เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 209 จะทำให้พินาศไปทั้งครอบครัว
ตอนที่ 209 จะทำให้พินาศไปทั้งครอบครัว
สำหรับความดุดันที่รุ่ยจื่อแสดงออกมา ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้แปลกใจ อย่างไรคนมีความสามารถมักจะกล้าได้กล้าเสีย นักเลงพวกนี้ในสายตาของฟางรุ่ย จัดการง่ายกว่าพวกศัตรูตอนที่อยู่ในหน่วยรบพิเศษมาก
และฟางรุ่ยที่เห็นคนพวกนี้ก็อึดอัดใจมาไม่ใช่แค่วันสองวัน อยากจะชกพวกเขามานานแล้ว วันนี้นายท่านรองพูดออกมา เขาก็เหมือนได้เริ่มล่าเนื้อ
ระบายอารมณ์!
หนึ่งนาทีกว่าๆ นักเลงห้าคนก็ลงไปนอนแผ่กันหมด บ้างล้มลงบนโต๊ะประชุม บ้างก็ชนเข้ากับฉินจ้งพากันล้มกลิ้งไป
ถึงนักเลงที่เหลือสองคนจะแสดงท่าทางคิดสู้ออกมา แต่ขากลับไม่เชื่อฟังเริ่มก้าวถอยหลัง
เห็นพี่ใหญ่ท่านนี้ล้มไปได้ห้าคน พวกเขาจะเอาความกล้าที่ไหนพุ่งเข้าไปล่ะ
เห็นนักเลงสองคนนั้น ฟางรุ่ยก็วอร์มข้อมืออย่างดุดัน สองคนนั้นก็หันหลังไปด้วยความตกใจและวิ่งออกจากห้องประชุมไป
จะได้เงินไหมยังไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนจัดการแบบนี้หรอก
และตามธรรมเนียม ถ้าเป็นการต่อสู้แบบยกพวกตี คนที่โดนกระทืบเป็นคนสุดท้ายต้องโชคร้ายแน่นอน อีกฝ่ายจะอัดพละกำลังทั้งหมดใส่ร่างกายของเขา
สองคนนี้จะเป็นคนไหนก็ไม่ยอมเป็นไอ้เวรที่โชคร้ายนี่หรอก
“หา?” เห็นคนข้างกายวิ่งหนีไป ล้มลุกคลุกคลาน ฉินจ้งงุนงงไปหมด
ใจคิดจะพาพวกมาข่ม ถ้าซ่งจื่อเซวียนไม่ยอมก็จะจัดการเขาสักยก แต่ใครจะไปคิดว่า…บอดี้การ์ดของซ่งจื่อเซวียนจะเป็นคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้มา…
คนอื่นๆ ในห้องประชุมก็มองอย่างโง่งม นี่คือการแปรผันของฮวงจุ้ยจริงๆ
คนที่ลำบากใจที่สุดก็คือจั่วอู่และเจ้าเจี้ยน ทั้งสองคนฝากเนื้อฝากตัวกับซ่งจื่อเซวียน แต่การโหวตคราวที่แล้วก็หันไปเกาะฉินจ้ง
ตอนนี้นกสองหัวสองตัวนี้จะภายในหรือภายนอกก็ไม่ใช่คน ไม่ว่าใครจะได้ตำแหน่งพวกเขาก็ไม่สบายใจทั้งนั้น
ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นช้าๆ เดินไปทางฉินจ้งที่นั่งอยู่บนพื้น
เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาหาช้าๆ ฉินจ้งก็ตกใจจนคลานถอยหลังหนีไปกับพื้น พูดว่า “ไอ้หนู…กะ แกอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะเว้ย!”
“เหอะๆ ผมจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไงกันครับ ผมก็แค่ทำเรื่องที่สมควรทำเท่านั้นเอง!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหยิบที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะขึ้นมา ทุกคนกังวลกันไปหมด เพราะพวกเขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะเอาไปทำอะไร
ภาพฉากนี้คุ้นมาก เพราะตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเจอนายท่านฉินลิ่วครั้งแรก ก็เคยแสดงฉากนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว
ฉินจ้งเบิกตาพูด “แก…ไอ้หนู แกมันไม่เคารพผู้อาวุโสเอาเสียเลย อย่างน้อยฉันก็เป็นคนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหลกับพ่อแกนะ!”
“หึ คุณก็รู้นี่ จากสิ่งที่คุณทำ ผมฟาดคุณก็ไม่เกินไปหรอก!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางยกที่เขี่ยบุหรี่ขึ้น ทุกคนก็สูดลมหายใจตาม ฉินจ้งยกสองแขนขึ้นบังใบหน้า
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ฟาดลงไป อีกทั้งยังพลิกที่เขี่ยบุหรี่ ก้นบุหรี่และขี้บุหรี่ร่วงลงใส่ศีรษะกับใบหน้าของฉินจ้งราวกับสายฝน
ต้องพูดเลยว่าเป็นการเหยียดหยามยิ่งกว่าฟาดลงไปเสียอีก ฉินจ้งในตอนนี้หน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว
ฉินจ้งขยับศีรษะเล็กน้อย ขี้บุหรี่ก็ลอยฟุ้งออกมา
“ไอ้หนู พอใจหรือยังล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนแค่นหัวเราะ กลับไปนั่งที่ทันที
เขาผายมือทั้งสองข้าง “ตอนนี้ไม่มีคัดค้านเรื่องที่ผมนั่งที่ตำแหน่งนี้แล้วใช่ไหมครับ”
ทุกคนไม่พูดไม่จา จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็มองเฮ่อเหว่ย เอ่ยว่า “เฮ่อเหว่ย คุณไม่มีความเห็นเหรอครับ”
เฮ่อเหว่ยผงะ คิดไม่ถึงว่าไอ้เด็กคนนี้จะหันหัวหอกชี้มาทางตนตอนนี้
แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นก็คือวันนี้เฮ่อเหว่ยไม่ได้พาคนมาด้วย อีกทั้งฟางรุ่ยก็ยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้เขาพามาก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“ผมจะพูดอะไรได้ล่ะครับ” เฮ่อเหว่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจ พูดต่อ “ก็ดี ในเมื่อไม่มีความเห็นกัน ผมก็นั่งสบายขึ้นมาก สองวันก่อนเราเจอหน้ากันที่นี่ เพราะว่าเร่งรีบกัน ผมเลยลืมผลโหวตไปหมดแล้ว เรามาโหวตกันใหม่อีกครั้งเถอะครับ”
“แก…” ฉินจ้งชี้ซ่งจื่อเซวียน ลุกขึ้นพูดทันที “การโหวตเสร็จสิ้นไปแล้ว ตอนนี้แกจะบิดพลิ้วเรอะ หึ แกคิดว่าแกเป็นเด็กถึงทำแบบนี้ได้หรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใครกันแน่ที่โกงก่อนน่ะ ไม่ยอมรับคำสั่งเสียของพ่อผมเหรอ”
คำถามนี้ฉินจ้งไม่ได้รู้สึกโมโห เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่มาคราวก่อน ความคิดหลักของเขาก็คือไม่ยอมรับคำสั่งเสียของซ่งอวิ๋นฮั่น ต้องการให้ทุกคนเริ่มลงเสียงเอง!
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขา พูดว่า “โหวตกันใหม่เถอะครับ เริ่มตอนนี้เลย!”
พูดจบ เขาก็มองไปทางจั่วอู่กับเจ้าเจี้ยน สองคนนี้สะดุ้ง ยกมือขึ้นทันที
“ผมเสนอคุณซ่งครับ!”
“ผมก็ด้วย!”
“พวกแกสองคนนี่มัน…กิ้งก่าเปลี่ยนสี!” ฉินจ้งพูดตะคอกด้วยความโกรธ
ถัดมา ซ่งอวิ๋นหล่างก็พูดว่า “เหล่าฉิน คุณนี่สุภาพหน่อยได้เปล่าวะ คนเขาจะโหวตใครก็แล้วแต่เขา คราวก่อนตอนที่พวกเขาโหวตคุณ จื่อเซวียนได้พูดอะไรหรือเปล่าล่ะ”
คำพูดนี้ของซ่งอวิ๋นหล่างเปลี่ยนสรรพนามเรียกจากนายท่านลิ่วเป็นเหล่าฉินในทันที อันที่จริงการที่เขาเลือกฝั่งใครก็ชัดเจนมากแล้ว
“ฉันเสนอจื่อเซวียน!” ซ่งอวิ๋นหล่างยกมือขึ้นเช่นกัน
เห็นจำนวนผลโหวตถึงครึ่งหนึ่งแล้ว ฉินจ้งก็สูดลมหายใจลึก กัดฟันกรอดจนท้ายที่สุดก็ยังไม่ยกมือ
ตอนนี้ขอแค่ซ่งจื่อเซวียนโหวตตัวเองเสียงหนึ่งก็ผ่านแล้ว เขายกมือมากสุดก็อับอายขายขี้หน้า
แต่ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เผยจุดยืนออกมาชัดเจนที่สุด ฉินจ้งหันไปมองเฮ่อเหว่ยอย่างไม่รู้ตัว
คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ถึงจะบอกว่าจะเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ท่าทีของเฮ่อเหว่ยก็ยังสำคัญที่สุด
ซ่งจื่อเซวียนมองเฮ่อเหว่ย ไม่ได้พูดเร่งเร้า แค่รอ จะช้าจะเร็วอีกฝ่ายก็ต้องแสดงท่าที
สายตาเฮ่อเหว่ยจ้องมองไปข้างหน้า ในใจก็สับสนถึงขีดสุด เขาย่อมไม่อยากโหวตให้ซ่งจื่อเซวียนอยู่แล้ว แต่ในช่วงเวลาสำคัญนี้โหวตให้ฉินจ้งก็จะดูไร้หัวคิดเกินไปหน่อย
อีกทั้งที่ลำบากใจที่สุดก็คือคราวก่อนเขายืนหยัดอยู่ข้างฉินจ้ง ตอนนี้จึงค่อนข้างยากจริงๆ
สุดท้าย เขาก็พรูลมหายใจ ไม่ได้ยกมือขึ้น แต่พูดว่า “ผมขอสละสิทธิ์!”
ตอนนี้ ฉินจ้งรู้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง เขาจบสิ้นแล้ว
เขาขัดแย้งกับคุณชายลูกเจ้าของบริษัทท่านนี้ไปแล้ว อาจจะพูดได้ว่าประกาศสงครามแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาแพ้แล้ว ไม่เหลือที่ให้เดินอีกต่อไป
แต่ในใจก็คิดขึ้นมาว่า แพ้แล้วมันยังไงล่ะ หุ้นของตนเองก็ยังอยู่ ซ่งจื่อเซวียนก็ทำอะไรตนไม่ได้นี่นา
คิดถึงตรงนี้ เขาก็พยักหน้าแล้วนั่งลง
“ก็ดี เหอะๆ ดีจริงๆ วันนี้ทุกท่านก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทชิงอวี่มาสิบกว่าปี จนวันนี้ถึงเป็นวันที่ได้เข้าใจที่สุด!”
ขณะที่พูด เส้นผมของนายท่านฉินลิ่วเสียทรงจนลงมาแนบหน้าผาก ทำให้ดูน่าเวทนามากเป็นพิเศษ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เข้าใจแล้วก็ดี อย่าเป็นเหมือนพ่อผมเลย ที่จนถึงตอนนี้…ก็ยังมองไม่ออก”
ฉินจ้งแค่นหัวเราะ “งั้นเหรอ ฉันหวังไว้มากๆ ว่าคุณซ่งจะได้เห็นว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาทำอะไรกับฉันยังไงบ้าง หลายปีมานี้ฉันภักดีกับบริษัทไม่หวั่นไหว แต่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ นายท่านลิ่ว ผมจะชี้ทางสว่างให้สักทางนะ ขายหุ้นทิ้งแล้วออกไปจากบริษัทเถอะครับ!”
“อะไรนะ” ฉินจ้งชะงัก เมื่อครู่เขายังคิดอยู่เลย ต่อให้เป็นแบบนี้ดีร้ายอย่างไรก็ยังมีหุ้นของบริษัทอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เส้นทางนี้ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เหลือให้เขา
“เหอะๆ ฝันไปเถอะ ไม่มีทางซะหรอก!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “ก็ดี งั้นผมก็จะบอกว่าทำไมผมถึงชี้ทางนี้ให้คุณ แต่ว่า…นายท่านฉินลิ่ว ถ้าผมพูดจบแล้ว เกรงว่าแม้แต่หุ้นคุณก็ขายไม่ได้แล้วล่ะ!”
“โอ้ งั้นเหรอ ฉันกลับอยากลองฟังว่าทางนี้ของแกคือทางแบบไหนกัน แกลองพูดมาสิ!” ฉินจ้งเชิดหน้าพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมจะไม่คิดบัญชีเก่าก่อนหน้านี้กับคุณ ต่อให้คิดคำนวณไม่กี่ปีมานี้ สินบนที่คุณได้รับเพียงอย่างเดียวก็มากกว่าสามล้านแล้ว อีกทั้งเงินเดือนที่มีก็สูงเกินความเป็นจริง ปีก่อนคุณจ้างนักวิจัยคนหนึ่งที่ชื่อว่าเก๋อหย่ง เงินเดือนสามหมื่นหยวนต่อเดือนถูกไหมครับ”
ได้ยินชื่อนี้ ฉินจ้งก็ลุกลี้ลุกลนทันที แต่เขาบังคับตัวเองให้ใจเย็นลงแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว ทำไมเหรอ”
“เหอะๆ ไม่ทำไมหรอกครับ ขอให้คุณเรียกเขาให้มาทำงานด้วยนะครับ ผมได้ยินมาว่าเขาถูกคุณไล่ออกไปอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่งแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปัดดูเนื้อหา พูดว่า “บัญชีแต่ละเดือนก็ไม่ถูกต้อง แต่ละปีคุณทำอะไรลงไปในบัญชีบ้างผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็มากกว่าห้าล้าน!”
ถูกต้อง ถึงตัวเลขพวกนี้ไม่ได้แม่นยำจนถึงหลักแสน แต่ก็ประมาณนี้จริงๆ
แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้ได้อย่างไรกัน
ตอนที่ฉินจ้งกำลังเคร่งเครียด ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้ม “เหอะๆ นายท่านลิ่ว ทำอะไรไว้…ก็ต้องได้รับสิ่งนั้นตอบแทน ถ้าพ่อผมรู้เรื่องพวกนี้ คุณได้ไสหัวออกไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“เรื่องนี้…ซ่งจื่อเซวียน แกใส่ร้ายฉัน หลักฐานล่ะ แกคงไม่พูดอะไรไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นมั้ง” ฉินจ้งดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ได้ ในเมื่อคุณไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ผมก็จะจะส่งไอ้ของพวกนี้ให้คุณดูในโลงแล้วกัน!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ส่งหลักฐานการคอร์รัปชันของฉินจ้งทั้งหมดให้กับคนอื่นๆ ในที่ประชุม มีแค่ฉินจ้งคนเดียวที่ไม่ได้
ทว่าเมื่อเห็นทุกคนกำลังดูโทรศัพท์กันหมด อีกทั้งแต่ละคนก็ทำท่าตกตะลึง ฉินจ้งจึงรู้สึกว่าตัวเองมาถึงทางตันแล้วจริงๆ
“ฉินจ้ง คุณเลี้ยงเมียน้อยไว้สามคน ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ผมจะไม่เอ่ยถึงแล้วกัน พวกเธออาศัยอยู่ที่ชุมชนชุนหวาในเขตเฉิงซี สวนสี่ฤดูในเฉิงเป่ย แล้วก็เมืองเยวี่ยเลี่ยงใจกลางเมือง ถ้าคุณไม่โลภเอาเงินพวกนี้ไป ก็จะไม่มีปัญญาเลี้ยงเมียน้อยใช่ไหมครับ”
“ไอ้เชี่ยเอ๊ย แกสืบเรื่องฉันเหรอ” ฉินจ้งพูดอย่างโมโห
อย่างไรนี่ก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ซ่งจื่อเซวียนเพียงแค่ใช้ปากพูด ฉินจ้งไม่มีหลักฐานอะไร
“เหอะๆ ถ้าคุณไม่อยากให้คนอื่นรู้ คุณน่าจะเข้าใจหลักการนี้นะ คุณก็อายุปูนนี้แล้ว…เมียน้อยสามคนนี้อายุมากสุดก็สามสิบห้าปี คุณมียางอายบ้างไหมเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไอ้หนู แกนี่มันใจเหี้ยมจริง แต่แกเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหม” ฉินจ้งกัดฟันพูด
ได้ยินคำข่มขู่ของฉินจ้ง ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “ตาแก่ ขู่ผมเหรอ ลูกชายลูกสะใภ้คุณรู้เรื่องพวกนี้สักนิดไหม หลานคุณที่เรียนอนุบาลสองอยู่ที่เฉิงซีรู้หรือเปล่าล่ะ ลองกลับไปเล่าให้พวกเขาฟังสิ อย่ามัวแต่มาข่มขู่ผม!”
“แก…”
ฉินจ้งไม่มีอำนาจแล้ว การพูดข่มขู่ของซ่งจื่อเซวียนนี้อำมหิตกว่าเขามาก
แกกล้าแตะฉันเหรอ ฉันจะทำให้พินาศไปทั้งครอบครัว!
ในห้องไม่มีใครพูดอะไร ฉินจ้งก้มหน้าเงียบ ตอนนี้เหมือนกับไก่ตัวผู้ที่พ่ายแพ้ย่อยยับตัวหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนนั่งไขว่ห้าง ใช้ไฟแช็กเคาะโต๊ะ “ฉินจ้ง ผมจะโอนเงินค่าหุ้นของคุณที่หักค่าใช้จ่ายแล้วเข้าบัญชีให้ ส่วนที่หักจะถือว่าชดเชยค่าเสียหายของบริษัทส่วนที่คุณเป็นคนทำในไม่กี่ปีมานี้ คุณไม่ติดใช่ไหมครับ”
ฉินจ้งไม่พูดอะไร ส่ายหน้าเบาๆ
“แต่ว่าคำนวณดูแล้วก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย น่าจะพอให้คุณเลี้ยงตัวเองได้ในยามแก่เฒ่านะ เอาล่ะ คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปครับ เราจะประชุมต่อแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนสั่งไล่ออกแล้ว ฉินจ้งเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วหันไปมองคนอื่นรอบๆ ปวดใจจนแทบไม่ไหว
ทำงานมาสิบกว่าปี เดิมคิดว่าจะเป็นขอบเขตอิทธิพลของตัวเอง วันนี้กลับต้องจากไปแล้ว
ในชั่วพริบตานี้ เขารู้สึกถึงความสูญเสียและนึกเสียดายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางที…ถ้าไม่สู้กับซ่งจื่อเซวียนแล้วสนับสนุนอย่างเต็มที่ อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกคนหนึ่งที่คุณธรรมและบารมีสูงส่งได้
แต่อายุปูนนี้ เดินหมากตัวนี้ผิดไปเสียแล้ว
เขาถอนหายใจ หันหลังเดินออกจากห้องประชุม ลูกน้องพวกนั้นก็พากันเดินออกไป
จากนั้น ในห้องประชุมก็เหลือแค่ซ่งจื่อเซวียน ซ่งอวิ๋นหล่าง จั่วอู่ เจ้าเจี้ยนและเฮ่อเหว่ย
ซ่งจื่อเซวียนผ่อนลมหายใจ พูดว่า “เป็นยังไง ทุกท่านดูละครเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ อย่าลืมซื้อตั๋วล่ะ วันนี้ก่อนค่ำ เอาเรื่องที่คุณทำตุกติกกับบัญชีในช่วงไม่กี่มานี้ไปคิดทบทวนดูนะครับ เอาเงินบริษัทไปเท่าไรน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี ผมอาจจะต้องให้พวกคุณคายออกมาให้หมด แต่หลังจากนี้ต้องทำยังไง…เข้าใจกันหมดแล้วใช่ไหมครับ”
ทุกคนสบตาแล้วพยักหน้ากันหมด
…………………………………………………