เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 203 สืบความลับ
ตอนที่ 203 สืบความลับ
พอวางสาย พวกซ่งจื่อเซวียนจึงไปที่คลับเฮาส์หลงตูทันที
พอไปถึง ก็เห็นเจ้าเจี้ยนกับพนักงานเสิร์ฟสองสามคนยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในห้องโถงอย่างว่านอนสอนง่าย
เห็นรอยแดงช้ำบนใบหน้าของพวกเขาอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่ต้องพูดเลยว่าเชื่อฟังมากแค่ไหน
ส่วนจางเปียวกับเหลยจื่อกลับเฝ้าพวกพี่น้องอยู่ที่เคาน์เตอร์ ส่งเสียงตวาดเป็นบางครั้ง ทำให้พวกเจ้าเจี้ยนตกใจตัวสั่น
“เถ้าแก่ของฉันมาแล้ว!”
พอเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา เจ้าเจี้ยนรีบตะโกนทันที เหมือนมองเห็นความหวังอีกครั้ง ยื่นมือไปหาซ่งจื่อเซวียน
แต่จางเปียวกลับกลอกตาใส่เขาหนึ่งที จากนั้นเบี่ยงตัว แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนลงในทันที เดินเข้าไปหา
“นายท่านรอง มาแล้วสินะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เป็นยังไงบ้าง”
“เสี่ยปาพาคนขึ้นไปข้างบนแล้ว บอกว่าวันนี้จะจัดอย่างง่ายๆ ก่อน จากนั้นจะสั่งให้นักออกแบบร่างแบบออกมา”
“ดีมาก เสี่ยปาทำงานผมก็วางใจ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสองสามคนนี้ล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนชี้ไปที่พวกเจ้าเจี้ยน
เจ้าเจี้ยนมอง รีบโบกมือ เหมือนกำลังจะพูดว่า พวกเราเป็นพวกเดียวกัน ลูกพี่ช่วยผมด้วย…
“นายท่านรอง ตอนที่พวกเรามา พวกเขาไม่ยอมให้ขึ้นไป เสี่ยปาก็สั่งให้พวกเราจัดการพวกเขา ตอนนี้เลยเชื่อฟังแล้ว” จางเปียวตอบ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “โอเค อยู่นิ่งๆ ก็ดี เสี่ยปาสั่งให้พวกพี่เฝ้าพวกเขาเหรอ”
เหลยจื่อพูดว่า “ใช่แล้ว เสี่ยปาบอกว่าคนพวกนี้อยากโดนต่อย สั่งให้พวกเขาไปยืนข้างหลังเคาน์เตอร์แล้ว ถ้าใครกล้าออกมาก็ต่อยคนนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกมีความสุข คราวนี้เจ้าเจี้ยนอวดเก่งไม่ได้แล้ว เขายิ้มพลางพูดว่า “โอเค ปล่อยพวกเขาออกมาขยับตัวเถอะ อย่าขึ้นไปสร้างความวุ่นวายที่ชั้นสองก็พอ ตอนเย็นยังต้องเปิดร้าน”
“ได้เลย จะทำตามที่นายท่านรองสั่ง”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินเข้าไป “เฮยจื่อ คนพวกนี้ผมเป็นคนหามาเอง คลับเฮาส์ต้องทำการปรับปรุงใหม่ หยุดให้บริการชั้นสองชั่วคราวนะครับ ลูกค้าที่มาให้พาไปที่ชั้นสามก่อน”
“ครับคุณซ่ง ผมไม่ได้อยากล่วงเกินพวกเขาจริงๆ นะครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นคนสั่งมา” เจ้าเจี้ยนพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เหลยจื่อฟังแล้วจึงชี้หน้าพูดใส่เขา “ไร้สาระ พวกเราว่างมากจนต้องมาช่วยปรับปรุงการตกแต่งให้พวกนายเหรอ”
ขณะพูด เหลยจื่อก็ง้างมือเตรียมจะต่อย เจ้าเจี้ยนตกใจรีบหลบไปข้างหลังทันที
“พอแล้วเหลยจื่อ ปล่อยพวกเขาออกมาขยับตัวเถอะ ผมจะไปหาเสี่ยปาที่ชั้นสอง”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินไปที่ลิฟต์ เจิ้งอวี่กับฟางรุ่ยก็เดินตามหลังเขาเข้าไป
“เสี่ยปางั้นเหรอ พี่ใหญ่ พวกคุณเป็นใครกันแน่” เจ้าเจี้ยนถามหนึ่งประโยคด้วยความหวาดกลัว
เหลยจื่อทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ หนึ่งที “เป็นใครงั้นเหรอ เคยได้ยินชื่อเสี่ยเฉิงปาไหม คนที่พากลุ่มคนขึ้นไปเมื่อกี้น่ะ คนหัวล้านคนนั้น”
เจ้าเจี้ยนได้ยินแล้วจึงตกตะลึง “สะ…เสี่ยเฉิงปา ที่อยู่เขตเฉิงตงน่ะเหรอ”
เหลยจื่อกลอกตาใส่เขาหนึ่งที “ก็ต้องอย่างนั้นไหม ตอนนี้นายขาไม่หักก็บุญแล้ว”
…
ตึกจวี้เฟิง
หวงฟานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ใช้ไฟแช็กเคาะโต๊ะอย่างไร้จุดหมาย
หลังจากที่ได้พักผ่อนมาหนึ่งคืน เห็นได้ชัดว่าเถียนเหวินคุ่ยมีสติและเรี่ยวแรงมากกว่าก่อนหน้านี้ หลังจากเปลี่ยนชุดมาใส่เสื้อคอจีนสีม่วงแล้ว ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปทันที
“เสี่ยครับ โจวเผิงที่มาเมื่อวาน ความจริงก็พูดมีเหตุผล”
“หืม ยังไง”
“ครั้งนี้พวกเราล้มร้านอาหารร่ำรวยไม่ได้ หลักๆ แล้วเป็นเพราะพึ่งพาหน่วยงานรัฐมากเกินไป ตอนนี้เฉิงเทียนเย่าก็เกิดเรื่องกับตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเราเลยครับ”
หวงฟาพยักหน้าช้าๆ “ใช่แล้ว จุดนี้ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด ซ่งจื่อเซวียนรู้จักคนเบื้องบนจริงๆ ทางที่ดีที่สุดพวกเราก็อย่าเพิ่งไปหาเรื่องกับเขาในช่วงนี้เลยดีกว่า”
“ถูกต้องครับ ถ้าเกิดความขัดแย้งกับเบื้องบน จะไม่ใช่แค่ซ่งจื่อเซวียนเท่านั้น ที่จริงสำหรับพวกเราก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย” เถียนเหวินคุ่ยกล่าว
“เพราะงั้น…นายคิดว่าฉันน่าจะร่วมมือกับโจวเผิงงั้นเหรอ” หวงฟายิ้มถาม
“เสี่ยครับ ผมไม่มีความหมายอย่างอื่น ความสามารถของคุณผมรู้ดีที่สุด แต่บางครั้งพวกเราต้องหลบซ่อนอยู่ในความมืด มีบางเรื่อง…ต้องปล่อยให้คนอื่นออกหน้าทำแทนพวกเรา”
เถียนเหวินคุ่ยพูดจบ หวงฟาสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที
“มีเหตุผล นายพูดต่อ”
“โจวเผิงลงทุนเปิดร้านอาหาร เขาบอกว่ารู้จักกับคนที่ทำงานในครัวด้านหลังและโถงด้านหน้า ผมเชื่อว่าน่าจะมาจากต้าสือไต้ อาศัยแค่จุดนี้ ก็สามารถเรียกได้ว่าสนิทกันแล้วครับ
ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยดูความสามารถการทำอาหารของพวกเขา และเสี่ยแค่ใช้ชื่อเสียงของคุณช่วยสนับสนุนพวกเขา ถือว่าไม่ขาดทุน!”
หวงฟาหัวเราะ “พูดถูกนะ แต่เหวินคุ่ยนายเคยคิดบ้างไหม ถ้าอีกฝ่ายใช้ชื่อเสียงของฉันทำเงินก้อนโต แต่ไม่สามารถกำจัดซ่งจื่อเซวียนได้ แบบนั้นฉันจะขาดทุนหรือเปล่า ฉันต้องสนใจกำไรสิบเปอร์เซ็นต์นั่นจริงๆ เหรอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เถียนเหวินคุ่ยก็อึ้งไป “เอ่อ…ก็เป็นปัญหาเหมือนกันครับ โจวเผิงนั่นจะกล้าเหรอ”
หวงฟาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “ฉันไม่รู้ เพราะงั้นอย่างแรกฉันต้องการเดินด้วยสองเท้า และฉันยังต้องการหุ้นของเขาที่มากกว่านี้ ถือว่าดูความจริงใจของพวกเขา เป็นพันธะอย่างหนึ่ง”
“แต่โจวเผิงจะตกลงเหรอครับ”
“เหอะๆ ไม่ตกลงก็ไม่ร่วมมือด้วย เพราะงั้นฉันถึงบอกว่าฉันต้องการเดินด้วยสองเท้า เหวินคุ่ย ฉันคิดมาตลอด….พวกเราอยู่ในวงการอาหารมานานหลายปี จะจัดการเด็กคนหนึ่งไม่ได้จริงๆ เหรอ”
“หืม? เสี่ยครับ ที่คุณพูดหมายความว่ายังไงครับ คุณอยากปะทะกับร้านอาหารร่ำรวยอย่างเปิดเผยเหรอครับ” เถียนเหวินคุ่ยถาม
“ใช่ว่าจะไม่มีวิธี คนของตู้เหมินเหมือนจะพึ่งไม่ได้แล้ว สงสัยต้องเชิญเพื่อนคนอื่นมาช่วย”
“คุณหมายถึง…ท่านเป้ยเล่อเหรอครับ” เถียนเหวินคุ่ยเอ่ยถาม
หวงฟาพยักหน้า “ถูกแล้ว เรื่องบางเรื่องเมื่อถึงระดับหนึ่ง อาจจะมีเพียงท่านเป้ยเล่อเท่านั้นที่เอาอยู่”
ได้ยินประโยคนี้ เถียนเหวินคุ่ยก็ใจสั่น เข้าใจสถานะในตอนนี้ของหวงฟาทันที
หากมองอย่างผิวเผิน หวงฟานิ่งเหมือนสายน้ำ แต่ในใจกลับเหมือนเกลียวคลื่นโหมซัดสาด
ครั้งนี้จัดการร้านอาหารร่ำรวยไม่ได้ เหมือนกับเอามีดมาแทงหัวใจของเขาจริงๆ ถึงขนาดที่ว่ายอมใช้ทรัพยากรอย่างท่านเป้ยเล่อโดยไม่เสียดายเพื่อต่อสู้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เถียนเหวินคุ่ยมองออก ครั้งนี้หวงฟาร้อนใจจริงๆ
พูดจบ หวงฟาก็หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์โทรออก ในไม่ช้าก็พูดสายกับท่านเป้ยเล่อ
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า เมืองตู้เหมินตอนนี้ คนที่สามารถโทรศัพท์คุยกับท่านเป้ยเล่อได้โดยตรง เกรงว่าจะนับได้ด้วยมือเดียวเท่านั้น
เวลาประมาณสามสี่นาที เขาจึงวางสาย เถียนเหวินคุ่ยเอ่ยถาม “เสี่ยครับ เป็นยังไงบ้าง ท่านเป้ยเล่อว่ายังไงครับ”
“ท่านเป้ยเล่อพูดว่าเหมือนช่วงนี้มีรายการหนึ่งมาเชิญเขา เขากำลังจะมาพอดี ก็จะถือโอกาสมาหาพวกเราด้วย”
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า เมื่อครู่เขาก็ฟังอยู่ตลอด รู้ว่าหวงฟาไม่ได้พูดเรื่องที่อยากให้ท่านเป้ยเล่อช่วยเหลือโดยตรง นี่คือเทคนิคการติดต่อทางสังคมอย่างหนึ่ง หากพูดจุดประสงค์ในตอนนี้เลย ท่านเป้ยเล่ออาจจะรู้สึกว่าถูกหลอกใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“อย่างนั้นก็ดีเลยครับ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยนัดไปที่ถงเชวี่ยไถดีไหมครับ” เถียนเหวินคุ่ยถาม
หวงฟาส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ได้ ไปหอหงเยวี่ยดีกว่า จองห้องไฉ่อวิ๋นเฟย ท่านเป้ยเล่อไม่ชอบสถานที่ครึกครื้นมากเกินไป”
“วันไหนครับ ผมจะได้จองไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่พลาดเหมือนคราวก่อนที่ไฉ่อวิ๋นเฟยถูกคนอื่นจองไป”
“ถูกต้อง นายโทรไปจองตอนนี้เลย อีกสี่วันตอนบ่ายสอง”
“ครับ!”
…
คลับเฮาส์หลงตู
ซ่งจื่อเซวียนคุยกับเสี่ยเฉิงปาสองสามประโยค เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้วก็พึงพอใจมาก
เนื่องจากเขารับปากว่าจะให้เสี่ยปาถือหุ้นบางส่วน เสี่ยปาจึงตั้งใจทำงานเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นยังไงน้องชาย ทำงานเร็วพอไหม ฉันสั่งให้พวกเขาร่างแบบมาภายในสามวัน จากนั้นก็เริ่มงานได้เลย” เฉิงปากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูดพร้อมรอยยิ้ม “สมแล้วที่บอกว่ามีเรื่องอะไรต้องมาหาเสี่ยปา อ้อใช่ครับเสี่ยปา มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเกรงว่าต้องให้คุณมาช่วย”
“หืม พวกเราเป็นพี่น้องกันทำไมต้องพูดจาห่างเหินด้วย แกพูดมา เรื่องอะไร”
“ผมมีข้อมูลของคนสองคน อีกสักพักจะส่งเข้าไปในโทรศัพท์ของคุณ คุณสั่งคนช่วยสืบให้ผมหน่อยนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“สืบอะไร สืบด้านไหนเหรอ”
“สืบให้หมดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวครับ!” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
ได้ยินดังนั้น เสี่ยเฉิงปาก็หรี่ตาทั้งสองข้าง “โหดจัง พวกเขาล่วงเกินแกเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม “ประมาณนั้นครับ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ต้องรบกวนเสี่ยปาด้วยครับ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
เสี่ยเฉิงปาหัวเราะหึๆ ลูบศีรษะล้านของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ไม่สืบจนพวกเขาตายหรอก น้องชายอยากให้ฉันช่วยอัดสั่งสอนพวกเขาหน่อยไหม เรื่องนี้ฉันถนัด”
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เอ่ยว่า “ผมรู้ว่านี่คืองานถนัดของเสี่ยปา แต่…ไม่ดีกว่าครับ ถ้าจำเป็น ผมจะไม่เกรงใจคุณแน่นอน”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงส่งข้อมูลของนายท่านฉินลิ่วกับเฮ่อเหว่ยให้เสี่ยเฉิงปา ส่วนซ่งอวิ๋นหล่าง…เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องสืบให้เปลืองแรง
เมื่อเทียบกับฉินจ้งกับเฮ่อเหว่ย ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังหรือสมองก็แตกต่างกันมากเกินไป โดยทั่วไปแล้วเขาเป็นคนอย่างไรก็เผยให้เห็นชัดเจนแล้ว
มิหนำซ้ำ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นญาติกัน ทัศนคติของซ่งจื่อเซวียนที่มีต่อเขากับอีกสองคนที่เหลือจึงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
หลังจากนั้นสองวัน ซ่งจื่อเซียนก็วิ่งไปมาระหว่างบริษัทและร้านอาหาร ร้านอาหารร่ำรวยมีออร์เดอร์ทะลักติดต่อกันทุกวันจริงๆ ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน ปริมาณการขายน่าจะอยู่ตัวแล้ว
ส่วนที่บริษัท เขาทำความเข้าใจทิศทางของงานเพิ่มขึ้นไม่น้อย สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ด้านเสี่ยเฉิงปาก็ได้ข่าวคราวแล้วเช่นกัน อย่างไรก็เป็นระดับลูกพี่ในเขตเฉิงตง เส้นสายของวงการใต้ดินนับว่าแข็งแกร่งมาก
เขาจึงสามารถสืบข้อมูลของนายท่านฉินลิ่วกับเฮ่อเหว่ยได้ในไม่ช้า ข้อมูลพวกนี้เจิ้งอวี่สืบไม่เจอในตอนแรก
หนึ่งในนั้นยังมีข้อมูลส่วนตัวของนายท่านฉินลิ่ว รวมถึงเรื่องที่เขาเลี้ยงดูเมียน้อยอีกสามคน ถึงขนาดที่ว่าเมียน้อยพวกนี้พักอยู่ที่ไหน นายท่านฉินลิ่วซื้อรถอะไรให้พวกเธอ ล้วนปรากฏอยู่บนข้อมูลทั้งหมด
ส่วนข้อมูลของเฮ่อเหว่ย เห็นได้ชัดว่าสะอาดกว่า ไม่มีข้อมูลว่าเลี้ยงดูผู้หญิง
แต่ก็สืบเจอว่าเฮ่อเหว่ยมีพฤติกรรมกินเงินค่าคอมมิชชั่นจากช่องทางการจัดซื้ออย่างน้อยหกช่องทาง ถึงแม้จะเป็นความลับมาก แต่เสี่ยเฉิงปาก็สืบเจอคนที่ร่วมมือกับเขา คนพวกนี้กลัวเสี่ยปา จึงเผยออกมาหมด
เมื่อมีข้อมูลเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงแอบหัวเราะ นายท่านฉินลิ่ว ผมจะดูว่าครั้งนี้คุณยังมีสิทธิ์อะไรมาเถียงผมอีก!
แต่ซ่งจื่อเซวียนปฏิบัติต่อเฮ่อเหว่ยแตกต่างออกไปอยู่บ้าง ครั้งที่แล้วคำพูดของเฮ่อเหว่ยคือการข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อกำจัดคนคนนี้ออกไปโดยเร็ว
และในขณะเดียวกัน เขาจำเป็นต้องคิดหาวิธี ทำให้เฮ่อเหว่ยไม่กล้าที่จะแก้แค้นเลยสักนิดเดียว!
ตอนบ่ายในวันนั้น หลังจากซ่งจื่อเซวียนทำข้าวผัดครบยี่สิบออร์เดอร์แล้วและเตรียมจะไปบริษัท เขาก็ได้รับสายของเจิ้งอวี่
“อาเจิ้ง คุณไม่ต้องห่วงผม ผมนั่งรถของเทียนซั่วไปได้ครับ”
“ไม่ๆๆๆ จื่อเซวียน คุณซ่งไม่ไหวแล้ว ตอนนี้หมดสติ ทางโรงพยาบาลบอกว่าอาการโคม่าแล้ว!”
……………………………………..