เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 21 ข้าวผัด 899 หยวน
ตอนที่ 21 ข้าวผัด 899 หยวน
ซ่งจื่อเซวียนมองไปทางนั้น เป็นเชฟที่อ้วนมากคนหนึ่ง เชฟคนนั้นพูดพลางยกตะหลิวขึ้นชี้มาทางเขา
จุดนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ถ้าพูดว่าที่แล้วมาถูกจางขุยด่า ถึงอย่างไรตอนนั้นตัวเองก็เป็นเด็กครัว แต่ตอนนี้หลินเทียนหนานเป็นคนเชิญตนเองมายังต้องโดนด่าอีกเหรอ
“ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำงานอะไร ผมอยากจะรอผู้จัดการของภัตตาคารมาจัดการครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางมองไปที่เชฟอ้วนคนนั้น
ระหว่างที่ทั้งสองจ้องมองกัน สายตาซ่งจื่อเซวียนไม่ยอมแพ้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเชฟอ้วนคนนั้นหงุดหงิดเล็กน้อยแล้ว “ให้ตายสิ ไอ้เด็กเวรนี่เป็นใคร ถึงได้มาพูดจากับฉันแบบนี้”
พูดพลาง เขาก็ถือตะหลิวพุ่งมาทางซ่งจื่อเซวียน ท่าทางอย่างนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องการปะทะแล้ว แต่ตอนนี้เอง ชายสวมชุดสูทเรียบร้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาในครัวด้านหลัง ผมสั้นสะอาดสะอ้านมาก แว่นตากรอบทองบนหน้าทำให้ดูสุภาพเล็กน้อย
ชายชุดสูทยกมือขึ้น “ทุกคนหยุดทำงานก่อนครับ ออกมาสักครู่ พวกเราจะประชุมกัน”
เหล่าเชฟก็หยุดมือ ตามชายชุดสูทออกมาด้านนอก เชฟอ้วนคนนั้นก็เช่นเดียวกัน จ้องซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง “ไอ้หนู รอก่อนเถอะฉันจัดการนายแน่!”
หลังจากที่เขาเดินออกไปด้านนอก ซ่งจื่อเซวียนก็ใช่ว่าจะไม่สนใจ เดินตามทีมอยู่ด้านหลังสุด
เดินมาถึงโถงร้าน พนักงานรวมถึงพนักงานต้อนรับก็ยืนเรียงกันเป็นแถว ถัดมาเชฟก็เดินไปเข้าแถวเช่นกัน
“ผมขอพูดก่อนนะครับ ผมชื่อโจวเผิง เป็นผู้จัดการของต้าสือไต้ ต่อจากนี้จะทำงานร่วมกับทุกคน ถัดมาเรามาพูดถึงผู้รับผิดชอบโถงด้านหน้าและครัวด้านหลังกันสักหน่อยนะครับ
“ผู้จัดการโถงใหญ่คือถังเยี่ยน หัวหน้าเชฟคือเจิ้งฮุย ผมหวังว่าทั้งสองท่านจะทำงานร่วมกับผมได้ ทุกคนจะสร้างร้านอาหารขึ้นมาด้วยกัน ปรบมือหน่อยครับ!”
โจวเผิงพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้น
ซ่งจื่อเซวียนมองเจิ้งฮุยแวบหนึ่ง ที่แท้ชายอ้วนที่กล้าจะใช้กำลังกับตนเองเมื่อครู่เป็นหัวหน้าเชฟนี่เอง ไม่น่าถึงได้เย่อหยิ่งและก้าวร้าวอยู่บ้าง
ขณะเดียวกัน เจิ้งฮุยก็มองมาทางซ่งจื่อเซวียน สายตามีแววดูถูกเหยียดหยามอยู่เล็กน้อย เหมือนกำลังพูดว่า ไอ้หนู รู้หรือยังว่าฉันเป็นใคร คราวนี้แกตายแน่
“อ้อ ยังมี…ซ่งจื่อเซวียน เป็นผู้รับผิดชอบเฉพาะ…”โจวเผิงดูใบรายชื่อในมือ เผยสีหน้าลำบากใจอยู่เล็กน้อย “รับผิดชอบข้าวผัด?”
ความจริงที่เขาพูดก็ไม่ผิด หลินเทียนหนานจ้างซ่งจื่อเซวียนด้วยเงินเดือนแปดหมื่นหยวนก็เพียงเพราะข้าวผัด!
“ครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
โจวเผิงเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม สายตาของเขาที่มองซ่งจื่อเซวียนดูเหมือน…มีความอ่อนโยนอยู่เล็กน้อย
“อันนี้เดี๋ยวผมตรวจสอบกับเถ้าแก่อีกรอบ เอาล่ะ จากนี้ทุกคนเริ่มงานได้ จัดการตระเตรียมร้านวันแรกให้ดีนะครับ”
พูดจบ ทุกคนก็แยกย้าย ด้านโจวเผิงเดินไปที่ด้านหนึ่งหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์
“คุณซุนครับ ผมโจวเผิง”
“มีเรื่องอะไรเหรอ” เสียงชายคนหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ด้วยเสียงแหบพร่า ฟังดูก็น่าจะอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี
“อ้อ คืออย่างนี้ครับคุณซุน ผมเห็นในใบรายชื่อพนักงานแล้วพบว่ามีคนหนึ่งแปลกมากครับ”
“แปลก? ผู้จัดการโจว บอกมาสิว่าคนไหน” ชายคนนั้นซักถาม
“ซ่งจื่อเซวียน หน้าที่มีแค่…ข้าวผัดเหรอครับ คุณซุน นี่ไม่ได้พิมพ์มาผิดใช่ไหมครับ” โจวเผิงพูดกลั้วหัวเราะ ถึงอย่างไรจากประสบการณ์ของเขา ไม่เคยพบเคยเห็นตำแหน่งรับผิดชอบข้าวผัดโดยเฉพาะในร้านอาหารที่ไหนมาก่อน
“ถูกแล้ว นายทำตามข้อมูลที่ฉันให้ก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องถามมาก แล้วก็…” ชายคนนั้นชะงักไปสองวินาที “ผู้จัดการโจว เดี๋ยวเมนูอาหารน่าจะส่งไปแล้ว นายดูหน้าข้าวผัดซิกเนเชอร์ในหน้าที่สาม นั่นก็คือที่ซ่งจื่อเซวียนรับผิดชอบโดยเฉพาะ อย่าจัดการงานอื่นให้เขาทำล่ะ”
“เอ่อ…เข้าใจแล้วครับคุณซุน”
จากนั้น คุณซุนก็วางสายไป โจวเผิงสีหน้าไม่เข้าใจ “เหอะๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ร้านอาหารใหญ่โตขนาดนี้ คนครัวด้านหลังก็มีเยอะแยะขนาดนั้น ไม่นึกเลยว่าจะยังต้องดูแลอาจารย์ข้าวผัด…”
ในครัวด้านหลัง ตามคำร้องของแผนกที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเคาน์เตอร์ทำครัว เตา ตู้เย็นจนถึงอุปกรณ์อื่นๆ ล้วนมีตัวอักษรเขียนประกอบไว้ทั้งหมด เจิ้งฮุยเริ่มนำลูกน้องและเชฟอีกหลายคนเตรียมของ จัดวางเครื่องครัวของตนให้เรียบร้อย
แต่ตอนที่เห็นว่ามีเตาอยู่เตาหนึ่งเขียนกำกับไว้ว่า ‘เตาข้าวผัด’ หลายคนก็อึ้งไปเล็กน้อย ตนเองเป็นเชฟมาตั้งหลายปี ไม่เคยเห็นเตาที่ใช้ผัดข้าวผัดโดยเฉพาะมาก่อน
“ฮ่าๆ พี่เจิ้ง พี่ว่านี่ทำผิดหรือเปล่า เตาข้าวผัดมาจากไหนกัน” เชฟคนหนึ่งถามขึ้น
เจิ้งฮุยส่ายหน้ายิ้มๆ “เหอะๆ เรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ไม่เป็นไร พวกเราเตรียมของก่อน เดี๋ยวฉันไปถามผู้จัดการโจวเอง หลี่เทา เตานี้ให้นายแล้วกัน”
“ได้ครับ แถมยังเป็นเตาเดี่ยวด้วย ฮ่าๆ ขอบคุณครับพี่เจิ้ง!”
หลี่เทาที่พูดก็คือเชฟคนแรกที่ซ่งจื่อเซวียนเจอเมื่อเช้า ในครัวด้านหลังที่กว้างขวางมีเตาเดี่ยวได้ถือเป็นตำแหน่งที่แน่นอน รับรู้ได้ว่าเจิ้งฮุยเอ็นดูเขามาก
พูดจบเขาก็ถือเครื่องครัวของตนเองไปจัดวาง แต่ตอนที่เพิ่งเริ่มจัดของ ก็ได้ยินเสียงหนึ่ง “ขอโทษนะครับ เตานี้ของผม”
เขาหันหน้าไปมอง คนที่พูดก็คือซ่งจื่อเซวียนนั่นเอง เพียงแต่ความแตกต่างของซ่งจื่อเซวียนกับเชฟคนอื่นๆ คือ…ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ได้พกเครื่องครัวของตนเองมาเลย
ตามปกติ มาทำงานที่ร้านอาหารใหม่ ร้านอาหารก็จะตระเตรียมเครื่องครัวชุดใหม่ไว้หลายชุดอยู่แล้ว แต่เชฟเหล่านี้เป็นเชฟที่มีประสบการณ์ทำงานมาหลายปี มีเครื่องครัวของตนเองกันทั้งนั้น ส่วนเครื่องครัวที่ร้านเตรียมไว้ ให้หัวหน้าเชฟเก็บไปหมดตั้งนานแล้ว ถ้าขายออกไป ชุดหนึ่งคงไม่ใช่แค่หลักร้อยแน่ๆ
“ของนาย? น้องใหม่ วันนี้นายบ้าไปแล้วหรือไง” หลี่เทาขมวดคิ้วพูด
“นี่เป็นเตาของผมจริงๆ เชิญคุณเอาของของคุณออกไปด้วย” ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด สีหน้าก็เรียบนิ่ง แต่ยิ่งทำแบบนี้ ในสายตาของหลี่เทาและเจิ้งฮุยกลับยิ่งโกรธเกรี้ยวมากขึ้น
“แม่มันเถอะ ใครจ้างมาเนี่ย ข้าอยากไล่เขาออก” เจิ้งฮุยพูดอย่างโกรธเคือง เดินเข้ามาคว้าคอเสื้อซ่งจื่อเซวียนยกขึ้นทันที “หลี่เทา จัดเครื่องครัวของนายให้เรียบร้อย ฉันจะดูว่าเขาจะกล้ายังไง ไอ้หนู ฉันจะบอกนายให้นะ หลังจากนี้เตานี้เป็นของเขาแล้ว ถ้ากล้าแตะฉันจะต่อยนายให้ฟันร่วงซะ!”
ดวงตาซ่งจื่อเซวียนจดจ้องที่เจิ้งฮุย มือสองข้างกำหมัดแน่น เขาไม่เคยรู้สึกโกรธอย่างนี้มาก่อน ต่อให้จางขุยที่ร้านอาหารชุนเซียงพ่นคำพูดหยาบคายออกมาหลายประโยค ก็ยังไม่เคยทำท่าทางรุนแรงขนาดนี้มาก่อน
“ปล่อยผม!”
“นายว่าอะไรนะ ฉันคงไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม” เจิ้งฮุยถลึงตาพูด
“ผมบอกให้คุณปล่อย!”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนโขกศีรษะไปชนเข้าที่หน้าของเจิ้งฮุยเต็มแรง ได้ยินเพียงเสียงร้องโอดโอยของเจิ้งฮุยที่ถอยหลังไปหลายก้าวทันที เลือดกำเดาก็พลันไหลลงมา
ถึงอย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เคยชกต่อยมาก่อน การชนครั้งนี้ก็ทำเอาตนเองมึนไปเล็กน้อย ถ้าไม่ได้ค้ำกับเคาน์เตอร์เอาไว้คงจะเซอยู่บ้าง
ชั่วขณะนี้เอง ครัวด้านหลังเรียกได้ว่าวุ่นวายมาก พวกหลี่เทาเข้าไปพยุงเจิ้งฮุย คนอื่นก็ตรงเข้ามาล็อกตัวซ่งจื่อเซวียน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ยังไม่ทันเปิดร้าน พวกนายก็ทะเลาะกันก่อนเลยเหรอ” โจวเผิงตะโกนเสียงดังเดินเข้ามาที่ครัวด้านหลัง ถึงทำให้ห้องครัวเงียบสงบลง
“ผู้จัดการโจว ไอ้เด็กนี่มันต่อยคนอื่นครับ” หลี่เทาพูด ขณะเดียวกันก็ชี้ที่เจิ้งฮุย “พี่เจิ้งถูกเขาต่อยจนเลือดกำเดาไหลเลยครับ!”
โจวเผิงกอดอกมองซ่งจื่อเซวียน เชิดคางขึ้นเล็กน้อยพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเขาแย่งเตาของผม” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่เล็กจนโตที่เขาทะเลาะวิวาท ถึงแม้ว่าจะแค่โขกศีรษะ แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังหอบหนักอยู่
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว มีดทำครัวบนเตานั่นเป็นของใครล่ะ” โจวเผิงหันไปถามคนอื่น
“เป็น…เป็นของผมครับ” หลี่เทาตอบ
“เอาออกไป เตานี้ให้ซ่งจื่อเซวียน”
โจวเผิงพูดจบ เจิ้งฮุยกุมจมูกลุกขึ้นพูด “ผู้จัดการโจว ทำไมล่ะครับ นี่เป็นครัวด้านหลังที่ผมเป็นคนดูแลนะ!”
โจวเผิงมองเลือดกำเดาที่จมูกเจิ้งฮุย ทอดถอนใจเบาๆ “ใช่ แต่นี่เป็นเตาที่เถ้าแก่ให้เขา นายเข้าใจไหม เอาล่ะๆ ทุกคนรีบเก็บกวาดสักหน่อยเตรียมเปิดร้านได้แล้ว อย่าก่อเรื่องกันอีกล่ะ เหล่าเจิ้งนายมานี่ ฉันจะเรียกคนให้มาดูแลนาย”
จากนั้น เชฟก็แยกย้ายกันไป ที่เช็ดก็เช็ด ที่หั่นก็หั่น ด้านเจิ้งฮุยก็เดินตามโจวเผิงออกไปด้านนอก
โจวเผิงเรียกพนักงานให้เอากระดาษชำระมาอุดจมูกของเจิ้งฮุยก่อน ถึงห้ามเลือดไว้ได้ เจิ้งฮุยพูดว่า “ผู้จัดการโจวครับ ผมไม่เคยหาเรื่องคุณมาก่อนนี่นา พูดตามตรงคุณก็น่าจะเข้าใจกฎในวงการอาหาร ครัวด้านหลังผมเป็นคนดูแล ถ้าผมควบคุมเรื่องวันนี้ไม่ได้ หลังจากนี้ผมจะทำงานได้ยังไง!”
โจวเผิงเข้าใจสิ่งที่เจิ้งฮุยจะสื่อ หัวหน้าเชฟคนหนึ่ง ถ้าคนในครัวด้านหลังควบคุมไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะตอนที่เขาดูแลจัดการ คนอื่นไม่สามารถแทรกแซงได้ กระทั่งเถ้าแก่ก็ไม่ได้ เพราะว่าครัวด้านหลังเป็นจิตวิญญาณของร้านอาหาร ต้องรับรองศักดิ์ศรีของหัวหน้าเชฟและความมั่นคงของครัวด้านหลัง
“เหล่าเจิ้ง ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนพวกเราไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน แต่ก็เคยไปมาหาสู่กัน นายคิดว่าฉันจะไม่เข้าใจกฎได้ยังไง”
“ถ้างั้นคุณยังจะ…เฮ้อ หัวหน้าเชฟอย่างผมวันนี้ถือว่าขายหน้าแล้ว วันหลังถ้าจัดการครัวด้านหลังไม่ดี พวกคุณก็อย่าให้ผมรับผิดชอบก็แล้วกัน!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเจิ้งฮุยแฝงด้วยความโกรธ โจวเผิงก็ฟังออก เขายิ้ม “นายนี่นะ เอาเรื่องนี้มาโทษฉันซะแล้ว ตอนที่พวกนายเพิ่งเข้าไป ฉันก็โทรหาเถ้าแก่แล้ว เขาบอกว่า ซ่งจื่อเซวียนคนนี้รับหน้าที่ทำข้าวผัดโดยเฉพาะ อีกทั้งรับหน้าที่ผัดข้าวผัดซิกเนเชอร์ในหน้าที่สามของเมนูอาหารเพียงเมนูเดียวเท่านั้น ใบเมนูอาหารยังไม่ได้ส่งมา เดี๋ยวฉันจะดูสักหน่อย”
“เถ้าแก่จ้างเชฟข้าวผัดมาโดยเฉพาะจริงๆ เหรอ นี่เชฟอย่างพวกเราผัดข้าวกันไม่ได้หรือไง”
“ฮ่าๆ เหล่าเจิ้ง นายยังอารมณ์เสียขนาดนี้ เมนูอาหารยังไม่มา ฉันก็ไม่รู้ว่าข้าวผัดอะไร เขารับผิดชอบผัดแค่เมนูนี้เมนูเดียว อย่างอื่นยังเป็นพวกนายที่ทำนะ”
“หึ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แค่ข้าวผัดยังกลายเป็นเมนูซิกเนเชอร์ได้ น่าขันสิ้นดี! ผู้จัดการโจว คุณว่าจะทำยังไงกับเรื่องครัวด้านหลังเรื่องนี้ดีล่ะ ผมคงไม่ต้องกลืนความโกรธนี่ลงไปใช่ไหม” เจิ้งฮุยตัดเข้าประเด็นหลัก อย่างไรเขาก็ต้องการอำนาจในการจัดการครัวด้านหลังอย่างสิ้นเชิง
โจวเผิงถูมือพลางครุ่นคิด พูดว่า “โธ่ หัวหน้าเชฟของฉัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในร้าน ฉัน โจวเผิงก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว จุดนี้นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
ได้ฟังประโยคนี้ เจิ้งฮุยก็เงียบไปครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยทันที “เข้าใจแล้ว ฮ่าๆ ผมเข้าใจแล้ว ผู้จัดการโจว คุณวางใจได้เลย ผมจะไม่หาเรื่องให้คุณแน่นอน!”
เจิ้งฮุยพูดจบ ก็เดินไปทางครัวด้านหลัง โจวเผิงส่ายหน้ายิ้มๆ จัดการกับคนหยาบกระด้างแบบนี้ ก็ต้องมีวิธีการพิเศษ
ขณะที่เขาคิดจะพักสักหน่อย ก็เห็นพนักงานส่งของหอบกล่องใบใหญ่กล่องหนึ่งเดินเข้ามา เขารีบเปิดออกดูทันที เห็นเป็นเมนูอาหาร สิ่งที่ทำเป็นสิ่งแรกคือเปิดไปหน้าที่สาม
เขาอยากจะเห็นจริงๆ ว่านี่เป็นข้าวผัดซิกเนเชอร์อะไร ถึงต้องใช้เชฟพิเศษคนหนึ่งเลย
แต่ตอนที่เขาได้เห็นข้าวผัดในหน้าที่สามก็ตกใจจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว ราคาที่ติดไว้คือ 899 หยวน!
เท่ากับว่าเกินจากแปดร้อยหยวนที่หลินเทียนหนานพูดคุยกับซ่งจื่อเซวียนตอนนั้นอีกเก้าสิบเก้าหยวน!
โจวเผิงทำธุรกิจอาหารมาสิบกว่าปีแล้ว วันนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นข้าวผัดอย่างนี้ เขาขยี้ตามองอีกรอบ ไม่ผิด เป็น 899 หยวนจริงๆ…
……………………………………………