เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 22 ยังจะท้าสู้ได้อยู่ไหม
ตอนที่ 22 ยังจะท้าสู้ได้อยู่ไหม
ข้าวผัดหนึ่งที่ 899 หยวน…เถ้าแก่เป็นบ้าไปแล้วหรือไง แม้ว่าทำเลของภัตตาคารต้าสือไต้และการตกแต่งก็ถือว่าเป็นภัตตาคารใหญ่ในเมืองตู้เหมินแล้ว แต่ข้าวผัดที่หนึ่งราคาเกือบพันหยวนเกรงว่าจะไม่มีคนสั่งเอาน่ะสิ
อย่างน้อย จากประสบการณ์ที่ทำงานด้านอาหารสิบกว่าปีของโจวเผิงก็เป็นเช่นนี้
แต่เขาใคร่ครวญอีกครั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นความหลักแหลมของเถ้าแก่ก็ได้ บางครั้ง ถ้าถูกไป คนอื่นก็จะคิดว่าของไม่ดี กลับกันถ้าขายแพงอาจจะมีคนเยินยอ
“ดูท่าข้าวผัดนี่เป็นเมนูซิกเนเชอร์แท้ๆ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าจะไม่มีคนสั่ง แต่กลับดึงเกรดของภัตตาคารให้สูงขึ้น”
โจวเผิงคุยกับตนเอง ยิ้มออกมาทันที ธุรกิจแต่ละอย่างต่างมีเส้นทางเป็นของตนเอง เถ้าแก่ซุนคนนั้นคงมีความคิดเช่นนี้
หลังจากนั้น โจวเผิงก็สั่งให้พนักงานเอาเมนูอาหารไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ขณะเดียวกันก็เอาเล่มหนึ่งไปให้เจิ้งฮุยผู้เป็นหัวหน้าเชฟ หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการทั้งหมดและคิดจะพักสักครู่ ก็เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินออกมาจากครัวด้านหลัง
“ผู้จัดการครับ ครัวด้านหลังไม่มีเครื่องครัวเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
โจวเผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจก็คิดว่าคนคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ต่อให้นายจะเป็นผู้รับผิดชอบเมนูซิกเนเชอร์โดยเฉพาะแต่ก็เป็นเชฟคนหนึ่งนะ ฉันเป็นผู้จัดการภัตตาคาร ที่นี่คำสั่งของฉันถือเป็นคำขาด นึกไม่ถึงว่านายจะซักถามฉันขนาดนี้
“ไม่มีเครื่องครัวเหรอ อย่างนั้นคนอื่นเขาจะทำงานกันได้ยังไง” ขณะที่โจวเผิงพูดก็แฝงท่าทางเฉียบขาดไว้ด้วย ทำให้เขารับรู้ช่องว่างระหว่างหัวหน้าลูกน้องได้อย่างชัดเชน
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่เล่นด้วย ต้องรู้ว่าเขาผ่านหลินเทียนหนานมาก่อน บางทีพวกโจวเผิงอาจจะไม่รู้ แต่ฝ่ายการเงินของบริษัทต้องรู้แน่ๆ เดาว่าเงินเดือนเขาคนเดียวสามารถจ้างโจวเผิงได้เจ็ดแปดคน!
“ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมต้องการเครื่องครัวหนึ่งชุดครับ”
ได้ยินดังนั้น โจวเผิงก็ยิ่งหัวเสีย แต่ประสบการณ์การทำงานหลายปีทำให้เขาไม่อาจแสดงอารมณ์กรุ่นโกรธออกมาได้ง่ายๆ ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้โกรธมากๆ ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้!
“งั้นเหรอ นายไปคุยกับเจิ้งฮุยสิ เขาเป็นคนจัดการครัวด้านหลัง”
“ครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ก็เดินไปที่ครัวด้านหลัง
เห็นแผ่นหลังของซ่งจื่อเซวียน โจวเผิงก็สีหน้ามืดมน ‘ไม่มีมารยาทเอาซะเลย เป็นลูกน้องฉันแท้ๆ ถ้าฉันไม่สอนบทเรียนให้นายสักครั้งก็อย่าเรียกฉันว่าโจวเผิงเลย!’
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งวีแชตให้เจิ้งฮุย ‘ไอ้เด็กนั่นเป็นคนรับผิดชอบข้าวผัดซิกเนเชอร์ราคา 899 หยวน เดาว่าคงไม่มีใครสั่งหรอก ไม่ต้องใส่ใจ’
ไม่นานนัก เจิ้งฮุยเข้าใจ ทำมือโอเคตอบกลับ
กลับมาที่ครัวด้านหลัง ซ่งจื่อเซวียนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็ชนจมูกของเจิ้งฮุยจนเลือดกำเดาไหล แต่ไม่มีเครื่องครัวเขาก็ทำข้าวผัดไม่ได้ พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยังเดินเข้าไปหา
“หัวหน้าเชฟครับ ผมอยากได้เครื่องครัวชุดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะทำงานไม่ได้ครับ”
เจิ้งฮุยชะงักไป คิดว่าเจ้าเด็กนี่ยังไม่ยอมแพ้จริงๆ เมื่อครู่ก็ทำเรื่องกับตนเองไว้ ตอนนี้ยังกล้ามาเอาเครื่องครัวกับเขาเหรอ
“เครื่องครัว? ไม่มีเป็นของตัวเองหรือไง”
“ไม่มีครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“อ้อ ถ้าไม่มีก็ซื้อสักชุดสิ” เจิ้งฮุยตอบ
“ภัตตาคารน่าจะจัดให้ไม่ใช่เหรอครับ ผมรู้ว่าพวกคุณมีเครื่องครัวเป็นของตัวเอง แต่ต่อให้ผมไม่มีก็ไม่ควรจะต้องซื้อเอง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ได้ยินถึงตรงนี้ เจิ้งฮุยก็เข้าใจแล้ว ความจริงภัตตาคารก็เตรียมเครื่องครัวไว้ให้หลายชุด แต่ถูกเขาเก็บไปหมดแล้ว ตอนนี้ตามคำพูดก็ควรเอาออกมาให้หนึ่งชุด เพียงแต่เขาก็ยังไม่หายโกรธจากเรื่องเมื่อครู่ ไม่อย่างนั้นหัวหน้าเชฟอย่างเขาจะสร้างบารมีได้ยังไง
“เหอะๆ นายพูดถูก แต่คุณเป็นถึงเชฟข้าวผัดโดยเฉพาะ จะเหมือนกับพวกเราได้ยังไงล่ะครับ เอางี้แล้วกัน ถ้ามีคนสั่งข้าวผัดนายเมื่อไร ฉันค่อยเอาให้นาย”
เจิ้งฮุยนึกถึงคำพูดของโจวเผิง ข้าวผัด 899 หยวนนั่น เป็นมุกของภัตตาคาร ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนสั่งแน่ๆ ส่วนซ่งจื่อเซวียนคนนี้ก็เป็นแค่แจกันดอกไม้เท่านั้น นอกเสียจากจะมีพวกคนโง่มา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเครื่องครัวก็คงไม่ได้ใช้เลย
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายแสร้งเล่นแง่กับตัวเอง พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ก็ได้ครับ ตามใจคุณ”
พูดจบ เขาก็หยิบเก้าอี้ข้างๆ มานั่ง เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าวผัดที่หนึ่งราคาแปดร้อยจะมีคนสั่งได้ไง แต่กลับกันเงินเดือนแปดหมื่นหยวนของตนเองก็ไม่ผิดแน่ นี่ก็เพียงพอแล้ว
ในรถเอสยูวีสีแชมเปญ หลี่เจียหาวนั่งไขว่ห้างอยู่เบาะหลัง จับมือถือโทรศัพท์เล่นเกมในแนวนอน สำหรับลูกผู้ดีมีเงินอย่างเขา การเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง มีเงิน ไม่ว่าจะเกมมือถือเกมไหนก็สามารถเป็นระดับต้นๆ ของเซิร์ฟเวอร์ได้
“คุณชายหลี่ เป็นยังไงครับ ตอนนี้กวาดทุกที่จนราบเป็นหน้ากลองได้หรือยัง” ชายอ้วนหัวโล้นเล่นโทรศัพท์ไปพลางพูด
หลี่เจียหาวยิ้ม หยิบบุหรี่ที่คาบไว้ในปากออกมา พูดว่า “ก็แค่ฆ่าเวลา แต่ผู้หญิงพวกนี้เล่นดีจริงๆ มีนักศึกษาคนหนึ่ง ฉันช่วยเธอหามอนสเตอร์มาเลี้ยง ก็ตอบตกลงว่าพรุ่งนี้จะไปโรงแรมกับฉันแล้ว”
“ฮ่าๆ คุณชายหลี่ก็คือคุณชายหลี่ การจีบสาวสำหรับคุณชายแล้วง่ายแสนง่าย แต่มันยากสำหรับผม” ชายอ้วนประจบประแจง
“พูดเพ้อเจ้อ ดูนายอ้วนอย่างกับหมู สาวๆ เห็นก็อยากอ้วกกันทั้งนั้น”
หลี่เจียหาวใช้คำพูดไม่น่าฟังกับลูกน้องแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เดิมก็ไม่ได้สบประมาทเป็นเรื่องจริงจัง ส่วนชายอ้วนก็ชินแล้ว กลับกันปกติหลี่เจียหาวก็ให้เงินเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอด จะด่าก็ด่าไปเถอะ
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ประตูที่นั่งข้างคนขับเปิดออก ชายร่างผอมสูงที่ชื่อว่าโหวจื่อคนนั้นขึ้นรถมาด้วยสีหน้ากังวล
“คุณชายหลี่ มีเรื่องแปลกๆ นิดหน่อยครับ”
“เรื่องอะไร ตื่นตกใจไปได้” หลี่เจียหาวขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่อดทนเล็กน้อย
“คราวก่อนที่ผมติดต่อกับพี่เลี่ยงคนนั้นให้ไปหาเรื่องซ่งจื่อเซวียน ผลออกมา…แปลกๆ นิดหน่อยครับ” โหวจื่อพูด
หลี่เจียหาวชะงัก “หืม ไอ้เด็กนั่นมันแจ้งความเหรอ พี่เลี่ยงคนนั้นคงไม่ได้ซัดทอดมาถึงฉันใช่ไหม”
ถ้าเรื่องใช้เงินหลี่เจียหาวไม่มีทางละล้าละลัง แต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยาก สำหรับเขาแล้ว เรื่องยุ่งยากที่สุดก็แน่นอนว่าเป็นการถูกฟ้องร้องจนขึ้นโรงขึ้นศาล
“ไม่ครับไม่ใช่ แต่ทำพลาดแล้ว คนของพี่เลี่ยงบอกว่าตอนที่พวกเขาหาเรื่องซ่งจื่อเซวียน มีคนที่เก่งเรื่องต่อยตีออกหน้าช่วยเขาไว้ แถมพี่เลี่ยงยังบาดเจ็บอีก ต้องการเคลียร์เรื่องนี้กับพวกเราครับ”
“อะไรนะ ต้องเคลียร์กับพวกเรา จะเคลียร์กับฉันไหวเหรอ” หลี่เจียหาวขมวดคิ้วพูด
“เอ่อ…คุณชายหลี่ ยังไงพวกเราก็ใช้เขานะครับ…”
“ไร้สาระ นายใช้ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับฉัน” หลี่เจียหาวพูดส่งๆ แต่คิดๆ แล้วก็ไม่เหมาะไม่ควรอยู่บ้าง “นายลองถามเขาดู ว่าจะเอาเท่าไร”
“กลัวว่า…จะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิครับ คุณชายหลี่ ลูกพี่ของพี่เลี่ยงคนนี้คือพี่เจี๋ย พี่เจี๋ยเป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงแถวๆ พื้นที่ฝั่งตะวันตกของเมือง เรื่องครั้งนี้เหมือนเป็นการตบหน้าพวกเขา ผมกลัวว่าจะไม่ใช่แค่ให้เงินแล้วจะจบน่ะครับ” โหวจื่อพูด
หลี่เจียหาวถอนหายใจ “ปล่อยไปเถอะ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แล้ว นายพูดคุยสักหน่อย ถามพวกเขาว่าจะเอายังไง”
“ได้ครับ คุณชายหลี่”
หลี่เจียหาวยังอยากเล่นต่ออีกหน่อย แต่ไม่มีอารมณ์แล้ว เขาทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ออกแรงสูบบุหรี่เฮือกหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างรถ
“แม่มันเถอะ ไอ้เด็กนี่ยังมีคนช่วยไว้อีก ดูไม่ออกเลยจริงๆ หึ แต่ความโกรธนี้ฉันยังต้องระบายออกไป คนพวกนั้นต้องโดนทุบตีก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถเอง เจอพี่เจี๋ยอะไรนั่นก็ช่าง ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามีคนที่ไม่ยอมรับเงินน่ะ!”
….
ณ ครัวด้านหลังภัตตาคารต้าสือไต้
เวลาใกล้เที่ยง ลูกค้าบางคนเข้ามาชิมอาหารภัตตาคารแห่งใหม่แล้ว ครัวด้านหลังก็เริ่มงานยุ่งจริงๆ แต่เพราะเป็นทีมที่คุ้นเคยกันอย่างนี้ การทำงานก็ย่อมราบรื่นไปหมดทุกอย่าง ไม่มีผิดพลาดวุ่นวายแม้แต่น้อย
ด้านซ่งจื่อเซวียนกลายเป็นคนที่ว่างที่สุดในครัว นั่งอยู่ข้างๆ มองทุกคนยุ่ง พูดตามตรงเขาอึดอัดมาก ถึงอย่างไรเข้ามาในสภาพแวดล้อมใหม่กับความรู้สึกแบ่งแยกก็ไม่สบายใจพอๆ กัน แต่เห็นแก่เงินเดือนแปดหมื่น เขาก็ต้องยืดตัวให้ตรงเข้าไว้
“นายเป็นเด็กใหม่ใช่ไหม พวกเรามาจากร้านอาหารหมิงจู” คนที่สวมชุดเชฟคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับซ่งจื่อเซวียน
มีคนสนใจ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย เขาหันหน้าไป เห็นเชฟคนนี้อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี หน้าตาธรรมดาแต่ดูไร้เดียงสามาก
“ครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เหอะๆ ฉันชื่ออู๋หย่ง ฉันจะบอกนายเลยนะ นายมาใหม่ก็ต้องนอบน้อมหน่อย ทำหัวหน้าเชฟโกรธไม่ค่อยดีนะ นายทนหน่อยสิ” อู๋หย่งพูดแนะนำอย่างรอบคอบจริงจัง
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “ทำไมผมต้องทนเขาด้วยล่ะ”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเขา ที่นี่คำที่เขาพูดถือเป็นคำขาด พวกเราต้องเชื่อฟังสักหน่อย ฉันเห็นว่าอายุนายยังน้อย อารมณ์ก็ร้อน หลังจากนี้อย่ากล้าทำแบบนี้อีก ยุคสมัยนี้งานหายากมากนะ”
ได้ฟังคำพูดของอู๋หย่ง ซ่งจื่อเซวียนก็อุ่นหัวใจ อย่างน้อยนี่ก็เป็นคนแรกที่ยอมพูดคุยกับแบบนี้หลังจากที่เขามาที่ต้าสือไต้
“ขอบคุณนะครับพี่ชายอู๋หย่ง ผมจะพยายามอดทน”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน หลี่เทาที่อยู่ข้างๆ ก็ตะโกนมา “เหล่าหย่ง นายว่างมากใช่ไหม แม่มันเถอะ ข้านี่ก็รอวุ้นเส้นอยู่ นายยังคุยอยู่นั่น ยังไม่รีบส่งมาอีก!”
“อ้อๆ มาแล้ว เหอะๆ หลี่เทา นายก็อย่ารีบร้อนสิ” อู๋หย่งหัวเราะเหอะๆ พลางส่งวุ้นเส้นสองถุงไปให้
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าถอนหายใจ เหล่าอู๋คนนี้เป็นคนใจดีจริงๆ ใครก็ด่าว่าได้…
ไม่นานนักเวลาเที่ยงก็ผ่านพ้นไป อย่างไรก็เป็นร้านเปิดใหม่ ลูกค้าไม่นับว่าหมุนเวียนมาก แต่ว่ากันโดยรวมก็ยังถือว่าทำให้คนพอใจ
เจิ้งฮุยตระเตรียมของสำหรับมื้อเย็นต่อไป ความยุ่งวุ่นวายของครัวแทบจะไม่ได้หยุดเลย
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เปิดประเดิม เพราะข้าวผัดที่หนึ่งราคา 899 หยวนก็ไม่ใช่ว่าใครจะกินได้ไหว
เขาลุกขึ้นยืนเดินออกไปจากครัวด้านหลังอย่างเบื่อหน่าย อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ จึงเดินจากโถงร้านไปที่หน้าประตู จุดบุหรี่มาสูบมวนหนึ่ง
โจวเผิงมองซ่งจื่อเซวียนจากกระจก อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เหอะๆ ไอ้เด็กเวร คำพูดของฉันถือเป็นคำขาดที่นี่ ฉันสั่งให้ทุกคนตีตัวออกห่างจากนาย ฉันจะดูว่านายจะทำต่อไปได้ไหม!”
ซ่งจื่อเซวียนนั่งอยู่บนบันได สูบบุหรี่หนึ่งเฮือก จู่ๆ ก็รู้สึกจิตตก แต่ไม่ได้แสดงออกมา เดิมทีเขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่าคนรุ่นเดียวกันเล็กน้อย แน่นอนว่าเก็บเรื่องราวไว้ภายในใจได้มากกว่า
ขณะที่กำลังเหม่ออยู่นั้น เสียงข้อความก็ดังขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนกดเปิดดู ตาสองข้างก็เบิกกว้างทันที
แปดหมื่นหยวนเข้าบัญชีแล้ว หลินเทียนหนานให้เงินเดือนเขาก่อน ตอนนี้หินในใจซ่งจื่อเซวียนร่วงลงพื้น เขาไม่ได้คิดจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอะไร แต่อยากจะเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวตนเองไม่ให้แม่ต้องลำบากอีก
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนมีความสุขเรื่องเดียวของวันนี้ตั้งแต่ช่วงสายมา เขาดับไฟหัวบุหรี่ที่พื้น หันหลังเดินกลับเข้าภัตตาคาร แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง
“เฮ้ย พี่ชาย ยัง…ท้าสู้ได้อยู่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไป เห็นคนคนหนึ่งเกาะกำแพงมองตนเองอยู่ โผล่มาแค่ศีรษะ สายตามีแววขาดความมั่นใจอยู่รางๆ เป็นซางเทียนซั่วนั่นเอง
เห็นท่าทางอย่างนี้ของซางเทียนซั่ว ซ่งจื่อเซวียนมีความคิดอยากจะหัวเราะออกมากะทันหัน “นายยังไม่จบไม่สิ้นอีกเหรอ”
……………………………………..