที่แล้วยามเปิดประตูให้พวกเลคริเซียสโดยพลการ จึงถูกหลิงเจิ้นเปลี่ยนยกทีม
ตระกูลหลิงเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ดังนั้นยามคนใหม่จึงไม่กล้าเปิดประตูมั่วซั่ว หากทำไม่ดีก็จะโดนไล่ออก
“รีบเปิดสิ ชักช้าอยู่ได้ ฉันมีเรื่องด่วนเลยมาหาพวกเขาเนี่ย!”
ณ ที่ไม่ไกล ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเสียงนี้แล้วรู้สึกแปลกใจไม่หยุด
“นายท่านรอง เป็นเสียงของเทียนซั่ว” ฟางรุ่ยพูดขึ้น
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ฉันจะเดินไปดู”
ทันใดนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รีบเดินมาที่หน้าประตูทันที ซางเทียนซั่วเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา จึงรีบโบกมือให้
“อาจารย์ ผมอยู่นี่!”
พอตะโกนแบบนี้…ถ้าไม่มีใครรู้ คงคิดว่าเป็นซุนหงอคงตะโกนเรียกพระถังซัมจั๋ง
ยามหน้าประตูกำลังจะโทรศัพท์เข้าไปข้างใน เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา จึงพยักหน้าทักทายในทันใด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “คุณเปิดประตูเถอะครับ เขาเป็นลูกศิษย์ของผมเอง”
“อ้อๆ ได้ครับ ยืนยันได้ก็พอ คุณก็รู้ เกิดเรื่องที่ตระกูลหลิงเมื่อวานนี้…”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้ม “ครับ ระวังไว้ก็ดี ขอบคุณนะครับ”
พอเปิดประตู ซางเทียนซั่วก็รีบเดินเข้ามา “อาจารย์ เกิดเรื่องใหญ่ที่บ้านเข่อเอ๋อร์ขนาดนี้ ผมไม่มาคงไม่เหมาะสม”
“อืม มาแล้วก็ไม่เป็นไร ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”
“พวกหูเจิ้นคอยเฝ้าร้านอยู่ วางใจได้อาจารย์” ซางเทียนซั่วเอ่ย
“ใครจะคิดว่าตระกูลหลิงจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มา เข้ามาก่อน”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงพาซางเทียนซั่วเดินไปพร้อมกับฟางรุ่ยที่อยู่ด้านข้าง
“โอเค ไปตรวจสอบที่ห้องครัวของพวกเขาก่อนเถอะ”
“ซ่งจื่อเซวียน นายถือสิทธิ์อะไรมาตรวจสอบ ฉันจะบอกนายนะ ถ้านายกล้าเข้าห้องครัวของฉัน ฉันจะเฉือนนาย!” จงเทียนอวี่กัดฟันพูด
ซางเทียนซั่วเพิ่งมาจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่พอได้ยินจงเทียนอวี่พูดกับซ่งจื่อเซวียนแบบนี้ เขาจึงโมโหทันที
“อ้าวไอ้สัต* แกแม่งพูดกับใครวะ”
ซางเทียนซั่วพูดพลางเดินเข้าไปผลักหน้าอกของจงเทียนอวี่ทันที
ใช้แรงไม่น้อย จึงผลักจงเทียนอวี่ล้มก้นจ้ำเบ้า
“แกแม่งบ้าไปแล้วเหรอ พูดแบบนี้กับอาจารย์ของฉันได้ยังไง ข้าจะตบหัวแก!”
เพียะ!
โดนตบหนึ่งที ตบจนจงเทียนอวี่งงไปหมด
จงเทียนอวี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เอ่อ…ไอ้นี่โผล่มาจากไหน เข้ามาก็ตบหน้าคน
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “พอแล้วเทียนซั่ว!”
ซางเทียนซั่วจึงหยุดมือ ชี้ไปที่จงเทียนอวี่แล้วพูดว่า “ฉันจะบอกนายให้นะ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อาจารย์ของฉันจะตรวจห้องครัว แกรีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย!”
คนปากเก่งกลัวความรุนแรง คนรุนแรงกลัวตาย
แต่คาดว่าคนพวกนี้น่าจะกลัวคนบ้า
ซางเทียนซั่วพอเข้ามาในตระกูลหลิงก็เหมือนคนบ้า ทำเอาจงเทียนอวี่ตกใจกลัว เขาจึงไม่พูดอะไรอีก
พวกเขาเดินมาถึงห้องครัวของจงเทียนอวี่กับหลี่เฉิง ทั้งสองคนปลดล็อกกุญแจ
พอเข้าไปในห้องครัวของจงเทียนอวี่ ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าที่นี่เหมือนกับห้องครัวของหลิงเจิ้นเป็นอย่างมาก
อุปกรณ์ทำครัวทุกอย่าง จาน ชาม ถ้วยวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก และเช็ดถูอย่างสะอาด วัสดุที่เป็นสแตนเลสเป็นเหมือนกับกระจก ไม่มีรอยสกปรกใดๆ
“ให้ตาย นี่ห้องครัวของแกเหรอ สะอาดมาก!” ซางเทียนซั่วพูดไปเรื่อย
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขาหนึ่งที “มีแต่นายเนี่ยแหละ…ที่สกปรกมาก”
“ผมเหรอ สกปรกตรงไหน” ซางเทียนซั่วก้มหน้ามองตัวเอง
ฟางรุ่ยหัวเราะ “นายท่านรองว่าปกติแกก็ทำตัวสกปรกซกมกอยู่แล้ว ของที่ใช้ก็ไม่เช็ด แถมไม่วางกลับที่เดิมอีก”
ซางเทียนซั่วเบ้ปาก ไม่พูดอะไรอีก
แต่ตรวจสอบห้องครัวของจงเทียนอวี่สักพักแล้ว ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่อะไรเลย
เพราะอุปกรณ์ทำครัวสะอาดเป็นอย่างมาก อยากจะได้กลิ่นของลำโพงม่วงจึงเป็นไปไม่ได้
และเมื่อมองไปทั่วห้องนี้ วัตถุดิบที่จัดเก็บก็มีไม่ค่อยมาก กระทั่งแม้แต่กลิ่นในครัวก็ไม่มี
ดูเหมือนจงเทียนอวี่จะใส่ใจห้องครัวนี้มากจริงๆ แค่จุดนี้ ก็ไม่เสียแรงที่เขาเป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้นแล้ว
เมื่อตรวจสอบแล้วไร้ผล ซ่งจื่อเซวียนจึงไปตรวจสอบที่ห้องครัวของหลี่เฉิงต่อทันที
เทียบกันแล้ว ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้นเหมือนกัน แต่ห้องครัวกลับแตกต่างกันอย่างมาก
ห้องครัวของหลี่เฉิงสามารถพูดได้ว่ารกมาก ถึงขนาดมีฝุ่นเกาะเป็นชั้นบางส่วน
จึงมองออกว่า ไอ้หมอนี่ไม่ได้ฝึกการทำอาหารมาสักพักหนึ่งแล้ว
แม้แต่วัตถุดิบที่จัดเก็บไว้ บางส่วนก็เน่าเสีย ดังนั้นพอเข้าห้องครัวจึงได้กลิ่นแปลกๆ อย่างชัดเจน
ถึงแม้จะมีกลิ่นฟุ้งบ้าง แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับตรวจสอบอย่างละเอียดมาก
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ ภายในห้องครัวของหลี่เฉิงมีอุปกรณ์ทำครัวหลายอย่างที่ไม่ได้ใช้เลย มีมีดทำครัวเพียงอย่างเดียวที่สะอาดมากเป็นพิเศษ
เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ วัสดุธรรมดามาก ไม่ถือว่าเป็นมีดดีอะไร แต่หั่นแล้วถือว่าไม่เลว มีความคมสูง
มองดูมีดเล่มนี้ เมื่อซ่งจื่อเซวียนตระหนักได้จึงมองไปยังเขียงที่อยู่ถัดไป
หลี่เฉิงมีเขียงทั้งหมดสามอัน
ซึ่งไม่แปลกเลย โดยทั่วไปแล้วการหั่นเนื้อ หั่นผักและหั่นอาหารร้อนไม่สามารถใช้เขียงอันเดียวกันได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงกลิ่นที่ผสมกัน อาหารดิบมีแบคทีเรียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากติดบนอาหารร้อน จะเป็นปัญหาเรื่องสุขอนามัย
ซ่งจื่อเซวียนมองเขียงทั้งสามอัน มีสองอันเหมือนไม่เคยใช้มานานแล้ว แต่มีเขียงอันหนึ่งกลับสะอาดมาก น่าจะเคยล้างทำความสะอาดเมื่อไม่นานมานี้
ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไร ที่มีดหนึ่งเล่ม เขียงหนึ่งอันสะอาดมากเป็นพิเศษ
แสดงว่าช่วงนี้มีคนใช้มีดทำครัวกับเขียงนี้ และคนคนนี้…ให้ความสำคัญกับการอุปกรณ์ทำครัวมาก ถึงขนาดเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตามองไปที่หน้าประตูเมื่อรู้ตัว ถึงแม้นี่คือห้องครัวของหลี่เฉิง แต่เขากลับไล่ตามองไปที่จงเทียนอวี่
ซ่งจื่อเซวียนหยิบเขียงขึ้นมาดม อดไม่ได้ที่จะทำเสียงฮึดฮัดขึ้นมา ถึงแม้จะล้างแล้ว แต่เนื่องจากเป็นลักษณะเฉพาะจากโครงสร้างของไม้ จึงมีกลิ่นของลำโพงม่วงติดอยู่ข้างใน
ตอนนี้สามารถอธิบายได้แล้ว มีคนหั่นใบลำโพงม่วงที่นี่ จากนั้นจึงนำไปผสมในผักดองที่หลิงเจิ้นกิน
เนื่องจากใส่ในปริมาณที่น้อยมาก และเนื่องจากหลิงเจิ้นอายุมากแล้วประสาทการรับรสจึงแย่ลง ชิมไม่รู้เรื่องก็พอเข้าใจได้
“รุ่ยจื่อ หยิบเขียงอันนี้กับมีดทำครัวเล่มนี้ไปด้วย พวกเรากลับ!”
“ครับ นายท่านรอง!”
เดินออกจากห้องครัวแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่หลี่เฉิง “ห้องครัวนี้คือห้องครัวที่นายใช้คนเดียวงั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว ทำไมล่ะ” หลี่เฉิงพูดด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะหนึ่งที “เหอะๆ ไม่มีอะไร!”
พูดจบ เขาก็เหลือบตามองจงเทียนอวี่หนึ่งที คนหลังไม่รู้ทำไม รู้สึกร้อนตัวอย่างบอกไม่ถูก…
…………………………………………