เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 195 ฉันจะเอาชีวิตเขา!
ตอนที่ 195 ฉันจะเอาชีวิตเขา!
เห็นสีหน้าของเฮ่อเหว่ย นายท่านฉินลิ่วก็แปลกใจเล็กน้อย
ปกติเฮ่อเหว่ยเป็นคนจัดการเรื่องราวได้สุขุมรอบคอบ แต่ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีไปมาก แม้แต่ลมหายใจก็ถี่กระชั้น
เห็นเพียงหน้าผากของเขามีเหงื่อผุดออกมาในพริบตา สีหน้าร้อนรนพูดว่า “อะไรนะ ตอนนี้อยู่ไหน ได้ เดี๋ยวฉันไป”
เฮ่อเหว่ยวางสาย แล้วพูดด้วยสีหน้ากังวลว่า “นายท่านลิ่ว ขอโทษจริงๆ ครับ ผมต้องขอตัวก่อน”
“ได้ๆ นายไปทำธุระของนายเถอะ ต้องการอะไรติดต่อฉันได้นะ”
“ครับ ขอโทษจริงๆ ครับ!”
พูดจบ เฮ่อเหว่ยก็เดินออกไปจากห้องส่วนตัว
นายท่านฉินลิ่วนั่งอยู่ที่โต๊ะ อดแค่นหัวเราะไม่ได้ “เฮ่อเหว่ยนี่…จะทำอะไร นัดฉันมา คุยเสร็จก็ไปเลย…
แต่ก็ช่างเถอะ เฮ่อเหว่ยคนนี้ที่ปกติไม่แม้แต่จะแสดงความเห็นอะไรก็ยืนอยู่ข้างฉันแล้ว เหอะๆ…”
ขณะที่นายท่านฉินลิ่วส่ายหน้ายิ้มๆ ก็ยกแก้วสุราแล้วดื่ม ลุกขึ้นจากไปทันที
พวกเขาย่อมไม่เสียดายอาหารทั้งโต๊ะนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ที่คนประเภทนี้มาก็คือหาสถานที่หลีกเลี่ยงผู้คนเพื่อพูดคุยและหารือ ส่วนอาหาร…แค่ตั้งโชว์เท่านั้น
ออกจากเดรนท์ เฮ่อเหว่ยก็ตรงไปขึ้นรถ ให้คนขับรถไปที่โรงพยาบาลประชาชนประจำเมือง
เขาพูดพึมพำว่าอย่าเกิดเรื่องเด็ดขาดตลอดทาง แต่หลังจากสายเข้าสองสามสาย กลับทำให้เขาร้อนรนถึงขีดสุด
คนที่โทรมาก็คือลูกน้องของเฮ่อเหยียนข่าย เนื้อหาที่คุยย่อมเกี่ยวกับที่เฮ่อเหยียนข่ายบาดเจ็บสาหัสจนเข้าโรงพยาบาล ต้องผ่าตัดด่วน
รถยนต์แทบจะใช้ความเร็วหนึ่งร้อยยี่สิบไมล์ตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลประชาชน ตอนนี้ การฝ่าฝืนกฎหมายหรือจะถูกปรับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้นสำหรับเฮ่อเหว่ย
หลังจากเข้าไปในห้องผู้ป่วย เฮ่อเหว่ยก็เห็นเฮ่อเหยียนข่ายที่นอนอยู่บนเตียงทันที น้ำตาไหลออกมาฉับพลัน
ปกติเวลาเฮ่อเหว่ยจัดการอะไรนับว่าสงบนิ่งเยือกเย็น แต่ข้อเสียเดียวก็คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ ปกติเขาแทบจะไม่ปฏิเสธคำร้องขอของเฮ่อเหยียนข่ายเลย
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยปล่อยให้ลูกชายได้รับบาดเจ็บเลย ตอนนี้…เขารู้สึกว่าใจสลายไปหมด
“เสี่ยวข่าย” เฮ่อเหว่ยพูดเสียงสั่น
เฮ่อเหยียนข่ายลืมตาขึ้นน้อยๆ “พ่อ ผม…”
เฮ่อเหยียนข่ายพูดพลางร้องไห้ออกมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ หันหน้ามา “ผมหมดประโยชน์แล้ว”
เฮ่อเหว่ยชะงัก “อะไรนะ นายพูดว่าอะไร”
“ไอ้สุนัขนั่น ไอ้สารเลวนั่นทำผมหมดประโยชน์แล้ว!” เฮ่อเหยียนข่ายพูดทั้งน้ำตา
“ใคร”
เฮ่อเหยียนข่ายส่ายหน้าพูด “คนที่ชื่อว่าซ่งจื่อเซวียนไง ก็เพราะ…”
ถัดจากชื่อคนที่เฮ่อเหยียนข่ายพูด เฮ่อเหว่ยแทบจะไม่ได้ฟังต่อ พอได้ยินคำว่าซ่งจื่อเซวียน เขาก็รู้สึกถึงสายฟ้าฟาดลงมา
เป็นเขาเหรอ เป็นเขาจริงๆ เหรอ
ชื่อเหมือนแซ่เหมือนหรือเปล่า
“นายหมายถึง…ซ่งจื่อเซวียนไหน”
เฮ่อเหยียนข่ายส่ายหน้า “ผมไม่รู้พื้นเพของเขา แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยไปที่ตลาดเฉิงเป่ย พ่อ ผมเคยบอกพ่อแล้วนี่…”
งั้นก็ไม่ผิดแล้ว
เป็นเขาจริงๆ…
เฮ่อเหว่ยมั่นใจได้แล้ว ซ่งจื่อเซวียนที่เฮ่อเหยียนข่ายพูดถึง ก็คือเถ้าแก่ของบริษัทในตอนนี้!
ตอนนั้นเจิ้งอวี่ปกป้องซ่งจื่อเซวียนที่ตลาดเฉิงเป่ยขนาดนั้น เฮ่อเหว่ยก็รู้สึกว่าผิดปกติ
ครั้งนั้นเขาจึงเลือกไม่จัดการให้เฮ่อเหยียนข่าย ตอนนี้ดูท่าการตัดสินใจในครั้งนั้นจะถูกต้องแล้ว
แค่น่าเสียดาย…พิจารณาตัวบุคคลถูก แต่ไม่ได้พิจารณาถึงผลของวันนี้…
เห็นเฮ่อเหยียนข่ายหน้าซีดเซียว หัวใจของเฮ่อเหว่ยก็บีบรัด จู่ๆ เขาก็นึกถึงซ่งอวิ๋นฮั่นที่ป่วยกระเสาะกระแสะ
หึ ดูท่านั่นจะเป็นกรรมตามสนอง!
แต่เสี่ยวข่ายยังเด็กขนาดนี้…
“เสี่ยวข่าย นายวางใจ มีพ่ออยู่ เขาทำให้ตระกูลเฮ่อเราไม่มีความสุข ฉันก็จะเอาชีวิตเขา!”
พูดประโยคนี้ออกมา สองตาเฮ่อเหว่ยก็ถลึงออกมาจนแดงก่ำ กำสองหมัดแน่น
……
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบปลุกซางเทียนซั่วที่กำลังหลับฝันอยู่ แต่พาฟางรุ่ยไปที่บริษัทชิงอวี่
ดูใบรายงานรายได้ของตลาดแต่ละแห่งช่วงนี้ที่บริษัท สุดท้ายก็เอารายงานอื่นๆ วางไว้ด้านหนึ่ง แล้วหยิบใบรายงานทรัพย์สินของเขตเฉิงเป่ยออกมาใบเดียว
“อาเจิ้ง ตลาดเขตเฉิงเป่ย…เฮ่อเหว่ยเป็นคนดูแลใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับคุณซ่ง” นับตั้งแต่ซ่งอวิ๋นฮั่นประกาศออกไป จากที่เจิ้งอวี่เรียกจื่อเซวียนเฉยๆ ก็เปลี่ยนเป็นเรียกว่าคุณซ่งแทน
เพราะสำหรับเขาแล้ว เป็นการแสดงถึงความภักดี
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “รายรับและรายจ่ายของเขาหลายปีมานี้มั่นคงมาก แถมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย เฮ่อเหว่ยค่อนข้างทำได้ดีเลยนะเนี่ย”
“ใช่ครับ เทียบกับตลาดสองสามแห่งแล้ว ที่จริงเฮ่อเหว่ยถือว่าสุขุมรอบคอบ อีกทั้งมักจะมีแนวทางใหม่ๆ มาใช้ มีชีวิตชีวากว่าตลาดอื่นอีกสองแห่ง” เจิ้งอวี่พูด
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็หัวเราะน้อยๆ น่าเสียดาย เดาว่าจะใช้งานได้ไม่นานเท่าไร เฮ่อเหว่ยก็น่าจะแตกหักกับฉันแล้วมั้ง
ซ่งจื่อเซวียนรู้ดีอยู่แล้ว ตนเองจัดการลูกชายเขาจนหมดประโยชน์แล้วเขาจะยังนั่งดูเฉยๆ ไม่สนใจได้เหรอ
แต่เขาก็ไม่สนใจ นับตั้งแต่ตัดสินใจรับช่วงต่อบริษัทเป็นต้นมา เขาก็คิดมาดีแล้ว ชนชั้นที่เรียกว่าผู้บริหารพวกนี้ ต้องเปลี่ยนทั้งคณะ!
คนพวกนี้ในตอนแรกต่อสู้เพื่อคุณูปการเล็กๆ น้อยๆ ต่อมาก็หยิบยกเอามาเต๊ะท่าเย่อหยิ่งโอหัง
เหอะๆ ของพวกนี้อยู่ต่อหน้าซ่งอวิ๋นฮั่นถือว่าใช้ได้ แต่อยู่ต่อหน้าคนอย่างซ่งจื่อเซวียน…ฉันปล่อยไปไม่ได้หรอก!
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ดูข้อมูลอื่นๆ อีก ตอนที่เห็นป้ายบนกล่องแฟ้มสีน้ำเงิน เขาก็อดตกใจไม่ได้
บนป้ายเขียนว่าการแข่งขันยอดเชฟของเมืองตู้เหมิน
“นี่…การแข่งขันยอดเชฟเหรอครับอาเจิ้ง นี่คืออะไร”
“นี่เป็นโครงการหนึ่งที่นายท่านรองเป็นผู้จัดทำครับ ตอนนั้นคุณซ่งก็เคยอนุมัติไป” เจิ้งอวี่พูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “เหอะๆ บังเอิญจัง การแข่งขันนี่เริ่มหรือยังครับ”
“กำหนดการลงทะเบียนสิ้นสุดแล้วครับ เหมือนว่าตอนนี้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนรายละเอียดยังต้องพูดคุยกับนายท่านรอง”
“โอเคครับ วันนี้ไม่นับว่าผมมาทำงานอย่างเป็นทางการ ผมยังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ เอาอย่างนี้แล้วกันครับอาเจิ้ง หลังจากนี้ผมจะมาทำงานตอนบ่ายหรือไม่ก็ช่วงค่ำของทุกวัน ถึงตอนนั้นอาช่วยนัดเขาให้ผมหน่อยนะครับ”
เจิ้งอวี่พยักหน้าพูด “ได้ครับคุณซ่ง แต่ว่าหลังจากรับช่วงต่อบริษัทมา ผมยังหวังว่าคุณจะให้ความสำคัญกับงานทางนี้นะครับ ถึงยังไง…กำไรก็อยู่ตรงนั้น”
เจิ้งอวี่พลันนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่ต้องจัดการที่ออกจากปากของซ่งจื่อเซวียนหมายถึงร้านอาหาร แต่เทียบกำไรกันแล้ว รายได้ของร้านอาหารร่ำรวยไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลย
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ผมจัดการได้ครับ เชื่อเถอะว่าอีกไม่กี่วัน ผมจะมาทำงานตอนบ่ายทุกวันได้ อย่างนี้ก็โอเคแล้วใช่ไหมครับ”
“เหอะๆ เรื่องเวลาคุณซ่งจัดการเองเลยครับ จากนี้คุณจะไปไหนเรียกผมได้ตามสะดวก ให้ขับรถก็ได้ครับ”
เรื่องนี้กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกดีใจ จากนี้จะไปไหนก็ไม่ต้องเรียกซางเทียนซั่วแล้ว
เนื่องจากงานของเจิ้งอวี่ก็คือผู้ช่วยและคนขับรถ ถึงจะเป็นการใช้รถได้สมเหตุสมผล พอนึกว่าเมื่อก่อนต้องเรียกรถ โดยเฉพาะวันที่เดินเท้า…
เห็นว่าเกือบเที่ยงแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสี่ยเฉิงปา
“น้องชาย เป็นยังไงบ้าง ทางแกมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือยัง”
“แหะๆ สองสามวันนี้ทำให้เสี่ยปาเหนื่อยแล้ว ทางหวงฟาพูดอะไรหรือยังครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ไม่มีเลย แต่เร่งฉันให้ใช้สิทธิบัตรของเขาหาส่วนแบ่งกำไร เร่งยิกๆ เลย”
“ฮ่าๆๆ ลำบากเสี่ยปาแล้ว เสี่ยวางใจ เรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว ร้านอาหารร่ำรวยจะเปิดร้านวันนี้ครับ!”
“อะไรนะ จะเปิดวันนี้เหรอ โอเคหรือเปล่า ป้ายปิดร้านนี่เราจะฉีกออกตามใจไม่ได้นะ” เสี่ยเฉิงปาพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เสี่ยวางใจเถอะ ผมคำนวณไว้แล้วว่าตอนนี้คนของทีมตรวจสอบอาหารน่าจะไปฉีกป้ายออกแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ งั้น…น้องชาย ยังต้องให้ฉันติดต่อกับเสี่ยหวงอีกไหมเนี่ย ฉันไม่อยากติดต่อกับเขาแล้วจริงๆ นะ แกไม่รู้สักหน่อยนี่ว่าที่นั่นของเขาอย่างกับก่อขึ้นจากทอง ฉันไปแล้วก็รู้สึกอายไปหมด”
“ไม่ต้องแล้วครับ เสี่ยปาอยู่บ้านสงบจิตสงบใจเถอะครับ แต่คืนนี้ผมว่าจะนัดเสี่ยมาสักหน่อย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ได้สิ เราสองคนพี่น้องจะพูดเรื่องนัดไม่นัดอะไรกันล่ะ ให้ฉันไปหาแกที่ร้านไหม”
“เสี่ยรู้จักคลับเฮาส์หลงตูไหมครับ”
พอเสี่ยเฉิงปาได้ยินก็ร่าเริงทันที พูดว่า “ฮ่าๆ รู้จักสิน้องชาย แกก็ไปที่แบบนี้เหรอ พูดตามตรงไปหงเฟิงเถอะ หลงตูแพงเกินไป ไม่ดีเท่าไร”
“หืม ทำไมถึงไม่ดีล่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ก่อนหน้านี้ธุรกิจของพวกเขาดีมากนะ แต่หลังๆ แม่งมั่วซั่ว การบริการก็ไม่ดี ถึงไม่มีคนไปเท่าไรไง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็พยักหน้าน้อยๆ นี่คือผลของการที่เจ้าเจี้ยนคนนั้นดูแลแบบส่งเดช
“เอาน่า ที่นั่นแหละครับ เสี่ยปา สามทุ่มครึ่ง เจอกันที่หลงตู!”
“งั้นก็ได้ ในเมื่อน้องชายพูดแบบนี้ งั้นก็หลงตู ที่นั่นเพื่อนแกเป็นคนเปิดเหรอ ถ้าต้องการการสนับสนุน ฉันพาคนไปให้มากหน่อยได้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่ต้องหรอกครับ เสี่ยพาพวกเหลยจื่อมาก็พอ ให้พวกเขามาสนุกกัน ผมก็คุยกับเสี่ย”
“ไม่มีปัญหา งั้นแกจัดการเรื่องในร้านก่อน ไว้เจอกันตอนค่ำ!”
วางสาย ซ่งจื่อเซวียนก็ให้เจิ้งอวี่ขับรถ พาฟางรุ่ยไปร้านอาหารร่ำรวยด้วย
ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจให้ฟางรุ่ยอยู่ข้างกายตลอดช่วงนี้
ถึงอย่างไรนายท่านฉินลิ่วกับเฮ่อเหว่ยก็มีหน้ามีตาในสังคมไม่มากก็น้อย ถ้าคิดจะจัดการกับตนเองในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ก็ไม่มีทางยกเว้นพวกวิธีการสุดโต่งไป
ดังนั้นการ์ดฟางรุ่ยก็จะใช้เมื่อยามจำเป็น ซุปเปอร์บอดี้การ์ดที่แท้จริง
ถึงร้านอาหารร่ำรวย ก็เป็นอย่างที่ซ่งจื่อเซวียนคาดการณ์ไว้ ป้ายหน้าประตูถูกฉีกไปแล้ว
พวกเขาเข้าไปในร้านอาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็โทรหาพวกซางเทียนซั่ว หูเจิ้น และหลัวลี่ลี่ บอกพวกเขาว่าเปิดร้านแล้วให้รีบมาทำงาน
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง พนักงานทั้งหมดก็มาถึงร้าน
ซ่งจื่อเซวียนให้พวกเขาทำความสะอาดก่อน อีกทั้งจัดเตรียมพวกของต่างๆ เนื่องจากหยุดไปหลายวัน ต้องจัดระเบียบกันใหม่สักหน่อย
“เฮ้อ ปิดร้านคราวนี้พวกเราโชคร้ายจริงๆ เดาว่ารายได้ต้องน้อยลงครึ่งหนึ่งแน่!” หยางกังส่ายหน้าพูด
“มากกว่าเถอะ เดาว่าเกินครึ่งแน่ แม่งโคตรซวยจริงๆ เลย” หูเจิ้นถอนหายใจพูด
ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้มไม่พูดอะไร มีแค่เขาที่รู้ว่าถ้าวิธีการโปรโมตที่หวังเฉียงพูดไว้สำเร็จจริงๆ อย่างนั้นร้านอาหารร่ำรวยก็จะเผชิญหน้ากับออร์เดอร์ที่ไหลมาเทมาช่วงหนึ่ง
ไม่มีทางก้าวข้ามต้าสือไต้ได้ แต่ถึงขนาดไหลมาเทมาขั้นสุดก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ก็เห็นหัวเล็กๆ มองเข้ามาในร้านจากข้างประตู ใบหน้ายิ้มแย้มน่ารัก
“เฮ้ พี่รอง!”
“เสี่ยวเป่า? ฮ่าๆ ฉันกำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย เรื่องนายทางนั้นเป็นยังไงบ้าง ปู่กุ่ยไม่เป็นไรใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นเดินไปทันที
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “ไม่เป็นไร ปู่กุ่ยแข็งแรงขนาดนั้น พี่รอง คราวนี้รบกวนพี่ไปมากเลย หาปู่กุ่ยเจอ ก็นับว่าแก้ปัญหาเรื่องพวกเราได้แล้ว!”
“เร็วขนาดเชียว? งั้นก็ยินดีกับนายด้วยจริงๆ นะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ
“จริงสิพี่รอง ครั้งนี้ที่ฉันมาเพราะจะมาถามเรื่องหนึ่งกับพี่ พี่รู้ใช่ไหมว่าใครเป็นคนกระทืบปู่กุ่ย”
ท่าทางของกู่เสี่ยวเป่าเคร่งขรึมขึ้นมาในพริบตา กระทั่งมาพร้อมกับความโมโหอยู่เล็กน้อยด้วย
…………………………………………………..