เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 20 ทีมเชฟ
ตอนที่ 20 ทีมเชฟ
ปิดเตาแล้ว ทั้งสองคนก็กลับมาที่โถงร้าน หยางต้าฉุยพูดว่า “เจ้ารอง ที่ฉันเป็นห่วงที่สุดก็คือถึงแกจะทำข้าวผัดได้ แต่อาหารเมนูอื่นพูดได้เลยว่าไม่เคยผ่านมือมาก่อน ตอนนี้ถ้าสอนแกตามสูตรก็ไม่ทันแล้ว ดังนั้นฉันจะสอนที่สำคัญๆ ให้ นั่นก็คือกำลังไฟ พูดได้เลยว่ากำลังไฟก็สำคัญไม่แพ้รสชาติเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เถ้าแก่ ผมเข้าใจจุดนี้แล้ว ขอบคุณเถ้าแก่มากครับ”
ความจริงแล้วหลังจากเจอกับหลินเทียนหนาน ก็ยังถือว่าโล่งใจขึ้นบ้างแล้ว อย่างไรหลินเทียนหนานก็จะจัดการเรื่องทีมพ่อครัวที่ร้านให้ นอกจากข้าวผัด เขาก็ไม่ต้องทำอาหารอื่นๆ สำหรับจุดนี้ เขาผ่อนคลายลงไม่น้อย
แต่ตอนนี้ของหยางต้าฉุยยังสำคัญมาก อย่างน้อยก็ให้แรงใจเขาในด้านความมั่นใจ ได้จับต้องเตามากเท่าไร ย่อมเป็นพื้นฐานความมั่นใจของพ่อครัวเท่านั้นแน่นอน
จากนั้นทั้งสองก็คุยเรื่อยเปื่อยกันอีกสักพัก หยางต้าฉุยแนะนำวิธีทำอาหารสองสามอย่างที่เห็นกันบ่อยๆ แม้ว่าจะพูดไว แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับจำได้ทั้งหมด จนกระทั่งถึงสี่ทุ่มกว่า ทั้งสองคนถึงได้ออกจากร้านอาหาร
เห็นด้านหลังของซ่งจื่อเซวียนจากไป หยางต้าฉุยพยักหน้าอย่างพอใจ “บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่งกความรู้ที่สุด เจ้ารอง ต่อจากนี้…ขึ้นอยู่กับแกแล้ว”
ความจริงแล้วหลายวันมานี้หยางต้าฉุยก็คิดมาดีแล้ว ในเมื่อซ่งจื่อเซวียนหนักแน่นว่าจะจากไป ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องบังคับ ถ้าทำอย่างนั้นดีไม่ดีมีเรื่องขัดแย้งกัน มีศัตรูมากไม่อาจสู้มีมิตรมาก โดยเฉพาะเป็นคนอย่างซ่งจื่อเซวียน
ออกจากร้านอาหาร ในใจซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกซาบซึ้ง ทำงานที่นี่มาหนึ่งปี จู่ๆ ก็จากไป…ยังปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรเขาก็คุ้นเคยกับการตื่นมาทำงานที่ร้านอาหารชุนเซียงทุกวัน พรุ่งนี้ก็เริ่มการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ขณะเดียวกัน เขาก็ขอบคุณหยางต้าฉุยในใจ บทเรียนวันนี้ดูแล้วไร้แก่นสาร แต่กลับสำคัญมาก นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้จับตะหลิวผัดอาหารจริงๆ
ขณะกำลังเดินอยู่ ฝีเท้าของซ่งจื่อเซวียนก็ช้าลง ที่ที่ห่างจากหน้าปากซอยเจ็ดร้อยแปดร้อยเมตรมีเงาดำสามคนอยู่ที่นั่น สองคนในนั้นกำลังพิงกำแพง ไฟบุหรี่ในมือเดี๋ยวดับเดี๋ยวสว่าง และอีกคนนั่งยองๆ ในมือก็คีบบุหรี่ไว้เช่นกัน ดูเหมือนชายหนุ่มที่นิสัยไม่ดีอยู่เล็กน้อย
ปกติซ่งจื่อเซวียนนับว่าเป็นเด็กที่ซื่อตรง เจอกับอันธพาลอย่างนี้ก็เดินหลบเลี่ยงตลอด แต่ทางกลับบ้านมีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เขาทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาเดินไป ตอนที่ใกล้จะถึง ฝีเท้าของเขาก็ก้าวเร็วขึ้นเล็กน้อย และหวังว่าจะเดินผ่านคนพวกนี้เร็วๆ
แต่ตอนที่กำลังจะเดินผ่านไป จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ดีดบุหรี่ในมือมาที่กลางหน้าอกของซ่งจื่อเซวียนพอดี ถึงแม้ว่าจะไม่โดนลวก แต่ก็เป็นสัญญาณอย่างชัดเจนว่าคนพวกนี้ต้องการหาเรื่อง!
ซ่งจื่อเซวียนหยุด มองไปทางคนที่ดีดบุหรี่มา แต่สายตาของคนคนนั้นก็มองมาที่เขาพอดีเช่นกัน นี่ไม่ผิดแล้ว เป้าหมายของพวกเขาก็คือตนเองอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“ซ่งจื่อเซวียน?” คนที่นั่งยองๆ คนนั้นเปิดปากพูด ลุกขึ้นมาช้าๆ ทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน
“ใช่” ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนมองคนคนนั้น ถึงแม้ว่าใจไม่สู้อยู่บ้าง แต่บนหน้ากลับไม่มีวี่แววหวาดกลัวแต่อย่างใด
“เหอะๆ ยังใจกล้าดีจริงๆ” คนคนนั้นแค่นหัวเราะ เดินเข้ามาใกล้ซ่งจื่อเซวียน “แต่…วันนี้ฉันจะสอนนาย ทำตัวให้ซื่อสัตย์หน่อย สิ่งที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด!”
ซ่งจื่อเซวียนมองหน้าคนคนนั้น พูดอย่างเย็นชา “นายเป็นคนของหลี่เจียหาว?”
เพราะไม่มีคำอธิบายอื่นอีกแล้ว ปกติซ่งจื่อเซวียนจะอยู่แค่ที่ร้านอาหารหรือไม่ก็บ้านของตาเฒ่าฟางเท่านั้น ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ถ้าพูดว่ามี นั่นก็คือหลี่เจียหาวแล้ว
“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ซะหน่อย แต่มีคนไหว้วานมา ฉันก็ต้องจัดการ” คนคนนั้นพูด
“พวกนายสามคนฉันคนเดียว เหอะๆ ลูกผู้ชายจริงๆ แต่ที่นี่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจ พวกนายไม่กลัวว่าฉันจะตะโกนเรียกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเย็น
“ตะโกน? ข้าก็จะซัดฟันแกให้ร่วงก่อนไง!”
พูดแล้ว ชายคนนั้นก็เหวี่ยงหมัดตรงมาที่ปากของซ่งจื่อเซวียน แต่หมัดเพิ่งจะวาดมา ก็ได้ยินน้องชายข้างๆ กดเสียงต่ำพูด “พี่เลี่ยง มีคน!”
ได้ยินดังนั้น หมัดของผู้ชายที่ชื่อพี่เลี่ยงก็หยุดลง หันหน้ากลับไปดู ก็มีคนเดินเข้ามาในซอยจริงๆ
คนคนนั้นดูแล้วอายุยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อกันลมและมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ เนื่องจากแสงสว่างไม่มาก จึงมองหน้าไม่ชัด
“จะผ่านไม่ผ่าน? จะผ่านก็รีบไปให้ไวหน่อย!” น้องชายคนนั้นเร่งประโยคหนึ่ง อันธพาลวัยรุ่นก็เป็นแบบนี้ ต่อให้เป็นคนบนถนน เขาก็ต้องคำรามขึ้นมาสักประโยค ให้ดูคุยโวเล็กน้อย
คนบนถนนหยุดเท้าลงเล็กน้อย มองน้องชายคนนั้นแวบหนึ่ง เดินต่อไปทันที
“มองอะไรวะ ไม่เคยถูกกระทืบหรือไง” น้องชายคนนั้นไม่ลืมยกหมัดขึ้นจ้องตาพลางตะโกนพูด
เห็นคนบนถนนเดินผ่านไป พี่เลี่ยงก็คว้าคอเสื้อซ่งจื่อเซวียนยกขึ้นอีกครั้ง “เมื่อกี้อยากตะโกนเรียกตำรวจนักใช่ปะ ฉันจะให้นายเรียก!”
เพิ่งจะสิ้นเสียง หมัดก็ง้างขึ้นมาแล้ว ถึงซ่งจื่อเซวียนมีใจต่อต้าน แต่ปกติก็ไม่เคยทะเลาะวิวาท ต่อให้มี มากสุดก็ตอนที่ไหลไปตามคนอื่นด้วยตอนเด็กๆ เท่านั้น ไม่เคยลงมือมาก่อน เห็นหมัดของอีกฝ่ายชกมา แทบจะไม่ทันได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน ก็เห็นหมัดที่มาทางหน้าตัวเองใกล้ๆ
พึ่บ…
ไม่เพียงแค่ซ่งจื่อเซวียนที่มึนงง อันธพาลตรงหน้าก็งง…
วินาทีต่อมา พี่เลี่ยงก็นั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรง มองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตกตะลึง เหมือนยังไม่ได้สติกลับมา แต่เม็ดเหงื่อกลับเต็มหน้าผากไปหมด ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ อากาศไม่มีทางร้อนได้
และคนที่ยืนอยู่หน้าเขา ก็เป็นชายสวมเสื้อกันลมที่เพิ่งจะเดินผ่านไปคนนั้น
“นาย…นายเป็นใคร” พี่เลี่ยงถามตะกุกตะกักเล็กน้อย
ชายคนนั้นเหลือบมองพี่เลี่ยงแวบหนึ่ง และมองน้องชายอีกสองคนอีกแวบหนึ่ง น้องชายพวกนั้นถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา มากสุดพวกเขาก็เป็นแค่อันธพาลเด็กน้อย แต่ทักษะของชายเสื้อกันลมคนนี้เมื่อครู่เหมือนคนที่มีวิทยายุทธ์สูงส่ง พริบตาเดียวก็ซัดพี่เลี่ยงหัวทิ่มแล้ว
“นายไม่เป็นไรใช่ไหม” ชายเสื้อกันลมหันมามองซ่งจื่อเซวียน น้ำเสียงมั่นคงและทุ้มมาก
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างมึนงงเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ ยังต่อยไม่โดน”
“อืม ไปกันเถอะ” พูดจบชายเสื้อกันลมก็หันหลังเดินไป ความหมายชัดเจนมากว่าให้ซ่งจื่อเซวียนตามเขาไป
และแน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนเดินตามเขาไป ไม่อย่างนั้นอันธพาลเด็กน้อยพวกนั้นลงมืออีกแน่
“อย่าเพิ่งไป นาย…”
ไม่รอให้พี่เลี่ยงพูดจบ ชายเสื้อกันลมหันหน้าไปอย่างดุดัน แม้แสงจะสลัว แต่ด้วยแสงจันทร์ก็ยังสามารถเห็นแววตาเย็นเยียบนั่นได้
“พวกนายอย่าขยับจะดีกว่า ภายในสิบนาที ใครขยับฉันจะจัดการคนนั้น!” สิ้นประโยคนี้ เขาก็เดินไปด้านหน้าต่อ
ตอนที่เดินผ่านคนพวกนั้น แทบไม่มีใครกล้าส่งเสียง พูดให้ถูกต้องก็คือ แม้แต่ขยับก็ไม่กล้า กลัวว่าจะถูกลูกพี่ท่านนี้จัดการ
จนกระทั่งออกมาส่งถึงหน้าปากซอย ชายเสื้อกันลมก็พูดว่า “โอเคแล้ว พวกเขาน่าจะไม่ไล่ตามมาแล้วแหละ”
พูดจบ ชายเสื้อกันลมก็จะจากไป ซ่งจื่อเซวียนอดพูดไม่ได้ “พี่ใหญ่ ทำไมพี่ถึงช่วยผมล่ะ”
ชายเสื้อกันลมหันหน้ามามองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ซ่งจื่อเซวียนถึงได้มองเห็นใบหน้านี้ชัดเจน ใบหน้านี้เหมือนแกะสลักออกมา คิ้วกระบี่ตาคม หน้าตาหล่อเหลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีบุคลิกองอาจผึ่งผายเข้มข้นด้วย
“นายอย่าเรียกฉันว่าพี่ใหญ่เลย ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอก” พูดพลาง เขาก็อดมองไปที่ช่วงเอวของซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่งไม่ได้ สายตาดูมั่นใจเล็กน้อยก่อนจะหันหลังจากไป
ซ่งจื่อเซวียนยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับสายตาขอบคุณ มองส่งจนกระทั่งเงาของชายเสื้อกันลมหายไปถึงได้หันหลังเดินกลับบ้าน
แต่พวกเขาล้วนไม่รู้เลยว่า ตอนนี้คนพวกนั้นในตรอกยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กลัวว่าลูกพี่เสื้อกันลมท่านนั้นจะกลับมาจัดการพวกเขา…
“พี่เลี่ยง ขยับได้หรือยังอ่ะ”
“ขยับหาน้องสาวแกสิ แกหาที่ตายหรือไง! อยู่นิ่งๆ ซะ ถึงข้าจะเหนื่อย พวกแกก็อย่าคิดว่าจะผ่านไปได้…”
……
กลับมาถึงบ้าน แม่ก็อุ่นกับข้าวแล้ว ซ่งจื่อเซวียนกินอย่างตะกละตะกลามไปหลายคำ แล้วไปอาบน้ำพักผ่อน ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารใหม่วันถัดไป เขาก็หวังว่าสภาพจิตใจจะเต็มเปี่ยมสักหน่อย
แต่นอนอยู่บนเตียงก็ยังนอนหลับไม่ลง ตกลงว่าคนที่ปรากฏตัวคืนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมเขาต้องช่วยตนเองไว้ด้วย…
เรื่องเหล่านี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวสมอง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ถึงหลับลงได้
เช้าตรู่วันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนกินข้าวแต่เช้าแล้วจะออกจากบ้านเร็วหน่อย อย่างไรวันนี้ก็เป็นการทำงานวันแรก ยังต้องพยายามไปให้เช้าหน่อย ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาไม่มีรถ ทำได้แค่เดินเท้าไปไกลมากเพื่อไปขึ้นรถเมล์อีกสองสามคัน
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่ บางทีเขาอาจไม่คุ้นเคยกับการใส่สูทหลายหมื่นไปทำงานในครัว
ลงจากรถแล้วเดินเท้าต่อไม่กี่นาที ซ่งจื่อเซวียนก็ถึงที่หมาย ร้านอาหารสองชั้นด้านหน้า จอแอลอีดีด้านบนประตูฉายตัวอักษรตัวใหญ่ว่าภัตตาคารต้าสือไต้
เห็นที่ที่ตัวเองได้ทำงาน ซ่งจื่อเซวียนในใจตื่นเต้นเกินบรรยาย ต้องรู้ว่า ขนาดของร้านอาหารชุนเซียงเกรงว่าจะเทียบกับหนึ่งในสิบส่วนของชั้นหนึ่งที่ต้าสือไต้ไม่ได้ด้วยซ้ำ…
ตอนเดินเข้าไปในร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นว่ามีคนมาถึงแล้ว พนักงานต้อนรับกำลังจัดการเก็บเงินสดใส่ในกล่องแคชเชียร์ พนักงานบางคนกำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้ เปิดทำการวันแรก การตระเตรียมแบบนี้ก็จำเป็นไม่น้อย
“คุณผู้ชายคะ ร้านของพวกเรายังไม่เปิด คุณต้องรออีกสักครู่นะคะ” เด็กสาวที่เป็นพนักงานต้อนรับรูปร่างหน้าตาสะสวยมาก หน้าม้าที่หน้าผากยิ่งทำให้ดูใสซื่อขึ้นหลายส่วน
“แหะๆ ฉันมาทำงาน ฉันชื่อว่าซ่งจื่อเซวียน”
“อ้อ จริงเหรอ แหะๆ ขอโทษด้วยจริงๆ ฉันนึกว่านายเป็นลูกค้าเสียอีก” เด็กสาวยิ้มบาง “ฉันชื่อหลัวลี่ลี่ หลังจากนี้ต้องขอฝากตัวด้วยนะ”
“เช่นกันๆ ถ้างั้นฉันไปในครัวก่อนนะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าไปในห้องครัว เห็นห้องครัวขนาดมากกว่าร้อยตารางเมตร เขาก็มองอย่างอึ้งๆ ก่อนหน้านี้ทั้งชีวิตนี้ของเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะยังมีห้องครัวที่ใหญ่ขนาดนี้อยู่…
ไม่เพียงขนาดที่ใหญ่โต พื้นก็ถูกขัดจนมันวาว โต๊ะครัวและเครื่องครัวทั้งหมดล้วนใหม่เอี่ยมอ่อง สะท้อนแสงสีเงินทำให้คนที่ได้เห็นตื่นเต้น
“นายเป็นใคร ใครให้นายเดินเข้ามาด้านหลังครัวได้ตามใจแบบนี้”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะก้าวเท้า ก็ถูกเสียงหนึ่งหยุดไว้
คนที่พูดสวมชุดเชฟสีขาว อายุประมาณสามสิบปี คิ้วหนาเตอะ มีขนคิ้วบางส่วนกระดกขึ้นอยู่บ้าง ทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ผมมาทำงานครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ทำงาน?” เชฟคนนั้นมองพินิจซ่งจื่อเซวียนตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง “ไม่เคยเห็นนายมาก่อนเลย”
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าคนที่หลินเทียนหนานรับสมัครมาทำงานภัตตาคารต้าสือไต้ นอกจากซ่งจื่อเซวียนแล้วทั้งหมดล้วนมาเป็นทีม อย่างเช่นทีมเชฟครัวด้านหลังทั้งทีมมาจากร้านอาหารร้านหนึ่ง และพนักงานก็เป็นพนักงานดั้งเดิมของอีกร้านหนึ่ง
นี่ตรงกับนิสัยในการทำงานของหลินเทียนหนาน เขาไม่มีทางเข้ามาจัดการธุรกิจที่ไม่แน่นอน ขอแค่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญ ก็จะรองรับได้ว่าการลงทุนไม่สูญเปล่า
อย่างไรสำหรับคนอย่างหลินเทียนหนาน ความล้มเหลวในการลงทุนไม่เพียงแค่เรื่องเงินทองเท่านั้น ยังมีผลอย่างหนักต่อชื่อเสียงอีกด้วย ดังนั้นชื่อเถ้าแก่ของภัตตาคารนี้ก็ไม่ใช่ชื่อของเขา
ส่วนซ่งจื่อเซวียน เป็นของวิเศษสำหรับชัยชนะที่แน่นอนของเขา แต่ไม่มีทางเป็นแก่นราก
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “ไม่เคยเจอ? เหอะๆ พวกเราก็เพิ่งมาทำงานใหม่กันหมด ไม่เคยเจอก็แน่นอนอยู่แล้ว”
เชฟขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเขา “คนใหม่เหรอ เหอะๆ น่าสนใจ…”
พูดจบ เชฟก็หันหลังเดินจากไปทำงาน ซ่งจื่อเซวียนกลับหมดคำพูด ถึงอย่างไรมาที่ห้องครัวใหม่ ไม่รู้ว่าคนเขาจัดการอะไรกันยังไง เขาหาที่ที่ไม่มีคนพักพิง รอคนมาจัดการวางแผน
ไม่นานนัก เหล่าเชฟก็เดินกรูกันเข้ามา นับๆ แล้วมีแปดเก้าคน แต่พวกเขาเจอหน้ากันก็ทักทาย บ้างก็พูดคุยหยอกล้อ ดูเหมือนจะรู้จักกันอยู่แล้ว
นี่กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนแปลกใจ ภัตตาคารใหม่ ทำไมพวกเขาถึงเหมือนกับเป็นเพื่อนร่วมงานเก่ากันอย่างไรอย่างนั้นล่ะ
ขณะครุ่นคิด เสียงหนึ่งก็ดังมา “ทำอะไรของนายน่ะ ทำงานสิ!”
……………………………………….