เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 210 โลกกลม
ตอนที่ 210 โลกกลม
การประชุมครั้งนี้ทำให้พวกขาใหญ่ในบริษัทยอมศิโรราบกันหมดจริงๆ นายท่านฉินลิ่วพาลูกน้องเจ็ดคนมาก็โดนฟางรุ่ยจัดการในพริบตา ตอนนี้พวกเขาก็ไม่กล้าก่อเรื่องอีก
ส่วนซ่งจื่อเซวียนหยิบยกเรื่องครอบครัวของฉินจ้งออกมาพูดตามใจ กระทั่งแม้แต่อีกฝ่ายเม้มเงินไว้เท่าไร เมียน้อยอยู่ที่ไหนก็สืบมาหมด
คนพวกนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ไม่อยากแตะต้องคนแบบนี้ ทำให้อีกฝ่ายสืบเรื่องแบบนั้นของตนเองแล้วป่าวประกาศออกไป น่าอายจะตาย
เห็นปฏิกิริยาของทุกคน ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “จั่วอู่บริหารบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ต่อไป จากนั้นจัดการบัญชีของบริษัทให้ชัดเจนแล้วรายงานมาที่ผม เข้าใจไหม”
“ครับคุณซ่ง” จั่วอู่พูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มองเจ้าเจี้ยน ไม่ได้พูดอะไร เจ้าเจี้ยนก็พูดขึ้นมาว่า “ครับๆๆ คุณซ่ง ผมก็จะทำแบบนี้เหมือนกันครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ “อารองครับ ส่วนทางอา”
“จื่อเซวียน ช่วงนี้หลักๆ ฉันยุ่งอยู่กับทางสถานีโทรทัศน์น่ะ ทางตลาดก็ให้เจิ้งอวี่ดูแลเป็นหลักเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูด “ครับ แล้วก็หลี่ลี่สยาคนนั้น ถ้ามีเวลาอาก็จัดการเธอนะครับ อย่าให้เธอก่อความวุ่นวายในตลาด”
ซ่งอวิ๋นหล่างไหนเลยจะกล้าพูดว่าไม่ ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก “อารู้แล้ว อาจะจัดการนะ”
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนก็ไว้หน้าเขามากแล้ว ไม่ได้เอาเรื่องหลี่ลี่สยามาพูดขยี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ต่างกับฉินจ้งมากหรอก…
สุดท้าย ซ่งจื่อเซวียนมองเฮ่อเหว่ย
เฮ่อเหว่ยรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที แต่เขาแสดงออกไปไม่ได้ ยิ่งเป็นเวลานี้ด้วยแล้ว เขายิ่งต้องกดความตื่นเต้นเอาไว้
ที่จริงพอเห็นเรื่องพวกนี้ เขาก็ไม่อยากจะขัดแย้งกับซ่งจื่อเซวียนอีกแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ล้างแค้นให้เฮ่อเหยียนข่าย ใจเขาอยู่ไม่สุขแน่
ดังนั้น ตอนนี้เขาต้องอดทน ต้องหาวิถีทาง ในเมื่อยังรักษาเสถียรภาพของตนเองเอาไว้ได้ก็จะล้างแค้นได้
จุดนี้บังคับให้เขาต้องก้าวผ่านไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาตลาดเอาไว้ก่อน
“เฮ่อเหว่ย ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้บอกเหรอว่าจะไปตลาดเฉิงหนานน่ะ”
เฮ่อเหว่ยพยักหน้าเบาๆ “ยินดีต้อนรับคุณซ่งมาเสมอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ก็ดี สองสามวันนี้ผมจะหาเวลาไป ไปดูที่ของคุณสักหน่อย หวังว่า…คุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะครับ”
“แน่นอนครับ”
เสร็จประชุม คนในห้องประชุมก็จากไป เจิ้งอวี่เหงื่อเต็มมือไปหมด
“คุณซ่ง ต้องพูดเลยนะครับว่าก่อนหน้านี้ผมมองคุณผิดไป วันนี้คุณพลิกสถานการณ์ได้แล้วนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “นี่ไม่นับว่าเป็นอะไรเลยครับ อาเจิ้ง เมื่อกี้นี้เพิ่งเริ่มต้น ให้บริษัทปรับโฉมใหม่ได้เป็นเป้าหมายต่างหาก”
เจิ้งอวี่พยักหน้า “ถ้ารู้ว่าวันนี้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ดวงวิญญาณคุณซ่งที่อยู่บนสวรรค์ก็คงมีความสุขแทนคุณนะครับ”
“เหอะๆ อาเจิ้งก็ชมเกินไปครับ นี่เป็นสนามรบที่ผมต้องสู้ตายเหมือนกัน ไม่เอาฉินจ้งลง คนอื่นๆ ก็จะหวั่นไหว ลงหมากตัวนี้ คนอื่นๆ ถึงจะซื่อสัตย์”
“ถูกต้องครับ ตำแหน่งของฉินจ้งหยั่งรากลึกในบริษัท แต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณซ่งรู้ข้อมูลพวกนั้นของฉินจ้งได้ยังไง ตอนนั้นสืบไม่เจอนะครับ”
“ฮ่าๆ อาเจิ้งสืบไม่เจอ…ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะสืบไม่เจอนี่ครับ บางทีคนเราก็ใจอ่อนไม่ได้ ตอนแรกถ้าคุณส่งคนไปสืบค้นเรื่องพวกนี้จนหมดจด ผมก็ดึงหางฉินจ้งไว้อยู่หมัดแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ได้ยินดังนั้น เจิ้งอวี่ก็พยักหน้าน้อยๆ “ดูท่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ เมื่อก่อนคุณซ่งสอนผมว่าผมต้องซื่อสัตย์จริงใจ โน้มน้าวใจคนด้วยคุณธรรม ตอนนี้ดูแล้ว…ก็ต้องแยะแยะว่าอีกฝ่ายเป็นใครนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“อาจารย์ ผมเอง เทียนซั่ว เมื่อกี้ผมเพิ่งดูข่าวในโทรศัพท์ อาจารย์ได้ขึ้นพาดหัวข่าวแล้ว!” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “หืม หมายความว่าไง ฉะ…ฉันได้ขึ้นพาดหัวข่าวที่ไหน”
“จริงๆ นะ อาจารย์ลองดูสิ มีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่ชื่อว่าร้านอาหารอร่อยตู้เหมินแอคหนึ่งเพิ่งโพสต์ข่าวบนเวยป๋อเรื่องศึกข้าวผัดจักรพรรดิเมืองตู้เหมิน ยังบอกอีกว่าเชฟปักกิ่งท้าสู้อาจารย์น่ะ”
“หา? เรื่องจริงเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนงุนงง ทำไมตนเองถึงได้กลายเป็นคนดังในอินเทอร์เน็ตไปได้
“โธ่ เรื่องจริงสิ ว่อนไปทั่วเน็ตแล้ว ไม่เชื่ออาจารย์ก็เสิร์ชดูเอาเองเลย ผมเดาว่าไม่ต้องเสิร์ชแล้วล่ะ พออาจารย์เข้าเน็ตก็เป็นข่าวนี้เลย” ซางเทียนซั่วพูด
วางสาย ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเปิดเวยป๋อดูสักหน่อย แต่ถังหย่าฉีก็โทรเข้ามาพอดี
เนื้อหาแทบจะเหมือนกันหมด บอกว่าเชฟปักกิ่งต้องการท้าสู้เขา อีกทั้งหัวข้อท้าสู้ก็คือข้าวผัดจักรพรรดิ!
ถัดมาก็เป็นสายของเสี่ยเฉิงปา แม้แต่คนอย่างเสี่ยเฉิงปาที่ไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตเท่าไรยังโทรมา ซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจกับเรื่องนี้แล้ว
“โอ้โห น้องชาย ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ข้าวผัดจักรพรรดิของแกนี่…ทำไมถึงยังมีคนอื่นทำได้ล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสี่ยปาอย่าเพิ่งใจร้อนไปก่อนสิครับ ผมยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างในวงการนี้ไม่มีความลับที่ปกปิดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มีคนอื่นที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่ครับ”
“หา? ไม่แปลกเหรอ แต่ถ้ามีคนอื่นทำได้จริงๆ เขาก็อาจจะเปิดร้านอาหารสักร้าน ถ้าราคาต่ำว่าครึ่งหนึ่ง เราจะหาเงินได้จากไหนล่ะ” เสี่ยเฉิงปาพูดอย่างกังวล
“น้องชาย ฉันพูดถึงร้านอาหารร่ำรวยอยู่นะ แกต้องพูดความจริงกับพี่ชายว่าอาจารย์ที่แกไปเรียนรู้วิชามาเขาสอนลูกศิษย์คนอื่นด้วยหรือเปล่า ตอนนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของแกออกมาจากเขาแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกน่า เสี่ยปาก็อย่าเพิ่งเดาส่งเดช ผมขอทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนค่อยคุยกันโอเคไหม”
วางสายเรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มหาในอินเทอร์เน็ต ที่จริงก็ไม่ได้หาอะไรมากมาย แทบจะอยู่เป็นพาดหัวข่าวในรายงานท้องถิ่นของตู้เหมินทั้งหมด
“คุณซ่ง เกิดอะไรขึ้นครับ” เจิ้งอวี่ถาม
“ผมไม่รู้ครับ เชฟปักกิ่งคนไหนสักคนอยากจะท้าสู้ผม ผิดปกติจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย อ่านข่าวต่างๆ ต่อ
เนื้อหาแทบไม่ต่างกันเลย ล้วนบอกว่ามีเชฟปักกิ่งแกะสูตรลับของข้าวผัดจักรพรรดิได้แล้ว ครั้งนี้ที่มาตู้เหมินก็เพื่อท้าสู้เชฟข้าวผัดจักรพรรดิอย่างซ่งจื่อเซวียน
และจุดประสงค์ที่เขาท้าสู้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าข้าวผัดจักรพรรดิใช่ว่าจะโค่นล้มไม่ได้ อีกทั้งเงื่อนไขก็คือห้ามไม่ให้ซ่งจื่อเซวียนวางขายข้าวผัดจักรพรรดิในท้องตลาดอีกต่อไป
อ่านข่าวพวกนี้จบ ซ่งจื่อเซวียนอดประหลาดใจไม่ได้
อีกฝ่ายไม่ได้ท้าสู้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ แต่พุ่งเป้ามาที่ข้าวผัดจักรพรรดิของเขา หรือพูดได้อย่างมั่นใจว่าพุ่งเป้ามาที่ธุรกิจของตน
การท้าสู้ครั้งนี้ถ้าอีกฝ่ายชนะ ธุรกิจร้านอาหารร่ำรวยได้จบเห่แน่
โหดเอาเรื่อง!
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร…
ในข่าวพวกนี้ล้วนพูดถึงแต่เชฟข้าวผัดจักรพรรดิอย่างซ่งจื่อเซวียน แต่คนที่ท้าสู้กลับไม่ได้เอ่ยถึง
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็สูดลมหายใจ อดขมวดคิ้วไม่ได้
นี่เหมือนกับ…มีคนจงใจแพร่ข่าวเช่นนี้ ถ้าเดาไม่ผิด ก็คือคนที่ท้าสู้คนนี้นั่นแหละ!
เขาคิดถึงความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือต้องการความสนใจล้วนๆ อย่างไรตอนนี้ข้าวผัดจักรพรรดิก็โด่งดังมาก เกาะกระแสนี้ค่อนข้างจะง่าย
ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่าง…อีกฝ่ายคงจะปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม และตอนนี้เป็นเพียงแค่การแจ้งตนเองให้ทราบเท่านั้น
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ฟางรุ่ยข้างๆ ก็พูดว่า “นายท่านรอง นี่มันเรื่องอะไรกันครับ นี่มันยุคไหนแล้ว ยังท้าสู้กันอยู่อีกเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ “นี่ไม่แปลกอะไรหรอก ถึงจะเป็นยุคนี้ แต่เชฟเป็นสายอาชีพดั้งเดิม รักษาประเพณีเก่าๆ เอาไว้ไม่น้อย ส่วนการท้าสู้นี่…ก็เป็นวิธีการประลองทักษะเชฟอย่างหนึ่งพอดี
ดังคำกล่าวที่ว่า บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง ทักษะเชฟกลับไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น พึ่งแต่ต่อมรับรสของลูกค้ามาช่วยชิมเท่านั้น รสนิยมคนแตกต่างกันตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ แต่ถ้าเลือกจะท้าสู้ก็ต้องมีกรรมการมาพิจารณาคะแนนว่าได้เท่าไร ถึงจะกลายเป็นการตัดสินแพ้ชนะ”
เจิ้งอวี่พยักหน้าเบาๆ “นายท่านรอง ถ้า…เราไม่รับคำท้าของเขาล่ะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เหอะๆ นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ในวงการเชฟนี่ ถ้าไม่รับคำท้า ก็จะกลายเป็นผู้แพ้โดยอัตโนมัติ กระทั่งแย่ยิ่งกว่าผู้แพ้เสียอีก เพราะนั่นหมายความว่าแม้แต่ความกล้าก็ไม่มี”
“แล้วยังไงล่ะครับ เราควรต้องทำธุรกิจต่อไปนะ” เจิ้งอวี่พูด
“ไม่แน่หรอก ถ้าคนคนนี้ใช้อินเทอร์เน็ตประโคมข่าวอีก ชื่อเสียงของผมก็จะเสียหาย เอาล่ะ ตอนนี้ไม่ต้องสนใจเขาหรอก เชื่อสิว่าทางเขาต้องติดต่อผมมาก่อนแน่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนกำลังอ่านข้อมูลของบริษัทอยู่ในห้องทำงาน โทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
เขาพบว่าการโดนปั่นบนอินเทอร์เน็ตนั้นทำให้ไม่เหมือนเดิมจริงๆ ต้องรับสายนั้นรับสายนี้…
แต่คราวนี้เป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก
“คุณซ่ง เหอะๆ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้เขาเดาออกทันทีว่าเป็นใคร
“ไม่ได้เจอกันนานแล้วจริงๆ ครับคุณเถียน”
“คุณซ่งหูดีจังนะครับ รู้เลยว่าผมเป็นใคร” เถียนเหวินคุ่ยเอ่ยยิ้มๆ
“คุณเถียนอย่าอ้อมค้อมเลยครับ คุณพูดมาตรงๆ เถอะ คนที่จะท้าสู้ผมเป็นใคร” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เถียนเหวินคุ่ยได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง
เขาไม่เข้าใจว่าซ่งจื่อเซวียนเดาจุดประสงค์ที่เขาโทรหาได้อย่างไร แต่มีจุดหนึ่งที่เขามั่นใจได้ นั่นก็คือเด็กหนุ่มคนนี้เก่งมากจริงๆ
อย่างน้อย ในบรรดาเด็กยุคนี้ เขาก็มีความสามารถเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน
“เหอะๆ ท่านเป้ยเล่อจากปักกิ่งน่ะ คุณน่าจะเคยได้ยินใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านเป้ยเล่อ? เขาอยากท้าสู้กับผมเหรอ เหอะๆ โลกนี้นี่มันกลมจริงๆ”
“หืม เหอะๆ ดูท่าคุณจะรู้จักกับท่านเป้ยเล่ออยู่แล้วสินะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เคยเจอก็แค่เดินผ่านเท่านั้นเอง ถ้างั้นคุณเถียนก็ลองพูดมาหน่อยครับว่าจะท้าสู้ยังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เถียนเหวินคุ่ยยิ้ม “ไม่ต้องรีบหรอกครับ ท่านเป้ยเล่ออยากลองเจอคุณดู ถ้าคุณซ่งสะดวกก็มาที่หอหงเยวี่ยได้เลย”
“เอาสิ ในเมื่อจะท้าสู้ผม ผมก็ต้องเจออยู่แล้ว เมื่อไรครับ”
“ตามสะดวกครับ สามวันนี้ท่านเป้ยเล่อจะอยู่ที่หอหงเยวี่ยตลอด คุณมาได้ตามสะดวก” เถียนเหวินคุ่ยตอบ
วางสาย ซ่งจื่อเซวียนก็ให้เจิ้งอวี่ขับรถไปส่งที่หอหงเยวี่ย ขณะเดียวกันก็โทรหาซางเทียนซั่วให้รีบไปเช่นกัน
อย่างไรอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้มีแค่เถียนเหวินคุ่ย ยังต้องมีหวงฟาด้วยแน่นอน สถานการณ์เช่นนี้ เขาต้องการคนที่มีฝีปากอย่างซางเทียนซั่ว
พวกเขาแทบจะถึงหอหงเยวี่ยในเวลาเดียวกัน แต่ตอนที่มาถึง ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าหน้าหอหงเยวี่ยมีรถจอดอยู่เยอะมาก และยังมีตัวอักษรเขียนว่าสถานีโทรทัศน์ตู้เหมินแปะอยู่บนรถเอสยูวีขนาดเจ็ดคน
เห็นถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ต้องการจะทำให้เรื่องโด่งดังใหญ่โตจริงๆ
หวงฟา แกนี่มันไม่รู้จักยอมแพ้เลยเอาเสียเลย…
ในหอหงเยวี่ย เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา หลี่ม่านหงก็รีบลงมาทันที “คุณซ่งมาแล้ว”
จากน้ำเสียงของหลี่ม่านหง ซ่งจื่อเซวียนก็สัมผัสได้ว่าช่วงนี้ตนเองเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
แรกเริ่มเดิมทีเถ้าแก่เนี้ยหลี่ม่านหงท่านนี้ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย จนตอนนี้กลับต้องเรียกเขาว่าคุณซ่งอย่างนอบน้อม
“เจ๊หง พวกเขาอยู่ห้องไหนครับ”
หลี่ม่านหงเงยหน้ามอง ยิ้มพูด “ขออภัยที่ดิฉันต้องพูดอย่างตรงไปตรงมานะคะคุณซ่ง…ที่จริงคุณไม่ควรมาวันนี้”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก ไม่ค่อยเข้าใจไปครู่หนึ่ง หลี่ม่านหงคนนี้หมายความว่าอย่างไร เธอไม่ใช่คนของทางหวงฟาหรอกเหรอ
………………………………………………