เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 2 ฝึกกำลังภายในลมหายใจเดียว
ตอนที่ 2 ฝึกกำลังภายในลมหายใจเดียว
ซ่งจื่อเซวียนก็คิดว่ามีบางอย่างมาดลใจ ตนเองพูดประโยคนั้นออกไปได้อย่างไร ถ้าเป็นเวลาปกติ แม้แต่เครื่องครัวของจางขุยก็ไม่กล้าเข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้…อดใจไม่ไหวอยากทำข้าวผัดไข่จริงๆ
“ได้สิ กินแก้หิวได้ก็พอ ลำบากน้องชายแล้ว” ชายวัยกลางคนพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบ เห็นได้ชัดว่าหิวแล้ว มีอาหารตกถึงท้องก็เพียงพอ
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าไปหลังครัว ในใจเขารู้ดีว่าเป็นเพราะเขาอ่านหนังสือสูตรอาหารนั่น เขาถึงได้บุ่มบ่ามอยากทำข้าวผัดไข่ขนาดนี้
เปิดเตา ตั้งกระทะใส่น้ำมันรอร้อน ผัดไข่ ผัดข้าว ทุกขั้นตอนธรรมดามาก ถึงอย่างไรก็เป็นอาหารที่หากินได้ทั่วไปอยู่แล้ว
แต่ในขณะที่กำลังผัดไปมา ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักค้างไปทั้งตัว จู่ๆ ในหัวสมองก็ปรากฏเนื้อหาของหนังสือสูตรอาหารที่อ่านก่อนหน้านี้
ในสูตรอาหาร วิธีการทำและการปรับลมหายใจตัดสลับกันไปมา ซ้ายเป็นวิธีทำ ขวาเป็นการปรับลมหายใจ ด้วยเหตุนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงคิดว่าหนังสือสูตรอาหารเล่มนี้เข้าเล่มมาผิด
ตอนนี้เอง ราวกับตัวอักษรทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นภาพ แท้จริงและลึกซึ้งอย่างมาก แต่จุดที่สำคัญที่สุดคือ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าตนเองถูกภาพเหล่านี้กระตุ้นอย่างควบคุมไม่ได้เสียแล้ว
ดวงตาสองข้างจดจ่ออยู่กับเปลวไฟ จากนั้นก็มองกระทะ และใส่วัตถุดิบลงไป ในสายตาของเขา ราวกับข้าวสวยและไข่ไก่ธรรมดาตรงหน้านั้นไม่ธรรมดาอีกต่อไป กลายเป็นอาหารที่ทำให้เกิดความรู้สึกเทิดทูนขึ้นมา
เนื้อหาทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นภาพฉายวาบอยู่ในสมองไม่หยุด ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกทำงานเกินขีดจำกัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้ว เนื้อหาเหล่านั้นกำลังครอบครองจิตสำนึกของตนเองทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
เวลานี้ กลิ่นข้าวผัดหอมตลบอบอวลไปทั้งครัว กระทั่งกลบกลิ่นคราบน้ำมันที่ฝังลึกมานานในห้องครัวไปด้วย ขณะเดียวกันนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมา รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ตักข้าวผัดใส่จาน
เขาหยิบผ้าขนหนูข้างๆ มาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ถึงได้รู้สึกว่าเสื้อของตัวเองเปียกชุ่มไปหมดแล้ว เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าแค่ข้าวผัดไข่จานเดียวทำไมถึงทำให้ตนเองโทรมได้ขนาดนี้…
ยืนนิ่งอยู่หน้าเตาครู่หนึ่ง เขาถึงยกจานออกไป
เห็นซ่งจื่อเซวียนถือจานข้าวผัดอยู่ สีหน้าชายวัยกลางคนเผยสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง พูดว่า “น้องชาย ทำไมข้าวผัดของนายถึงได้หอมขนาดนี้ ฉันได้กลิ่นตอนที่นายผัดเมื่อกี้”
“แหะๆ อาจจะเพราะคุณหิวมากล่ะมั้งครับ” ซ่งจื่อเซวียนตอบกลับอย่างมีมารยาท แต่จุดนี้เขาก็แปลกใจเช่นกัน เมื่อครู่ตอนที่ผัดข้าวเขาก็ได้กลิ่น พูดถึงทักษะการทำอาหาร เขาไม่มีทางเทียบจางขุยติดอย่างแน่นอน แต่กลิ่นหอมของข้าวผัดเมื่อครู่ กลับหอมกว่าจานอาหารคาวที่จางขุยเคยทำทั้งหมด
ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรอีก หยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวใส่ปากคำหนึ่ง ตอนที่อาหารเข้าไปในปาก ชายวัยกลางคนก็แทบจะนิ่งค้างไปแล้ว เม็ดข้าวอวบอิ่มและไข่หอมหวนทั้งหมดกระตุ้นต่อมรับรสของเขาอย่างรุนแรง ราวกับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจ้องมองจานข้าวผัดตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ หันไปมองซ่งจื่อเซวียนทันที
“นี่…นายเป็นคนผัดเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งค้าง “เอ๋ หรือว่า…ไม่อร่อยเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง อย่างไรเขาทำอาหารให้ลูกค้ากินในร้านโดยพลการ แบบนี้อาจทำให้ร้านอาหารชุนเซียงเสียชื่อได้
“ไม่ใช่” ชายวัยกลางคนมองซ่งจื่อเซวียนอย่างตกตะลึง “รสชาติแบบนี้…น่าจะมีแค่บนสวรรค์ที่เดียวสิ…”
พูดจบ ก็เริ่มตักคำใหญ่ๆ เข้าปากทีละคำ ไม่นานก็หมดจานแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนมองอึ้งๆ ชายสุภาพเรียบร้อยคนนี้ พอได้กินข้าวก็ตะกละมูมมามเสียอย่างนั้น แน่นอนว่าเขาไม่มีทางคิดว่าเป็นเพราะข้าวที่ตนเองผัดอร่อยเกินไป
“น้องชาย นายทำงานนี้มานานเท่าไรแล้ว” ชายวัยกลางคนวางช้อนในมือ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความพึงใจและความสุข
“หืม ผมเหรอ ทำมาปีกว่าแล้วครับ”
“เหอะๆ อายุเท่านี้มีรสมือแบบนี้ได้นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ร้านให้ค่าจ้างนายเท่าไรล่ะ” ชายวัยกลางคนถาม
ซ่งจื่อเซวียนเก็บจาน ตอบไปว่า “แปดร้อยหยวนครับ”
“อะไรนะ พ่อครัวคนนึงได้ค่าจ้างแปดร้อยหยวนเหรอ” ชายวัยกลางคนไม่เชื่อหูของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญที่สุดคือ…นี่เป็นพ่อครัวมีฝีมือที่ทำให้คนที่ได้ลิ้มรสตกตะลึงเลยนะ
“พ่อครัวอะไรกันครับ ฮ่าๆ ผมก็แค่เป็นเด็กในครัว คุณนั่งเถอะ ผมไปล้างจานแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วก็เดินไปครัวด้านหลัง ชายวัยกลางคนกลับมีสีหน้าแปลกใจ พูดเสียงแผ่วว่า “ฝีมือแบบนี้ทำงานเบ็ดเตล็ดในครัวเหรอ ฉัน หลินเทียนหนานไม่กล้าพูดหรอกนะว่าได้ตระเวนชิมตั้งแต่เหนือจรดใต้แม่น้ำแยงซีเกียง เคยได้ชิมอาหารเลิศรสมาทุกประเภท ก็ยังไม่เคยได้ชิมอาหารรสชาติยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยจริงๆ…”
พูดจบ เขาก็จุดบุหรี่มวนหนึ่ง สูบเข้าปอดลึกๆ ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
หลินเทียนหนานทำงานอสังหาริมทรัพย์มาสิบกว่าปี แต่เขาก็รับรู้มานานแล้วว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีนแผ่นดินใหญ่ใกล้จะถึงจุดอิ่มตัว และกิจการที่เทียบผลกำไรกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ก็คือธุรกิจอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่างอาชีพก็ต่างความรู้ความเข้าใจ คิดจะเติบโตในธุรกิจด้านอื่นแบบปุบปับเป็นเรื่องง่ายอย่างนั้นหรือ
ตอนที่เขาเสนอความคิดนี้ขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า คิดจะเติบโตอย่างรวดเร็วในธุรกิจวงการอาหารและประสบสำเร็จเทียบเท่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเคยทำได้ ก็ต้องนำเสนออาหารรสเลิศที่น่าอัศจรรย์ และระดับความน่าอัศจรรย์จะน้อยไปสักส่วนก็ไม่ได้
จากนั้นหลินเทียนหนานก็ถามเพิ่มว่าต้องทำอย่างไรถึงจะน่าอัศจรรย์ รุ่นพี่คนนั้นพูดว่ามีกรณีศึกษาเช่นนี้แค่อย่างเดียวเท่านั้น พ่อครัวคนหนึ่งในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่เหนือจรดใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงด้วยข้าวผัดอย่างเดียว ทำให้คนที่เคยกินหยุดกินไม่ได้ กระทั่งไม่คิดถึงอาหารรสเลิศอย่างอื่นอีก พ่อครัวบอกเพียงว่าสูตรนี้เป็นสูตรที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ปู่ของเขาเคยทำข้าวผัดแบบนี้ถวายจักรพรรดิตอนทำงานที่ห้องเครื่องในวัง จึงตั้งชื่อว่าข้าวผัดจักรพรรดิ!
แต่ข้าวผัดจักรพรรดิก็วางขายแค่ครึ่งปีเท่านั้น พ่อครัวคนนั้นอาจได้เงินเป็นกอบเป็นกำ หรืออาจถูกเพื่อนร่วมอาชีพเบียดเบียน หลังจากนั้นจึงไม่มีข้าวผัดจักรพรรดิอีกเลย
คิดถึงตรงนี้ หลินเทียนหนานกระทั่งเชื่อมโยงข้าวผัดที่กินไปเมื่อครู่กับข้าวผัดจักรพรรดิไว้ด้วยกัน ถึงแม้จะไม่เคยชิมข้าวผัดจักรพรรดิมาก่อน แต่รสชาตินี้ก็ไร้ที่ติแล้ว หรือว่า…นี่จะเป็นโอกาสจริงๆ
ไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกมา หลินเทียนหนานเอ่ย “น้องชาย คิดเงินหน่อย” เขาพูดพลางคลำหากระเป๋าสตางค์ แต่จู่ๆ ก็เผยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ซ่งจื่อเซวียนดูออกว่าเขาไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์มาแน่นอน เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ช่างเถอะ แค่ข้าวผัดจานเดียว ไว้คราวหน้าก็ได้ครับ”
ประโยคนี้ทำให้หลินเทียนอบอุ่นในหัวใจ ได้ฟังคำพูดที่เรียบง่ายและเห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มของซ่งจื่อเซวียน เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ได้ มื้อนี้ถือว่านายเลี้ยงฉันแล้วกัน แต่นายวางใจได้ ฉันต้องมาอีกแน่นอน”
“โอเคครับ”
“จริงสิ ยังไม่รู้ชื่อแซ่ของน้องชายเลย?”
“ผมชื่อซ่งจื่อเซวียนครับ!” ซ่งจื่อเซวียนชะงักไปเล็กน้อย ถึงอย่างไรตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยมีใครให้เกียรติเขาถึงขนาดนี้…
“อืม เป็นชื่อที่ดี” พูดจบ หลินเทียนหนานก็หันหลังเดินออกไปจากร้าน
มองหลินเทียนหนานจากไป ซ่งจื่อเซวียนคาดว่าจางขุยคงไม่กลับมาแล้ว หลังจากปิดร้านเสร็จตนถึงกลับบ้าน
ซ่งจื่อเซวียนโตมากับแม่ตั้งแต่เด็ก ในครอบครัวยังมีพี่สาวอีกคน แต่พี่สาวทำงานที่อื่น จึงไม่ค่อยกลับมา
ตั้งแต่เล็กๆ เขาได้ยินพี่สาวพูดว่าพ่อไม่ต้องการพวกเขาแล้วและก็ได้ยินแม่พูดว่า พ่อเป็นผู้ชายอบอุ่น ทั้งยังมีความรับผิดชอบมาก ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงอย่างไร…เขาก็ไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว
กลับถึงบ้าน กินอาหารง่ายๆ ไม่กี่คำ ซ่งจื่อเซวียนก็นอนลง แต่นอนบนเตียงชั่วโมงกว่าแล้วก็ยังนอนไม่หลับ
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นฉายซ้ำในสมองเขาอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเจอเรื่องมหัศจรรย์ขนาดนี้มาก่อน หนังสือสูตรอาหารที่มีคราบสีเหลือง เมนูข้าวผัดไข่ธรรมดาไม่มีอะไรแปลกประหลาด กลับทำให้เขาเอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง…
เขาเหลือบมองนาฬิกา ถึงแม้ว่าใกล้จะห้าทุ่มแล้ว แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ตัดสินใจจะลองไปอ่านหนังสือสูตรอาหารเล่มนั้นที่บ้านตาเฒ่าฟางอีกรอบ ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่
ซื้อสุราสิบห้าหยวนมาขวดหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนตรงไปที่ลานบ้านเล็กๆ ของฟางจิ่งจือ ลานบ้านไม่ได้กว้างขวาง ปกติก็เป็นซ่งจื่อเซวียนที่ปัดกวาดจนสะอาดเอี่ยมอ่อง
ทันที่ที่เข้าไปในลานบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็เผยยิ้มร้ายกาจ เปิดฝาขวดสุรา เดินช้าๆ ตรงไปทางห้องที่มีเสียงกรน
ไม่นานนัก ในห้องก็มีเสียงกรนของฟางจิ่งจือลอดออกมา
“อืม…หลานชาย สิบห้าหยวนสินะ เด็กดี!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะออกมา เดินเข้าประตูห้องไป “ฮ่าๆ ปู่ คารวะจมูกสุนัขของปู่เลย ของจริง”
“เหลวไหล ไอ้หนูวางเหล้าลงแล้วไสหัวไปซะ!” ฟางจิ่งจือร้องด่า
“เอ๋ จะมีเรื่องดีอย่างนั้นได้ไง เราตกลงกันแล้วนี่ ผมให้เหล้าปู่ ปู่ก็ให้ผมอ่านสูตรอาหาร”
ฟางจิ่งจือได้ฟังก็เงียบไปแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาทันที “เหอะๆ พรวดพราดมาที่นี่เพราะสูตรอาหารเล่มนั้น ไม่ได้ตั้งใจมาหาปู่เรอะ”
ฟางจิ่งจือย่อมจงใจพูดไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรตอนที่เขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนมีพรสวรรค์ในการอ่านสูตรอาหารเข้าใจได้ ก็มั่นใจว่าคืนนี้เจ้าเด็กนี่จะต้องมาแน่
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม เดินมาที่เตียง วางสุราไว้บนโต๊ะ พูดว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ผมก็มาหาปู่นี่แหละ แต่ก็ถือโอกาสมาส่องๆ สูตรอาหารนั่นด้วยไง”
“จิตใจดีเสียเหลือเกิน ไอ้เด็กเวร แกคิดจะหลอกปู่แกเรอะ คราวหน้าเอาถั่วลิสงมาสักหน่อยด้วยนะ เข้าใจรึยัง”
“ก็ได้ ผมจะเอาไก่ย่างมาให้ปู่ตัวนึงเลย”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบหนังสือสูตรอาหารในตู้ออกมาอ่าน เขาไม่ได้รีบพลิกไปอ่านเนื้อหาหลังๆ แต่กลับไปอ่านเนื้อหาที่อ่านเมื่อตอนเย็นอีกรอบ ถึงอย่างไรข้าวผัดไข่ของวันนี้ก็ทำให้เขาแปลกใจมาก
โดยเฉพาะตอนที่อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการกำหนดลมหายใจ เขาผงกหัวเงียบๆ กับตัวเอง ใช่จริงด้วย นี่เป็นเป็นเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนที่กำลังผัดข้าว
“ปู่ การกำหนดลมหายใจนี่…เป็นส่วนหนึ่งในสูตรอาหารจริงเหรอ”
ฟางจิ่งจือเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “กำหนดลมหายใจอะไร…นั่นมันการบ่มเพาะกำลังภายในสำหรับทำอาหารต่างหากเล่า”
“กำลังภายใน? ล้อเล่นอะไรเนี่ยปู่ นิยายแนวจอมยุทธ์หรือไง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“แกนี่มันไม่เปิดหูเปิดตาเลย กำลังภายในก็เป็นแค่นิยายแนวจอมยุทธ์งั้นรึ พ่อครัวน่ะนะ ถ้าพึ่งพาแค่วัตถุดิบจะทำอาหารได้ยังไง วัตถุดิบแบบเดียวกัน แต่ทำไมพ่อครัวสองคนถึงทำอาหารรสชาติต่างกันเล่า เพราะเครื่องปรุงรสรึ เพราะระดับความร้อนรึไง” ฟางจิ่งจือพูดพลางส่ายศีรษะช้าๆ
“เป็นเพราะ…กำลังภายในเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนมีท่าทางไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรนี่ก็ต่างจากความรู้ความเข้าใจของเขาก่อนหน้านี้อยู่มาก
“ความจริงแล้วกำลังภายในก็คือลมหายใจและกำลัง เมื่อมีลมปราณ ก็จะมีกำลัง ไม่ว่าวัตถุดิบหรือส่วนผสมจะเป็นอะไร ไม่มีพลังนี้ สุดท้ายก็จะเป็นอาหารทั่วไป นี่ถึงจะเป็นฝึกกำลังภายในลมหายใจเดียว” ฟางจิ่งจือพูดพลางดื่มสุราอึกหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนกลับนิ่งเงียบไปนาน ในสมองนึกย้อนถึงคำพูดของชายชราและเนื้อหาในสูตรอาหาร ที่แท้ ตอนที่เขาผัดข้าววันนี้ก็มีพลังแปลกๆ อยู่นี่เอง แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังควบคุมพลังนั่นไม่ได้ เหงื่อถึงได้ชุ่มโชกไปทั้งตัว
หลังจากนั้น เขากลับไปอ่านเนื้อหาเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็พบว่ามีความความรู้ความเข้าใจใหม่เพิ่มขึ้นมา เนื้อหาเหล่านี้เหมือนกลายเป็นภาพจริงๆ ฉายวาบผ่านตาซ้ำแล้วซ้ำอีก ภาพในความทรงจำก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น
เห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจของซ่งจื่อเซวียน ฟางจิ่งจือก็ไม่ได้รบกวนเขาอีก และยังเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาอีกด้วย เขาใช้เสียงที่แทบจะมีเพียงตนเองที่ได้ยินพูดกับตัวเองว่า “เจ้าเด็กน้อยนี่ จะตระหนักได้หรือไม่…ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแกแล้ว”
ต้องรู้ด้วยว่าสูตรอาหารที่สืบต่อกันมาของตระกูลฟาง ไม่มีผู้ใดสามารถตระหนักได้ทั้งหมด กระทั่งสมัยก่อนตอนที่ฟางจิ่งจือตระหนักรู้เนื้อหาในสูตรอาหารได้จนเกือบจะทำให้รุ่นพ่อตื่นเต้น ก็ต้องน่าเสียดายที่พรสวรรค์ของเขาตระหนักรู้ได้แค่เนื้อหาส่วนหน้าเท่านั้น มองซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้ เขาก็คาดหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
พูดจบ ฟางจิ่งจือก็ทิ้งตัวพิงไปข้างๆ ส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมา ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็อ่านสูตรอาหารต่อไป
หากเป็นเวลาปกติ พอสี่ทุ่มกว่าเขาก็พักผ่อนแล้ว แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเหมือนได้ฉีดเลือดไก่[1]หรืออย่างไร ไม่มีแม้แต่ความง่วงงุน กำลังวังชาทั้งหมดจดจ่ออยู่กับสูตรอาหาร เขาอ่านเนื้อหาตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมา จนเกือบจะท่องออกมาได้ทั้งหมด
คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนอ่านจนถึงตีสองกว่า จนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ออกจากบ้านของตาเฒ่าฟาง กลับบ้านไปพักผ่อน ตอนตื่นขึ้นในวันถัดมา เขาก็เกือบจะลืมตาไม่ขึ้น…
แต่ทันทีที่เข้าไปในร้านอาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็พลันได้สติ เพราะจางขุยที่ใบหน้าโกรธเกรี้ยวเดินมุ่งหน้ามาผลักหน้าอกเขาเต็มแรง
“ไอ้คนไม่ได้เรื่อง เมื่อวานแกแตะต้องเครื่องครัวของฉันเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนตื่นเต็มตาทันที ใช่แล้ว เขาแตะต้องเครื่องครัวไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำข้าวผัดมหัศจรรย์อีก แต่อยู่ต่อหน้าจางขุย เขาก็ไม่ค่อยกล้าจะยอมรับจริงๆ ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็แข็งแรงมาก อีกทั้งแค่เปิดปากก็เอาแต่พ่นคำด่า จะลงมือตบตีคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่…
เมื่อเทียบกันแล้ว ซ่งจื่อเซวียนกลับตัวเล็กกว่ามาก เขายืนชะงักค้างอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “ผม…เมื่อคืน…”
ตอนนี้เอง ก็มีชายอวบอ้วนคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบเดินออกมาจากเคาน์เตอร์บาร์ เหนือริมฝีปากยังมีหนวดน้อยๆ สองแถบ เป็นหยางต้าฉุย เถ้าแก่ของร้านอาหารชุนเซียงนั่นเอง
หยางต้าฉุยหน้าดำคร่ำเคร่งมองไปทางซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “เจ้ารองเอ๊ย ทำงานให้ฉันที่นี่มาหนึ่งปีแล้ว ทำไมถึงไม่รักษากฎข้อนี้เล่า แกแตะต้องเครื่องครัวของเหล่าจางทำไมกัน”
เพราะละแวกบ้านต่างรู้กันว่าบ้านของซ่งจื่อเซวียนยังมีพี่สาวอยู่อีกหนึ่งคน ดังนั้นคนคุ้นเคยจึงเรียกเขาว่าเจ้ารองกันทั้งนั้น
“ผม…” ซ่งจื่อเซวียนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร จางขุยก็ไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นแตะต้องตะหลิวของเขา
“ฉันว่ามันเป็นพวกไม่มีใครสั่งสอนนั่นแหละ!” จางขุยพูดพลางยกมือขึ้นจะฟาด
ซ่งจื่อเซวียนยกมือขึ้นป้องทันทีตามสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันร่างกายก็ถอยหลังมาหนึ่งก้าว แต่ตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกว่ามีกำแพงที่แข็งมากอยู่ข้างหลัง
“ไม่ทราบว่า คุณซ่งอยู่ไหมครับ” เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจดังมาจากด้านหลัง
………………………………………………..
[1] ฉีดเลือดไก่ (打鸡血) เปรียบเปรยได้ว่าคึกคักผิดปกติ