เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 220 ไม่รับลูกศิษย์
ตอนที่ 220 ไม่รับลูกศิษย์
อาหารจีนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ตอนนี้แม้แต่ในประเทศใหญ่ๆ ในยุโรปและอเมริกา อาหารจีนก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
และในประเทศจีน ภาคใต้มีรสหวาน ภาคเหนือมีรสเค็ม ภาคตะวันออกมีรสเผ็ด ภาคตะวันตกมีรสเปรี้ยว อาหารแต่ละท้องถิ่นก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
ในวงการอาหารของจีน โดยทั่วไปจะแบ่งเป็นอาหารภาคใต้และอาหารภาคเหนือ อาหารภาคใต้เน้นอาหารกวางตุ้งเป็นหลัก และยังมีอาหารประเภทต่างๆ อย่างอาหารหูหนาน อาหารเสฉวน และอาหารหวายหยาง เป็นต้น
ส่วนอาหารภาคเหนือเน้นอาหารซานตงเป็นหลัก และเน้นงานเลี้ยงอาหารแบบแมนจูกับชาวฮั่นเป็นพื้นฐาน บวกกับพวกอาหารซีเป่ย อาหารตงเป่ยร่วมสมัย
ในเขตอาหารทางเหนือ หลิงเจิ้นพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุด
เขาไม่เพียงแต่มีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงในวงการพ่อครัว มีชื่อเสียงเรื่องการปรุงอาหารอีกด้วย
หวงฟาตั้งตัวมาจากการทำร้านอาหารในตู้เหมิน ถึงแม้จะไม่เคยเจอหลิงเจิ้นด้วยตาตัวเอง แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเขาแน่นอน
ไม่อย่างนั้นก็อย่าอยู่ในวงการอาหารเลย ไม่เพียงแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น แม้แต่ในอินเทอร์เน็ตก็ยังเคยออกบทสัมภาษณ์หลิงเจิ้นพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือเป็นประจำ
“ท่านผู้เฒ่า…คือหลิงเจิ้นพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือ” หวงฟาพูดอ้าปากค้าง
หลิงเจิ้นพยักหน้ายิ้ม “ทำให้เสี่ยคนนี้เจอเรื่องตลกแล้ว ชื่อเสียงคนนอกวงการของฉันไม่ควรค่าให้คุณได้เรียกชื่อหรอก”
ได้ยินดังนั้น หวงฟาก็หน้าแดงทันที
คุณเป็นลูกพี่ใหญ่ถูกต้องแล้ว และยังมีอิทธิพลมากในวงการใต้ดิน แต่จะว่าไปแล้ว คนเขาก็มีคนเคารพยกย่องเหมือนกัน เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม
เมื่อเทียบกับคนแบบนี้ เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการใต้ดินแล้วไง ก็เป็นแค่คนหยาบคายที่เจอพระอาทิตย์ไม่ได้อยู่ดี
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ
หลิงเจิ้นพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือดูแล้วมีความสุขุมเป็นอย่างมาก แต่เป็นคนใจแคบไม่น้อย หวงฟาพูดแค่สองสามประโยคเขาก็ทนฟังไม่ได้ แจ้งสถานะของตนเรียบร้อยก็เริ่มทำท่าข่มขู่ทันที
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมมีตาหามีแววไม่ ไม่รู้ว่าเป็นคุณจริงๆ ครับ”
หลิงเจิ้นแค่นหัวเราะ “ฉันบังเอิญผ่านมาพอดี ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนการแข่งขันของพวกคุณ ผลสุดท้าย…อยากจะประกาศยังไงก็ประกาศไปเลย”
ประโยคนี้ของหลิงเจิ้นมีความหมายชัดเจน อันที่จริงแค่อยากตอบโต้หวงฟาเท่านั้น หวงฟาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร
“เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าหลิง แบบนี้คุณกำลังตบหน้าผมอยู่ไม่ใช่เหรอ คำพูดของคุณก็คือคำตัดสินแล้วครับ” ขณะพูด หวงฟาก็มองกรรมการทั้งสามคน “พวกคุณคิดว่างั้นใช่ไหม”
“ใช่ๆๆ ครับ ท่านผู้เฒ่าหลิงพูดแล้ว นั่นก็คือคำตัดสินครับ”
“ใช่แล้ว ในวงการอาหารจีน หากไม่นับคำพูดของท่านผู้เฒ่าหลิง อย่างนั้นคนอื่นพูดไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลิงเจิ้นหัวเราะหนึ่งที “ฮ่าๆๆ พูดตลกดี อย่างนั้นพวกคุณประกาศเถอะ ฉันจะรอดู”
ซ่งจื่อเซวียนดีใจ หลิงเจิ้นมอบความประทับใจที่สูงมากแก่เขา สูงมากจริงๆ สูงถึงขนาดที่ว่ายากจะสัมผัสถึง
แต่วินาทีนี้ กลับมีความติดดินสูงมาก เหมือนเด็กคนหนึ่ง ดีใจก็หัวเราะ ไม่พอใจก็โมโห
ตัวหวงฟาได้พูดแล้วว่ายึดคำตัดสินของเขา แต่ท่านผู้เฒ่ากลับพูดว่าจะรอดู นิสัยเหมือนเด็กจริงๆ
จากนั้น พิธีกรจึงทำตามคำสั่งของหวงฟา ประกาศให้ผู้ชนะในวันนี้เป็นซ่งจื่อเซวียน
คนที่สนับสนุนพ่อครัวของตู้เหมินต่างโห่ร้องไชโยขึ้นมา แต่หวงฟากลับอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก
ตัวเองเชิญท่านเป้ยเล่อมาจากปักกิ่ง จ่ายเงินและเสียกำลังจัดงานสุดยอดการแข่งขัน สุดท้ายกลับต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง ทีมงานรีบเก็บของ หวงฟาได้เชิญท่านเป้ยเล่อกับท่านผู้เฒ่าหลิงไปนั่งด้วยกันที่หอหงเยวี่ย
แต่ท่านเป้ยเล่อไม่ได้รับปาก ทว่าถามความต้องการของหลิงเจิ้น
หลิงเจิ้นพูดว่า “เหอะๆ ฉันรู้สึกสนใจคุณซ่งมากกว่า เอาอย่างนี้ดีไหม ท่านเป้ยเล่อ คุณกับฉันรวมกับคุณซ่งไปหาที่นั่งคุยกัน เป็นยังไง”
ได้ยินดังนี้ หวงฟารู้สึกอับอายมาก ตัวเองเป็นคนเชิญเขา แต่เขากลับไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
“ก็ดีนะครับ จื่อเซวียน มีที่นั่งดีๆ บ้างไหม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “ผมมีร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ถ้าท่านผู้เฒ่าหลิงกับท่านเป้ยเล่อไม่รังเกียจ ก็ไปนั่งที่ร้านของผมได้นะครับ”
“ดีมาก ร้านอาหารเล็กๆ ถึงจะได้บรรยากาศ ทำไมต้องไปสโมสรลับอะไรด้วย น่ารำคาญชะมัด”
หลิงเจิ้นพูดให้หวงฟาฟังชัดๆ ครั้งนี้หวงฟาล่วงเกินเขาแล้ว เขาจึงไม่ยอมลดละ พูดต่อว่าหวงฟาอย่างต่อเนื่อง
หวงฟาหน้าแดง พลางพูดในใจว่าตัวเองซวยมาก เจอบุคคลที่มีชื่อเสียงขนาดนี้…
เมื่อพวกเขาเดินออกไป เถียนเหวินคุ่ยจึงเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ย เรื่องนี้เอายังไงดีครับ”
“เอายังไงงั้นเหรอ พวกเราซวยเอง ไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าหลิงจะปรากฏตัว สวรรค์ช่วยซ่งจื่อเซวียนไว้แท้ๆ” หวงฟาถอนหายใจ ส่ายหน้าพูดด้วยความจนใจ
…………..
ร้านอาหารร่ำรวย
เดิมทีซ่งจื่อเซวียนคิดจะจัดห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง พวกเขาจะได้คุยกันสะดวก ใครจะไปรู้ว่าหลิงเจิ้นกลับชอบนั่งกินในห้องโถงใหญ่
จากคำพูดของเขา นั่งกินที่ห้องโถงใหญ่ถึงจะได้บรรยากาศ ซ้ายขวาเป็นลูกค้า ถึงจะขับกลิ่นอายของอาหารรสเลิศให้เด่นออกมา
ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อจึงไม่ถกเถียงกัน ตัดสินใจนั่งลงในห้องโถงใหญ่
จากนั้นจึงสั่งอาหารสองสามอย่าง พร้อมเหล้าหนึ่งขวด ซ่งจื่อเซวียนเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วเอ่ยถามว่า “หยางกัง ลี่ลี่ล่ะ”
“เอ๊า เมื่อกี้ยังอยู่เลยครับ สงสัยจะไปห้องน้ำ!” หยางกังตอบ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า หยิบขวดเหล้ากลับไปที่โต๊ะ
หลิงเจิ้นหัวเราะ “คุณซ่ง ร้านอาหารของคุณถึงแม้จะเล็ก แต่ลูกค้ากลับไม่น้อยเลย แสดงว่าอาหารของคุณต้องดีมากแน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ท่านผู้เฒ่าหลิงชมเกินไปแล้วครับ จำนวนลูกค้ามาเพราะข้าวผัดจักรพรรดิทั้งนั้นครับ แล้วก็อย่าเรียกผมว่าคุณเลยครับ ผมเป็นผู้น้อยไม่ค่อยเหมาะสม คุณเรียกผมว่าจื่อเซวียนก็พอครับ”
หลิงเจิ้นพยักหน้าพูด “ก็ดี แต่ไม่ว่าจะอาศัยอะไรสามารถเรียกจำนวนลูกค้าได้ขนาดนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จของร้านอาหาร อันที่จริงร้านอาหารยิ่งเล็กยิ่งมีรสชาติ ตอนนี้ร้านอาหารใหญ่ๆ เยอะเกินไป ฉันกินข้าวแล้วก็ไม่ค่อยได้รสชาติอะไร”
“เหอะๆ หลักๆ แล้วเป็นเพราะคุณมีฝีมือการทำอาหารที่เยี่ยมยอด อาหารธรรมดาพวกนั้นจะถูกปากคุณได้ยังไงครับ”
หลิงเจิ้นได้ยินแล้วจึงโบกมือ “ก็ไม่แน่ ฉันเห็นว่าอาหารของคุณซ่งก็ไม่เลวนะ”
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่านผู้เฒ่าหลิงชมเกินไปแล้ว แต่ผมคิดว่า…พวกเราดื่มเหล้าไปสองแก้วแล้ว คุณยังไม่ขยับตะเกียบเลยนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ทั้งสามคนจึงหัวเราะออกมา
“ตอนนี้สำหรับฉันแล้ว กินข้าวจริงๆ แล้วคือการกินบรรยากาศ ฉันยังชอบความรู้สึกของตลาดในยุคแรกๆ นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เหล้าสอง ถั่วลิสงหนึ่ง มีชีวิตชีวามาก” หลิงเจิ้นเอ่ยยิ้มๆ
พอได้ยินคำพูดของหลิงเจิ้น ซ่งจื่อเซวียนนึกถึงหวังเฉิงยงทันที ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบนี้เหมือนกัน
แต่หลิงเจิ้นมีความเป็นเด็กมากกว่า หวังเฉิงยงมีนิสัยชอบเอาเปรียบมากกว่า…
ทุกครั้งที่หวังเฉิงยงมาจะรู้สึกทรมานถ้าไม่ได้หลอกกินข้าวผัดจักรพรรดิ ครั้งล่าสุดก็หลอกกินถั่วลิสงไปหนึ่งจาน…
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เอาอย่างนี้ดีกว่าครับท่านผู้เฒ่าหลิง ผมจะทำอาหารให้คุณหนึ่งอย่าง เพราะคุณอายุมากแล้ว ผมไม่อยากให้คุณดื่มเหล้ากินกับถั่วลิสงอย่างเดียว”
หลิงเจิ้นได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว “หืม จื่อเซวียน ความหมายของนายคือ…นายทำอาหารมาให้ฉันกินเป็นกับแกล้มได้งั้นเหรอ”
“ผมก็ได้แต่พูดว่าจะพยายามแล้วล่ะครับ ยังไงผมก็ไม่กล้าอวดดีต่อหน้าคนเก่งๆ อย่างคุณหรอกครับ”
“เหอะๆ สนุกดี นายรู้ไหมฉันไม่ได้กินกับแกล้มที่ถูกปากมานานแค่ไหน แต่ขอบอกก่อนนะ ว่าข้าวผัดจักรพรรดิใช่ว่าจะเหมาะทำเป็นกับแกล้มให้ฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ไม่แน่นอนครับ ข้าวผัดไม่เหมาะทำเป็นกับแกล้ม”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ครัวด้านหลัง
หลังจากซ่งจื่อเซวียนเดินไปแล้ว ท่านเป้ยเล่อจึงพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าหลิง จะว่าไปแล้วพวกเราไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ จำได้ว่าครั้งที่แล้วคือที่บ้านของคุณใช่ไหมครับ”
หลิงเจิ้นพยักหน้าหัวเราะ “ใช่แล้ว ท่านเป้ยเล่อ คุณมีน้ำใจมาก ไปเยี่ยมฉันที่บ้านทุกปี”
“เอ่อ…เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิง อย่าโทษผมซูหมิงที่หน้าด้านเลยนะครับ ตอนนั้นผมอยากคารวะคุณเป็นอาจารย์กลับถูกคุณปฏิเสธ ไม่รู้ว่าช่วงนี้คุณได้รับลูกศิษย์บ้างไหมครับ” ท่านเป้ยเล่อถาม
หลิงเจิ้นส่ายหน้าช้าๆ “ไม่มีหรอก ลูกศิษย์สองสามคนของฉันยังสอนไม่ได้เลย มีหรือจะกล้ารับลูกศิษย์คนใหม่”
“ฮ่าๆๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ นั่นเป็นเพราะคุณตั้งเงื่อนไขสูง อยากจะเป็นลูกศิษย์ของคุณไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วันนี้ผมขอแสดงความกล้าถามหนึ่งประโยค ผมอยากคารวะคุณเป็นอาจารย์จากใจจริง คุณจะรับได้ไหมครับ” ท่านเป้ยเล่อพูด
“เอ่อ…” หลิงเจิ้นได้ยินแล้วจึงเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “ท่านเป้ยเล่อ ฝีมือการทำอาหารของคุณอยู่เหนือลูกศิษย์สองสามคนของฉันแล้ว คุณไม่ต้องมีอาจารย์เลยด้วยซ้ำ ทำไมต้องเพิ่มภาระให้ตัวเองล่ะ”
“ภาระงั้นเหรอ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ผมอยากขอคารวะเป็นอาจารย์ แล้วทำไมต้องกลัวภาระล่ะครับ ก็เหมือนกับตอนนี้ที่ผมยังไปเยี่ยมคุณทุกปี”
หลิงเจิ้นยิ้มเล็กน้อย “ท่านเป้ยเล่อ ความตั้งใจของคุณฉันรับไว้แล้ว แต่…ฉันเคยบอกแล้วว่าจะไม่รับลูกศิษย์อีก จริงๆ แล้วถ้ามีปัญหาอะไร คุณก็ขอคำปรึกษาจากฉันได้เหมือนเดิม”
“เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมให้ความเคารพคุณนะครับ ที่อยากขอคารวะเป็นอาจารย์ไม่ได้อยากเรียนการทำอาหารเท่านั้น แต่ผมอยากให้คุณเป็นอาจารย์ของผมจริงๆ จะได้มีเหตุผลแสดงความกตัญญูต่อคุณ
หลิงเจิ้นเอ่ยยิ้มๆ “ท่านเป้ยเล่อ ทำไมต้องทำให้ฉันลำบากใจด้วยล่ะ พวกเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยนะ”
ท่านเป้ยเล่อถอนหายใจหนึ่งที “ได้ครับท่านผู้เฒ่าหลิง ผมยังหวังว่าคุณจะค่อยๆ พิจารณานะครับ อ้อจริงสิ ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาที่ตู้เหมินล่ะครับ แถมยังมาคนเดียวด้วย”
“เปล่าหรอก ตู้ปั๋วอยู่ที่โรงแรม วันนี้ฉันออกมาเดินเล่นด้วยตัวเอง ฉันตั้งใจมาตู้เหมินเพื่อตามหาเข่อเอ๋อร์น่ะ”
“เข่อเอ๋อร์? เข่อเอ๋อร์เป็นอะไรครับ” ท่านเป้ยเล่อถาม
“เด็กคนนี้โกรธฉันมาระยะหนึ่งแล้ว เลยสั่งให้ตู้ปั๋วคอยติดตามเธอ กลับตามหาไม่เจอเสียอย่างนั้น ตอนนี้ฉันเลยออกมาหาด้วยตัวเอง” หลิงเจิ้นพูด
“อ๋า หนีออกจากบ้านนี่เอง คุณแน่ใจนะครับว่าเธออยู่ที่ตู้เหมิน”
หลิงเจิ้นพยักหน้า “ฉันไปตรวจดูบันทึกที่สถานีขนส่งแล้ว เธอนั่งรถไฟมาที่ตู้เหมิน ฉันร้อนใจจะตายแล้ว”
“เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าหลิงอย่าเพิ่งร้อนใจ ผมจะสั่งให้คนช่วยตามหาอีกแรง คุณส่งรูปภาพสองสามรูปของเข่อเอ๋อร์มาให้ผมหน่อยนะครับ”
หลิงเจิ้นรีบส่งรูปให้ท่านเป้ยเล่อ อย่างไรในย่านอย่างปักกิ่งและตู้เหมิน ตัวเขามีเส้นสายเยอะ เวลาตามหาคนจึงสะดวกมาก
แต่เวลานี้ ซางเทียนซั่วเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นรูปที่ท่านเป้ยเล่อเปิดดู เขาก็อึ้งไป
“รูปภาพนี้…พวกคุณมีได้ยังไงครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงเจิ้นกับท่านเป้ยเล่อจึงนิ่งอึ้ง รีบมองไปทางซางเทียนซั่วทันที
“นายรู้จักเธอเหรอ” ท่านเป้ยเล่อถาม
หลิงเจิ้นลุกขึ้นทันที ซางเทียนซั่วกลับตกตะลึง ไม่รู้ควรพูดอย่างไรไปชั่วขณะ
“ผม…”
“ผมอะไรผมอะไร รีบพูดมาเลย” ท่านเป้ยเล่อพูด
ตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนได้ยกน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายออกมาจากในห้องครัว กลับเห็นหลิงเจิ้นลุกขึ้นมา ท่านเป้ยเล่อก็มองไปที่ซางเทียนซั่ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรีบเดินเข้าไป
แต่ไม่ทันได้เอ่ยปาก ตอนที่เขาเห็นรูปภาพนั้นก็ตกตะลึงเหมือนกัน
“ท่านเป้ยเล่อ รูปภาพนี้…”
ซ่งจื่อเซวียนยังพูดไม่ทันจบ หลิงเจิ้นก็พูดขึ้นว่า “กลิ่นนี้…จื่อเซวียน นายทำอาหารอะไรน่ะ”
…………………………………………