เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 233 เหล็กเมฆม่วง
ตอนที่ 233 เหล็กเมฆม่วง
ซ่งจื่อเซวียนคิดว่าตัวเองรู้จักของจำพวกไม้และหินดีกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นก้อนหินที่อยู่ตรงหน้านี้เขากลับไม่แน่ใจเล็กน้อย
“เหอะๆ ไม่รู้จักงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินคำถามนี้ก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเจอจริงๆ ครับ แต่…หินก้อนนี้ดูดีมากเลย”
ก้อนหินมีขนาดใหญ่ ความกว้างและความสูงอยู่ที่สามสิบเซนติเมตรโดยประมาณ หลิงเจิ้นยกก้อนหินทีก็เปลืองแรงอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดานะ ในบรรดาพ่อครัวอันดับต้นๆ ของจีน แทบจะตามหาของสิ่งนี้กันทั้งนั้น” หลิงเจิ้นพูด
“หืม เอ่อ…เกี่ยวอะไรกับพ่อครัวเหรอครับ เป็นแร่เหล็กเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ หลิงเจิ้นก็พยักหน้าและยิ้มให้ “ถูกแล้ว นายเดาถูก นี่คือหินแร่เหล็กเมฆม่วง ถ้าผ่านการหล่อ ขึ้นรูป ก็จะกลายเป็นเหล็ก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ฟังก็รู้สึกสนใจหินก้อนนี้ขึ้นมาอย่างชัดเจน
เขาขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ก้อนหินมีพื้นผิวที่เรียบมาก เห็นได้ชัดว่าถูกหลิงเจิ้นแปรสภาพมาแล้ว และการกระจายตัวแบบหนาแน่นของเส้นเหล็กก็เป็นลักษณะเด่นของแร่เหล็กจริงๆ
“สีม่วงนี้ก็คือเส้นเหล็กเหรอครับ”
“ใช่ จื่อเซวียน นายคิดว่าวัสดุที่ดีที่สุดของอุปกรณ์ทำครัวคืออะไรล่ะ” หลิงเจิ้นถาม
ซ่งจื่อเซวียนทำท่าครุ่นคิด “เหล็กตุน!”
“นายก็รู้จักเหล็กตุนเหรอ” หลิงเจิ้นรู้สึกแปลกใจในตัวของซ่งจื่อเซวียนมากยิ่งขึ้น
“ใช่ครับ อาจารย์ของผมเคยเล่าให้ผมฟัง ว่าเหล็กตุนมีคุณภาพสูง ถึงแม้เครื่องครัวเหล็กจะล้ำค่า แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับเหล็กตุนได้” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
หลิงเจิ้นพยักหน้า “สงสัยอาจารย์ของนายจะเป็นรุ่นพี่อาวุโสจริงๆ เขาพูดถูกต้อง เหล็กตุนเป็นอุปกรณ์ทำครัวที่มีคุณภาพมากที่สุด และวัสดุที่ด้อยลงมาเล็กน้อยก็ถูกเรียกว่าเหล็กเมฆม่วง ไม่มีอย่างอื่นสูสีเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจออกมา ไม่มีอย่างอื่นสูสี นั่นหมายความว่า เหล็กเมฆม่วงนี้ด้อยกว่าเหล็กตุนเท่านั้น แต่กลับเป็นวัสดุที่เหมาะจะทำอุปกรณ์ทำครัวมากกว่าวัสดุอื่นใด
พูดง่ายๆ ก็คือเป็นอันดับที่สอง
พอนึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงลูบหินแร่เหล็กเมฆม่วง ลองยกขึ้นลงเล็กน้อย รู้สึกว่าหนักประมาณแปดหรือเก้ากิโลกรัม
“ก้อนนี้หนักไม่เบาเลยนะครับ”
“แปดครึ่งกิโลกรัมครึ่ง หลังจากหลอมหินแร่นี้ น่าจะหนักประมาณสามกิโลกรัมครึ่ง ตัดความเสียหายออกไปก็น่าทำกระทะและตะหลิวได้หนึ่งชุด”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต “อะไรนะครับ หนึ่งชุดเหรอ”
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าอุปกรณ์ทำครัวที่ดีจริงๆ จะพิถีพิถันทำออกมาเป็นชุด เพราะสามารถรับประกันเรื่องความร้อนที่สม่ำเสมอในขณะที่ปรุงอาหารได้
แบบนี้นอกจากความสุกหรือรสสัมผัสแล้ว แม้แต่รสชาติของอาหารก็สามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว
“ถูกแล้ว ตอนนี้นายทำอาหารได้ถึงระดับนี้ นายก็น่าจะรู้อยู่แล้ว อุปกรณ์ทำครัวครบชุดเป็นตัวช่วยที่ดีของการทำอาหารใช่ไหมล่ะ” หลิงเจิ้นพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “อาจารย์เคยพูดเหมือนกันครับ”
“อันที่จริงพ่อครัวจากทั่วทุกมุมโลกก็มีเงื่อนไขเรื่องอุปกรณ์ทำครัวสูงมากกันทั้งนั้น แต่อาหารตะวันตกและอาหารตะวันออกมีความแตกต่างกันมาก ชาวตะวันตกเน้นใช้เตาอบ เครื่องอบ แต่ชาวจีนเน้นใช้หม้อ รวมถึงกระทะทอด กระทะก้นลึก หรือพวกหม้อนึ่ง ดังนั้นเงื่อนไขของวัสดุจึงไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่นทางตะวันตกให้ความสำคัญกับสแตนเลส แต่อาหารของจีนผสมผสานกับทฤษฎีของแพทย์แผนจีน เนื่องจากเชื่อมโยงกับเรื่องที่ต้องเสริมธาตุเหล็ก จึงให้ความสำคัญกับกระทะเหล็กมากกว่า
ในบรรดากระทะเหล็กนั้นเหล็กตุนอยู่อันดับบนสุด รองลงมาคือเหล็กเมฆม่วง รองลงมาอีกมีสิบกว่าชนิดเช่นเหล็กหลัน เหล็กเขียว และเหล็กจิ่น”
ระหว่างที่หลิงเจิ้นพูด ซ่งจื่อเซวียนฟังโดยแทบจะไม่กะพริบตา ถึงแม้เขาจะมีความรู้หลายอย่างแล้ว แต่กลับไม่เคยจัดเรียงอย่างเป็นระบบขนาดนี้
“ถึงแม้มีดทำครัวเหล็กเขียว มีดเลาะกระดูกเหล็กเวิน มีดหั่นเหล็กกล้าและกระชอนเหล็กอินจะเป็นของดี แต่สำหรับกระทะและตะหลิว มีเพียงเหล็กตุนกับเหล็กเมฆม่วงเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ พอได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกว่าตนเองมีของล้ำค่าอยู่ไม่น้อย ตอนนี้มีตะหลิวเหล็กตุนลายฟีนิกซ์ มีดทำครัวเหล็กเขียวและกระทะเหล็กเขียว
ถึงแม้กระทะเหล็กเขียวอาจไม่นับว่าเป็นของล้ำค่า แต่ก็เป็นกระทะที่มีค่ากว่ากระทะปกติทั่วไป
“ท่านผู้เฒ่าหลิงอยากจะทำอุปกรณ์ทำครัวจากเหล็กเมฆม่วงสักชุดเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
อันที่จริงพอฟังถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พลันรู้สึกถึงบางอย่าง ท่านผู้เฒ่าหลิงกำลังอวดอยู่หรือเปล่านะ
แต่ก็ไม่แปลกใจเลย ตอนอยู่ที่ตู้เหมิน ท่านผู้เฒ่าหลิงแสดงความเป็นเด็กออกมาอย่างชัดเจน มีของเล่นดีๆ ก็เลยหยิบมาอวด ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่หลิงเจิ้นได้ยินกลับหัวเราะออกมา “เหอะๆ อุปกรณ์ทำครัวของฉันก็คือเหล็กเมฆม่วงอยู่แล้ว ทำไมต้องทำใหม่อีกล่ะ”
“เอ๋? ท่านผู้เฒ่าหลิงมีของล้ำค่านับไม่ถ้วนจริงๆ เลยครับ เมื่อกี้ผมเห็นภาพวาดจีนโบราณของแท้อยู่ชั้นล่างจำนวนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าอุปกรณ์ทำครัวก็ยังเก็บสะสมของดีอีกด้วยนะครับเนี่ย”
“ฮ่าๆๆ ในฐานะพ่อครัวคนหนึ่ง ถ้าอยากจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงหารอาหาร อาศัยแค่ทำอาหารสองสามอย่างยังไม่พอหรอก อุปกรณ์ทำครัวที่ใช้งานก็จะมองข้ามไม่ได้เหมือนกัน และนี่คือความแตกต่างของยอดฝีมือ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ถูกต้องแล้ว ถ้าพ่อครัวสองคนมีฝีมือการทำอาหารพอๆ กัน เช่นนั้นจุดสำคัญที่สามารถตัดสินแพ้ชนะอาหารสองจานของพ่อครัวได้ เกรงว่าจะอยู่ที่อุปกรณ์ทำครัวแล้ว
หลิงเจิ้นมองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที แล้วเอ่ยยิ้มๆ “พ่อหนุ่ม ฉันอยากจะมอบแร่เหล็กเมฆม่วงให้นาย!”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนถึงกับใจสั่น!
ตามที่หลิงเจิ้นพูดมา เหล็กเมฆม่วงนี้โดยพื้นฐานถือเป็นวัสดุระดับสุดยอดในวงการพ่อครัวของประเทศจีน แต่…จะให้เขาฟรีๆ งั้นเหรอ
เห็นสีหน้าตกใจของซ่งจื่อเซวียน หลิงเจิ้นก็พอจะเดาออก
“เหอะๆ เป็นยังไงล่ะ ในประเทศจีนคนที่ครอบครองอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเมฆม่วงได้มีไม่เกินสิบคนนะ และได้ครอบครองครบชุดแบบนี้ ฉันคิดว่า…”
ขณะที่พูด หลิงเจิ้นก็ทำนิ้วมือเป็นเลขสาม
“ไม่เกินสามคนเหรอครับ”
“ถูกต้อง ฉันมีแล้วหนึ่งชุด อีกหนึ่งชุดอยู่ในมือของโอวหยางเฟิ่งเหยา และฉันคิดว่าจะทำอีกชุดหนึ่งให้นาย…”
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตมองไปที่เหล็กเมฆม่วง “ท่านผู้เฒ่าหลิง คุณล้อผมเล่นใช่ไหมครับ ผมได้รับค่าตอบแทนทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“ฮ่าๆๆ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง นายตามหาเข่อเอ๋อร์ของฉันเจอ ยังไม่นับว่าเป็นผลงานอีกเหรอ”
“เอ่อ…” ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเกรงใจไม่น้อย
แต่ตอนนี้เขาแอบรู้สึกตื่นเต้น
เหมือนที่หวังเฉิงยงพูด เขาคนนี้พอเห็นของดีดวงตาสองข้างก็มีประกายสีเขียวพวยพุ่งออกมาทันที
หากไม่ใช่เพราะเกรงใจจึงต้องเสแสร้งนิดหน่อย เขาคงอยากจะขนแร่เหล็กนี้กลับตู้เหมินไปตอนนี้เสียเลย
“และก็…จื่อเซวียน เหล็กเมฆม่วงของฉันนี้ไม่ได้ให้นายฟรีๆ หรอกนะ ฉันมีเงื่อนไข”
“หืม” เห็นหลิงเจิ้นยิ้มอย่างร้ายกาจ ซ่งจื่อเซวียนก็แอบระแวง คนแก่นิสัยเด็กคนนี้จะทำอะไรกันแน่ จะว่าไปแล้วบนโลกนี้ก็ไม่มีของฟรี…
หลิงเจิ้นพลันยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “จื่อเซวียน เข่อเอ๋อร์ตั้งใจแน่วแน่อยากจะไปตู้เหมินกับนาย ฉันคิดได้แล้วว่าควรให้เธอออกไปหาประสบการณ์ เพราะงั้น…”
ซ่งจื่อเซวียนมองหลิงเจิ้น รอเงื่อนไขของอีกฝ่าย สงสัย…เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับหลิงเข่อเอ๋อร์
“เหอะ นายรับเธอเป็นลูกศิษย์สิ”
“อะไรนะครับ รับ…เป็นลูกศิษย์เหรอ”
“ใช่แล้ว เข่อเอ๋อร์เด็กคนนี้ฉันสอนไม่ได้ ความจริงอาชีพในวงการอาหารก็เป็นแบบนี้ ทำไมถึงถ่ายทอดให้คนนอกไม่ถ่ายทอดให้คนในกันล่ะ? ก็เป็นเพราะไม่มีวิธีสอนเด็กในบ้านของตัวเอง ต้องให้อาจารย์จากข้างนอกมาสอนแทนไง”
“เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมอยากพูดความจริงกับคุณครับ ตอนนี้นอกจากศึกษาการทำข้าวผัดจักรพรรดิกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายแล้ว ผมก็ทำอาหารอะไรอย่างอื่นไม่เป็นเลยครับ เข่อเอ๋อร์จะ…”
“ฮ่าๆๆๆ นายถ่อมตัวกับฉันเกินไปแล้ว อาหารสองอย่างนี้ยังไม่พออีกเหรอ น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเกรงว่าฉันเองก็ยังทำออกมาไม่ได้” หลิงเจิ้นพูดหัวเราะเสียงดัง
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด เขาอยากได้เหล็กเมฆม่วงนี้จริงๆ แต่เงื่อนไขนี้…
ก็ใช่ว่าจะรับปากไม่ได้ แต่เขากังวลว่าหลังจากรับปากไปแล้วจะไม่มีอะไรสอนหลิงเข่อเอ๋อร์จริงๆ กลับกันอาจจะโดนด่าว่าเอาเปรียบอีกฝ่ายแทน
“เอาล่ะ นายอย่าปฏิเสธเลย จื่อเซวียน นายยอมให้เข่อเอ๋อร์ติดตามเถอะ เรียนได้หรือไม่ได้ก็เป็นพรสวรรค์ของหลานสาวฉันเองแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อึ้งไป “จริงเหรอครับ ถ้าเรียนไม่ได้จริงๆ คุณอย่าโทษผมนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ประเด็นหลักๆ คือหลานสาวอยู่กับนายฉันก็วางใจ ฉันมั่นใจในตัวนายนะซ่งจื่อเซวียน ไม่ช้าก็เร็วนายจะได้อยู่ในลิสต์ของพ่อครัวชื่อดังของประเทศจีนแน่นอน ถึงตอนนั้นเข่อเอ๋อร์ก็จะนับได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้ายิ้ม “ท่านผู้เฒ่าหลิงประเมินผมสูงเกินไปแล้วครับ พ่อครัวชื่อดังของจีน…ผมไม่กล้าคิดครับ”
หลิงเจิ้นได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะเล็กน้อย “เหอะๆ พ่อครัวชื่อดังของจีน ยกเว้นสามสิบอันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีความสามารถ คนที่เก่งจริงๆ มีสักกี่คนกัน จื่อเซวียน ด้วยความสามารถของนายในตอนนี้ มากพอที่จะติดอันดับได้แล้ว”
“ติดอันดับพ่อครัวชื่อดังเหรอครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“นี่คือการจัดอันดับพ่อครัวของจีน ถือว่าเป็นการจัดอันดับของผู้เชี่ยวชาญ ตอนแรกภาคเอกชนเป็นคนกำหนด แต่ตอนหลังก็มีการเปลี่ยนแปลงลำดับโดยยึดตามผลของการท้าประลองและการแข่งขัน ถือว่าเป็นการจัดอันดับที่ยุติธรรม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ก็จริงครับ ไม่มีฝ่ายผู้จัดงานก็ค่อนข้างยุติธรรม…”
“จื่อเซวียน นายคิดเห็นยังไงกับอาหารแต่ละประเภทของจีนล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งไป “ข้าวผัดจักรพรรดิกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายที่ผมทำได้ น่าจะไม่เข้ากับอาหารแต่ละประเภทของจีน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผมคิดว่าอาหารซานตง อาหารกวางตุ้งเป็นที่นิยมมากกว่า”
“คนใหญ่คนโตมักจะคิดเหมือนกัน อาหารซานตง อาหารกวางตุ้งถูกปากของคนส่วนใหญ่ อาหารเลิศรสที่สุดก็มาจากอาหารสองประเภทนี้เช่นกัน ตระกูลหลิงของพวกเราศึกษาอาหารซานตงมาสี่รุ่นแล้ว แต่ได้ความรู้แค่ผิวเผินเท่านั้น อาหารจีนนั้น…ลึกล้ำจริงๆ!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มบางๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านผู้เฒ่าหลิงจะรู้จักถ่อมตัวเป็นบางครั้ง เป็นถึงพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือยังพูดว่ารู้แค่ผิวเผินเท่านั้น
“เสียดายที่ลูกศิษย์ไม่เอาไหน จื่อเซวียน ฉันมีไอเดียเรื่องอาหารเย็นวันนี้อยู่ ให้ลูกศิษย์ของฉันทำอาหารสองสามอย่าง พวกเราสองคนก็ดื่มกันนิดหน่อย ถือว่านายช่วยฉันทดสอบคุณภาพของลูกศิษย์ คิดว่ายังไง”
“ไม่กล้าหรอกครับ ท่านผู้เฒ่าหลิงพูดจริงจังเกินไปแล้วครับ ผมซ่งจื่อเซวียนเป็นแค่พ่อครัวธรรมดาเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตัดสินลูกศิษย์ของพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆๆๆ ถ่อมตัว นายถ่อมตัวนัก งั้นก็ตกลงตามนี้ เย็นนี้พวกเราดื่มกันให้สบายใจ ถือเสียว่าฉันขอบใจที่นายรับเข่อเอ๋อร์เป็นลูกศิษย์ตัวน้อย!” หลิงเจิ้นยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนเพิ่งเข้าใจเจตนาของหลิงเจิ้นว่าต้องการอะไร พูดจาอ้อมไปไกลหลายโยชน์ ที่แท้ก็พูดให้ตนเองตามไม่ทัน จากนั้นก็ตกลงรับเข่อเอ๋อร์เป็นลูกศิษย์จนได้…
แต่พอพูดถึงตรงนี้ บวกกับซ่งจื่อเซวียนก็อยากได้เหล็กเมฆม่วงจริงๆ เขาจึงต้องพยักหน้า
“ตกลงครับ ในเมื่อจื่อเซวียนรับปากท่านผู้เฒ่าหลิงแล้ว ต่อไปจะพยายามสอนเข่อเอ๋อร์ให้เต็มที่ครับ”
หลิงเจิ้นโบกมือ “เธอคนนั้นน่ะ…อาจจะกระตือรือร้นสองสามวันเท่านั้น ฉันรู้จักหลานสาวของฉันดี หรือพอเบื่อแล้วก็จะกลับบ้าน…”
ซ่งจื่อเซวียนพลันหัวเราะออกมา ตาแก่คนนี้ วางแผนทุกอย่างไว้นานแล้ว…
……………………………………………….