เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 193 มาดูว่าซื่อสัตย์หรือเปล่า
ตอนที่ 193 มาดูว่าซื่อสัตย์หรือเปล่า
พอได้ยินคำพูดของซ่งจื่อเซวียน ผู้กำกับจางหนวดเฟิ้มคนนั้นก็อึ้งไป
???
ฉันไม่อยากทำแล้วเหรอ ฉันแสดงท่าทางออกมาไม่ชัดเหรอ หรือเมื่อกี้ฉันพูดผิด
ซ่งจื่อเซวียนสองมือล้วงกระเป๋าเดินเข้าไปในห้องทำงาน นั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะทำงานของผู้กำกับจางทันที ยกเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะ
ผู้กำกับจางถลึงตามองซ่งจื่อเซวียน แล้วก็มองซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยข้างกายเขา “พวกแก…พวกแกแม่งใครวะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางพูด “ต่อสิ คุณทำเรื่องที่ทำไม่เสร็จเมื่อกี้ต่อสิ”
“แม่งเอ๊ย หาเรื่องใช่ปะ ที่นี่คือห้องทำงานของฉัน พวกแกออกไปซะ!” ผู้กำกับจางร้องด่าด้วยความโมโห
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “รุ่ยจื่อ ให้เขาเงียบหน่อย”
ฟางรุ่ยคล่องแคล่วว่องไว เดิมซ่งจื่อเซวียนคิดจะให้เขาจับผู้กำกับจางเอาไว้ จากนั้นค่อยถาม ใครจะรู้ว่าเขาจะปล่อยหมัดไปหนึ่งหมัดแล้ว
หมัดเสยคางผู้กำกับจาง คนคนนั้นก็หงายหลังไปทันที ล้มลงบนโซฟา มึนหัววิงเวียน
ด้านเสี่ยวเหม่ยตกใจจนร้องวี้ดว้าย สองตาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจมองพวกเขา “พวกคุณ พวกคุณจะทำอะไร…”
ซ่งจื่อเซวียนกระอักกระอ่วน ภาพพจน์เดิมคือช่วยเหลือคนเพื่อความสุข กลับกลายเป็นการทะเลาะวิวาทในพริบตา…
…
“รุ่ยจื่อ นายจะต่อยเขาทำไมเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางรุ่ยชะงัก “อ้าว นายท่านรองให้เขาเงียบไม่ใช่เหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนปวดหัว ชายคนนี้ก็เงียบไปแล้วจริงๆ แต่…จะซักเขายังไงละเนี่ย
“โธ่ แกก็ไม่มีสมองเลยนะ แข็งกร้าวไปจะมีประโยชน์อะไร ที่อาจารย์ฉันพูดหมายถึงทำให้เขาเงียบหน่อย ไม่ใช่ให้เงียบสนิทแบบนี้…” ซางเทียนซั่วส่ายหน้าพูด
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่เสี่ยวเหม่ยทันที ถามว่า “คุณเป็นคนของบริษัทอวี่เฟิงหรือเปล่า”
ถึงแม้เห็นว่าคนพวกนี้หน้าตาดูสุภาพ แต่พอเข้ามาก็ต่อยคนอื่นเลย เสี่ยวเหม่ยจึงกลัว จะกล้าไม่ตอบกลับไปได้อย่างไร
“ชะ ใช่…ศิลปินในสังกัดน่ะค่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นี่จะนอนกับเขาเพื่อละครเหรอ”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหม่ยก็ไม่พอใจทันที พูดว่า “นายหมายถึงใครน่ะ นายใช้ตาไหนมองว่าฉันจะนอนกับเขา ไอ้หมูอ้วนนี่จะข่มขืนฉันต่างหากเล่า แม่ถึงไม่ยอมให้เขาแตะตัวไง!”
คำพูดพวกนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไป
เขากับซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยมองตากัน สายตาของอีกสองคนก็แบบเดียวกัน ฟังอย่างงุนงง
“เอ่อ…ผมเข้าใจแล้ว คุณชื่ออะไรล่ะ”
“หูอินเหม่ย”
“คุณพูดถึงละครเรื่องที่แล้ว…หมายความว่ายังไง มีคนแย่งบทนักแสดงหลักของคุณเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ ก็กัวอิ่งคนนั้นนั่นแหละ อาศัยการไปหลับนอนกับผู้กำกับแย่งบทของคนอื่น หึ อีกไม่นานต้องประสบเคราะห์กรรม เป็นโรคติดต่อแน่!”
พูดถึงตรงนี้ หูอินเหม่ยก็ไม่เหลือความหวาดกลัวเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เหมือนไปจิ้มโดนจุดระเบิดของผู้หญิง เพียงพริบตาก็หัวร้อนใส่
“นังตัวอะไร น่าขยะแขยง ผู้กำกับหลี่ว์จะหกสิบอยู่แล้วก็เอาได้ลง คิดๆ ฉันก็รังเกียจ ในวงการนี่สกปรกเกินไปแล้วจริงๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “คุณบอกว่า…กัวอิ่งคนนั้นหลับนอนกับผู้กำกับหลี่ว์ มีหลักฐานเหรอ”
“ไม่มีหรอก แต่มีเยอะแยะที่เป็นแบบนี้ จะเอาหลักฐานอะไรล่ะคะ เมื่อกี้พวกคุณก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ” หูอินเหม่ยพูดด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
ซ่งจื่อเซวียนมองพิจารณาหูอินเหม่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่จริงไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาก็มีเสน่ห์ หูอินเหม่ยเป็นสาวสวยคนหนึ่งเลย
อายุประมาณยี่สิบปี เป็นวัยเหมาะสมที่จะมานะบากบั่นในวงการบันเทิง ถ้าเริ่มใช้นักแสดงหญิงแบบนี้ บวกกับบทบาทที่เหมาะสม น่าจะพัฒนาศักยภาพได้
“คุณ…คุณมองอะไร” หูอินเหม่ยที่โดนซ่งจื่อเซวียนมองก็รู้สึกขนลุกอยู่บ้าง อดรวบปกคอเสื้อขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่มีอะไร แต่วงการบันเทิงปัจจุบันเน่าเฟะขนาดนี้ คุณยังรักษาอุดมการณ์นี้ไว้ได้ ไม่เลวเลยนี่”
“นั่นมัน…จะยังไงฉันก็ขายร่างกายตัวเองเพื่อชื่อเสียงไม่ได้หรอก แค่คิดก็รังเกียจแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ผู้กำกับจางที่อยู่ใกล้ๆ ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สูดลมหายใจยาวๆ ทันที
“อ้ะ…โอ๊ย…” ผู้กำกับจางขมวดคิ้ว ตายังไม่ทันเปิดก็ร้องเสียงหลง ท่าทางปวกเปียกนั่นแทบไม่ต่างอะไรกับพวกผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว
“คิดไม่ถึงว่าพวกแกจะต่อย สันดานจริงๆ…” เขาลืมตามาก็ชี้ซ่งจื่อเซวียน “ฉันจะเรียกรปภ. ให้ลากตัวพวกแกออกไป…”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “คุณผู้กำกับ เป็นคนในบริษัทใช่ไหม”
“แกยุ่งอะไรล่ะ ไสหัวไป…”
“เหอะๆ คุณก็เป็นผู้กำกับคนหนึ่งนี่ ทำเรื่องอย่างข่มขืนนักแสดงสาวในบริษัท อายุขนาดนี้แล้ว เรื่องแดงออกไปจะไม่อายคนเหรอ”
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ ผู้กำกับจางก็รู้สึกอาย ถูกคนอายุแค่นี้ว่าก็อดหาที่มุดเข้าไปไม่ไหว
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนคนหนึ่ง
พวกซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้ห้าม แค่มองเขายิ้มๆ
“รปภ. เหรอ ชั้นห้ามีคนก่อเรื่อง แถมยังต่อยคนอีก พวกคุณรีบมาเลยนะ พาคนมาเยอะๆ ด้วย!”
วางสายเรียบร้อย ผู้กำกับจางก็ชี้ซ่งจื่อเซวียนแล้วเอ่ยว่า “ไอ้หนู แกรอก่อนเถอะ เดี๋ยวแกได้เห็นดีแน่!”
รปภ.ของอาคารสำนักงานนี้ค่อนข้างป่าเถื่อน คุณภาพไม่ได้สูง แต่ทางบริษัทอวี่เฟิงให้สวัสดิการรปภ.เล็กๆ น้อยๆ ตามกำหนด ดังนั้นสำหรับพวกเขา เรียกรปภ.เมื่อไรก็มาเมื่อนั้น
ไม่นานนัก พวกรปภ.ก็พุ่งเข้ามา แต่ละคนท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีตรงไหนที่เป็นรปภ.เลย เป็นพวกนักเลงมากกว่า
“ใครน่ะ แม่งเอ๊ย ใครแม่งกล้าก่อเรื่องวะ” หัวหน้ารปภ.ถกแขนเสื้อขึ้น ถือกระบองพูด
ผู้กำกับจางชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียน “พวกเขา แถมยังต่อยคนด้วย!”
“แม่มันเถอะ ลากตัวมันออกไป!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “รุ่ยจื่อ เทียนซั่ว จัดการได้ไหม”
“ได้สิอาจารย์ หัวหน้าผมจัดการเอง อีกสี่คน…รุ่ยจื่อ แกจัดการ!”
ฟางรุ่ยกลอกตาใส่เขา ไม่สนใจแม้แต่น้อย ขึ้นหน้าไปถีบหัวหน้ารปภ.คนนั้นออกไปจากห้องทำงานทันที
การถีบครั้งนี้ทำให้รปภ.คนอื่นๆ อึ้งไป ขณะที่กำลังอึ้ง ฟางรุ่ยก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ ตามด้วยขยับสองเท้า เตะต่อกันสี่ครั้ง
ทุกๆ การเตะสี่ครั้งก็ล้วนเตะไปที่รปภ.คนหนึ่ง ถึงรปภ.พวกนั้นจะถือกระบองไว้กันหมด แต่ยังไม่ทันได้กวัดแกว่ง ก็ถูกฟางรุ่ยเตะออกไปแล้ว
บ้างก็โดนเตะลอยไปที่โต๊ะทำงาน บ้างก็ลอยไปที่มุมอ่างล้างมือ และก็มีอีกคนที่ชนเข้ากับผู้กำกับจางอย่างจัง
เดิมผู้กำกับจางก็อ้วนอยู่แล้ว แถมตอนนี้ก็เพิ่งดื่มชาไปได้ไม่นาน โดนชนขนาดนี้ก็อาเจียนออกมาทันที
เห็นอาหารที่อาเจียนออกมาพวกนั้น รปภ.กับหูอินเหม่ยก็รีบหลบหลีกอย่างรังเกียจ
ตอนนี้หัวหน้ารปภ.คนนั้นกุมท้องลุกขึ้นมา เดินเข้ามาในห้องทำงานอีกรอบ ตอนที่คิดจะยกกระบองขึ้น เมื่อเห็นรปภ.ล้มระเนระนาดอยู่ทั่วห้องก็อึ้งไปทันที
ฟางรุ่ยเดินมาทางเข้าครึ่งก้าว หัวหน้ารปภ.คนนั้นก็ไม่เหลือท่าทีเผด็จการเมื่อครู่แล้ว เบิกตากว้างเหมือนเห็นปีศาจ ขาสั่นไปหมด
“จะ จะ…จอมยุทธ์…”
พรืด…ซางเทียนซั่วพ่นออกมา “จอมยุทธ์ฟาง ท่านนี่ไม่เหลือให้ข้าสักคนเลยนะ!”
“เหอะๆ ง่ายเกินไปนี่ ไม่ต้องถึงตาท่านชายซ่งต้องลงมือหรอก!”
“แม่งเอ๊ย ก่อเรื่อง…พวกแกก่อเรื่องที่บริษัท ข้าจะแจ้งความจับพวกแก!” ผู้กำกับจางเห็นท่าทีก็ชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียน ขณะเดียวกันก็เช็ดอาหารที่อาเจียนออกมาตรงมุมปาก
“งั้นเหรอ ก็ดี คุณแจ้งเถอะ ผมจะคอยดูว่าตำรวจจะจับใครกันแน่”
ผู้กำกับจางชะงัก คิดถึงเรื่องที่ตนเองทำลงไปเมื่อครู่ได้ เขากัดฟันแน่น “หึ มีหลักฐานอะไรล่ะ ที่พวกนายต่อยคนมันมีหลักฐานนะ!”
ขณะที่จนตรอก ที่ทางเดินก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามา ฟังจากเสียงก็รู้ว่ามีอย่างน้อยสามสี่คน
พอดีกับที่คนพวกนั้นมาถึงประตู ผู้กำกับจางถึงกับคลานไปกับพื้น พยุงตัวขึ้นมาได้ก็วิ่งไปหา
“ประธานจั่ว ประธานจั่วครับ มีคนมาก่อเรื่อง ชกผม แถมยังต่อยรปภ.ด้วยครับ”
คนที่มาก็คือจั่วอู่ เดิมวันนี้มาเพราะมีงานต้องคุย เขาก็เพิ่งกลับมาจากการพูดคุยเสร็จ คิดไม่ถึงว่าจะมาเห็นฉากนี้
ชายกำยำข้างกายจั่วอู่พูด “แม่ง ใครมันจัดการพวกเขาวะ ไหน”
“พวกมันเนี่ย!”
ผู้กำกับพูดพลางชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียน ตอนที่เห็นซ่งจื่อเซวียน จั่วอู่ก็อึ้งไปทันที
ชายกำยำคนนั้นพูดตะคอก “หาที่ตาย แม่มันเถอะ พวกแกมาจากไหน”
ซ่งจื่อเซวียนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้หนัง นั่งไขว่ห้างเงยหน้ามองจั่วอู่ “มาจากไหนเหรอ ถามเขาสิ!”
จั่วอู่เบิกตากว้างๆ ยืนยันอีกรอบ เขาสงสัยว่าตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า
วินาทีถัดมา เขายื่นสองมือไปด้านหน้า สาวเท้าไวๆ ไปหาซ่งจื่อเซวียน
“คุณซ่ง ผมไม่รู้ว่าคุณจะมา ไม่อย่างนั้นผมก็คงอยู่รอคุณแล้ว ขอโทษจริงๆ นะครับ”
พอเห็นท่าทางของจั่วอู่ ทุกคนก็อึ้งไป ต้องรู้ว่าจั่วอู่เป็นบอสของบริษัท ในวันธรรมดาๆ นอกเสียจากไปเจอนายท่านฉินลิ่ว ก็ไม่ได้พินอบพิเทากับใครขนาดนี้มาก่อนเลย
ซ่งจื่อเซวียนมองจั่วอู่ที่กำลังรอให้ตัวเองโบกมือ แต่เขาก็ไม่ได้ยื่นมือไปหา เอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ ห้องทำงานของคุณอยู่ที่ไหน”
“ด้านในเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ไป ไปดูหน่อย!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นเดินออกไป จั่วอู่ก็เดินตามขนาบข้าง
ผู้กำกับจางมองชายกำยำอย่างสับสน แล้วมองหูอินเหม่ย พวกเขาสับสนกันไปหมดแล้ว
เดินเข้าไปในห้องทำงานของจั่วอู่ ซ่งจื่อเซวียนสอดส่องสภาพแวดล้อมเล็กน้อย
การตกแต่งที่นี่ไม่ได้หรูหรา ค่อนข้างใช้งานจริง
โต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งทำงาน ตู้เก็บเอกสาร กระถางดอกไม้สองสามกระถาง ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
บนโต๊ะคอมพิวเตอร์วางพวกเอกสารและข้อมูลกองสุมไว้ มองออกว่าจั่วอู่น่าจะกำลังอ่านอยู่ มุมเอกสารบางแผ่นแช่อยู่ในแก้วกาแฟ
ถึงจะค่อนข้างใช้งานจริง แต่ว่าก็รกจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน ส่วนจั่วอู่ทำได้เพียงยืนอยู่หน้าโต๊ะ
เนื่องจากไม่มีโซฟาในห้อง แต่ก่อนตอนที่เขาพูดคุยกับคนอื่นที่บริษัทล้วนแล้วแต่เป็นเขาที่นั่งส่วนคนอื่นยืน วันนี้นับว่าสลับกันแล้ว
“วันนี้คุณซ่งมากะทันหันแบบนี้ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ผมยังไม่ได้ทำงานที่บริษัทอย่างเป็นทางการ ก็แค่มาดูๆ ว่ากิจการของบริษัททำอะไรบ้าง”
จั่วอู่พยักหน้า “คุณซ่งใส่ใจจริงๆ นะครับ ผมเชื่อว่าอนาคตของบริษัทภายใต้การนำของคุณซ่งจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่”
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม จั่วอู่คนนี้รู้จักพูดจริงๆ เขาคงใช้นิสัยเทียวไล้เทียวขื่อนี้อยู่ข้างกายพวกนายท่านฉินลิ่ว
คนแบบนี้…ไม่ว่าจะทำการใหญ่ได้หรือไม่ รวมๆ แล้วจะไม่ไปยุ่งกับใคร นี่คือเงื่อนไขแรกที่จะมีชีวิตต่อไปได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอยืมคำพูดของคุณแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองวิวทิวทัศน์ด้านล่าง “จั่วอู่ ที่จริงก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมไปที่หลงตูมาแล้ว”
จั่วอู่เข้าใจความหมายของซ่งจื่อเซวียนทันที
นี่เป็นการบ่งบอกว่าคุณซ่งจะลงดาบนายท่านฉินลิ่วแล้ว ดูแล้วเขายังเด็กมาก ต่อให้ต้องแสดงความสามารถ ก็ต้องหาลูกพลับที่บีบได้นิ่มๆ
สำหรับเขาแล้ว ซ่งจื่อเซวียนเด็กเกินไป ชนกับนายท่านฉินลิ่ว…อาจจะเสียเปรียบ
ไม่รอให้จั่วอู่เปิดปาก ซ่งจื่อเซวียนก็พูดต่อ “เพราะงั้น…ที่จริงสาเหตุที่แท้จริงที่ผมมาวันนี้ ก็คือมาดูว่าลูกน้องในความคุ้มครองของผมซื่อสัตย์หรือเปล่า!”
………………………………………………