เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 192 งั้นก็ไสหัวไป
ตอนที่ 192 งั้นก็ไสหัวไป
ประคองปู่กุ่ยไปที่รถเก๋ง พวกเขาถึงได้กลิ่นสุราจากปู่กุ่ยไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่าเมามาก
“ให้ตาย ปู่กุ่ยดื่มมาหนักขนาดไหนเนี่ย กลิ่นนี่…” ซางเทียนซั่วประคองปู่กุ่ยไปพลางโก่งคอไปไกลๆ หันหน้าหนี
“ถ้าปู่กุ่ยไม่ได้ดื่มมาหนัก ก็คงไม่โดนไอ้พวกเด็กเวรนี้กระทืบเอาหรอก ไอ้พวกหมาหมู่ คนแก่ยังรุม!” ฟางรุ่ยพูด
ซางเทียนซั่วพูด “อาจารย์ เมื่อกี้น่าโมโหไอ้พวกนั้นเป็นบ้า ทำไมพวกเราถึงเดินออกมาอย่างนั้นล่ะ น่าจะให้ผมอัดมันหน่อย!” ซางเทียนซั่วพูดพลางยกเท้าขึ้น นี่เป็นทักษะที่เหนือชั้นของเขาเช่นกัน
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ “ยังไม่ถึงเวลา ผ่านช่วงนี้ไปก่อนฉันจะมาจัดการเอง!”
พาปู่กุ่ยขึ้นรถเรียบร้อย ฟางรุ่ยก็พูด “นายท่านรองนั่งหน้าเถอะ ผมจะอยู่ดูแลปู่กุ่ยข้างหลังเอง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเอง รุ่ยจื่อ นายโทรหาอวี่เหวินเซี่ยว บอกว่าปู่กุ่ยอยู่กับเรา ถามพวกเขาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ฟางรุ่ยพยักหน้า “ครับ ผมจำได้ว่าคราวก่อนพวกเขาก็ตามหาปู่กุ่ย ส่งคนให้พวกเขาได้พอดี”
พูดจบ ฟางรุ่ยก็กดโทรศัพท์โทรหาเบอร์หนึ่ง
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนไม่มีช่องทางติดต่อหากู่เสี่ยวเป่า การติดต่อที่มาผ่านมาซึ่งนานขนาดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่คาดคิดทั้งสิ้น เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
แต่ตอนที่อยู่หลานหยวนตอนนั้น ฟางรุ่ยกับอวี่เหวินเซี่ยวแลกช่องทางติดต่อกันเอาไว้ จึงสามารถติดต่อพวกเขาได้ผ่านทางนี้
คุยโทรศัพท์ ฟางรุ่ยเอามือป้องตรงไมค์แล้วพูดว่า “นายท่านรอง พวกเขาจะมารับปู่กุ่ยตอนนี้เลย ก็เลยถามที่อยู่ของพวกเรา เราจะให้เขามาหรือว่าจะนัดสถานที่ดีครับ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ลองถามพวกเขาว่าอยู่ไหน พวกเราจะไปส่งเอง!”
ฟางรุ่ยทำมือโอเค จากนั้นก็พูดคุยกับอวี่เหวินเซี่ยวอีกสองสามประโยค ถึงค่อยวางสายไป
“ตึกเฉิงไฉ ห่างจากเราไม่ไกลครับนายท่านรอง งั้นไปกันเถอะ!”
ซางเทียนซั่วเบะปาก “ฉันเป็นคนขับรถนี่เอง…”
……
สิบกว่านาที พวกซ่งจื่อเซวียนก็ขับรถมาถึงตึกเฉิงไฉ อวี่เหวินเซี่ยวที่สวมชุดสูทรอรับอยู่ด้านล่างตึกแล้ว
เห็นพวกซ่งจื่อเซวียนลงมาจากรถ ก็เร่งรุดเข้าไปประคองปู่กุ่ย
“นายท่านรอง ครั้งนี้ขอบคุณมากๆ เลยครับ พวกเราหาปู่กุ่ยมานานแล้ว” อวี่เหวินเซี่ยวพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ฉันควรจะทำอยู่แล้ว เป็นมิตรสหายกันทั้งนั้น จะไม่เชิญฉันขึ้นไปนั่งหน่อยเหรอ”
ที่จริงนี่ก็เป็นจุดประสงค์ของซ่งจื่อเซวียน เพราะงั้นจึงไม่ได้ให้อวี่เหวินเซี่ยวมารับตัวปู่กุ่ยไป เขาอยากจะดูว่าพวกแก๊งขอทานของกู่เสี่ยวเป่ามีฐานที่มั่นในตู้เหมินหรือไม่ ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นตึกนี้แหละ
อวี่เหวินเซี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในเมื่อซ่งจื่อเซวียนเรียกร้องแล้ว เขาจะปฏิเสธก็ไม่ค่อยดีเท่าไร
“เชิญครับนายท่านรอง”
ตึกเฉิงไฉเป็นอาคารสำนักงานครบวงจร พวกเขาโดยสารลิฟต์มาที่ชั้นสิบสาม เพิ่งจะออกจากลิฟต์ พวกซ่งจื่อเซวียนก็เห็นป้ายคำขวัญบริษัทบนผนังฝั่งตรงข้าม
บริษัท การจัดการการลงทุนหวนอวี่ จำกัด
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม แก๊งขอทานนี่เก่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
อีกทั้งถ้าตามปกติแล้ว พอเดินออกมาจากลิฟต์ของอาคารสำนักงานครบวงจรก็จะเห็นชื่อบริษัททั้งหมดไล่เรียงกัน แต่ชั้นสิบสามนี้มีแค่บริษัทเดียว ไม่แปลกใจที่พวกเขาจะใช้พื้นที่สำนักงานชั้นนี้ทั้งหมดเป็นการส่วนตัว
สมแล้วที่เป็นแก๊งขอทาน เงินหนาจริงๆ
แก๊งขอทานในสายตาคนนอกก็เป็นขอทานทั้งหมด ล้วนคิดว่าพวกเขายากจน แต่ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขามีสมาชิกแก๊งมากมายกว้างขวาง ระดับสูงๆ ก็ร่ำรวยกว่าแก๊งอื่นๆ มาก
อวี่เหวินเซี่ยวพาพวกเขาเข้าไปในห้องรับแขก แล้วเรียกให้คนรินชามาให้ ทั้งยังทำน้ำแกงสร่างเมามาให้ปู่กุ่ยโดยเฉพาะ
“อวี่เหวินเซี่ยว แก๊งขอทานของพวกนายใหญ่โตขนาดนี้เชียวนะ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด
อวี่เหวินเซี่ยวได้ยินก็ชะงัก ถามว่า “นายท่านรองรู้หมดแล้วเหรอครับ”
“เหอะๆ ฉันเป็นเพื่อนกับกู่เสี่ยวเป่านะ ไม่ต้องปิดบังกันหรอก” ซ่งจื่อเซวียนพูด
อวี่เหวินเซี่ยวพยักหน้า “ก็ใช่ครับ ที่จริงพวกเราตั้งบริษัทที่ตู้เหมิน หลักๆ ก็เพื่อจะดูแลแก๊งขอทานได้สะดวก นายท่านรองก็ทราบดีว่าในยุดสมัยนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว พวกเราต้องใช้วิธีของยุคสมัยนี้ในการจัดการ”
“น่าสนใจ ใครเป็นคนเสนอเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เสี่ยวเป่าครับ เขาเสนอให้จัดการดูแลในนามบริษัท อีกทั้งแบ่งทีมกันดูแลในที่ต่างๆ จนกลายมาเป็นเครือข่าย อย่างนี้รายชื่อสมาชิกก็จะอยู่ในเล่ม อำนาจควบคุมดูแลกว้างขวาง แถมยังสามารถป้องกันไม่ให้สมาชิกทำเรื่องผิดกฎหมายด้วย”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็สูดลมหายใจ “นี่…นี่เสี่ยวเป่าเป็นคนเสนอเหรอ”
“ให้ตาย ทำไมเด็กขอทานถึงเจ๋งขนาดนี้ล่ะ คิดไม่ถึงเลย” ซางเทียนซั่วพูด
“นายท่านรองก็ทราบดีว่าแก๊งขอทานมีสมาชิกเยอะ เรื่องดีๆ มีเยอะ เรื่องชั่วๆ ก็เช่นกัน ถ้ามีกลุ่มคนไปก่อเรื่องชั่วจริงๆ แก๊งก็คงเสื่อมเสียชื่อเสียง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “เสี่ยวเป่านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เรื่องแบบนี้พวกนายป้องกันได้เหรอ”
“ยังมีกฎเกณฑ์อื่นๆ อีกมากมายครับ เสี่ยวเป่าตั้งกฎขอทานมาหลายข้อ เช่นไม่อนุญาตให้ขอทานบนขนส่งสาธารณะ ห้ามขโมย ฉกชิงหรือหลอกลวง มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎขอทาน จำต้องทำตามกฎของแก๊ง จากนั้นก็จะส่งตัวให้ฝ่ายบังคับใช้กฎ”
“พระเจ้าช่วย…เสี่ยวเป่าเก่งมาก คิดไม่ถึงว่าจะคิดเรื่องพวกนี้ออกมาได้นะเนี่ย”
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ค่อนข้างนับถือ เพราะแก๊งขอทานค่อนข้างใหญ่ ความยากในการจัดการแค่คิดก็รู้แล้ว
อนาคตเขาไม่ได้ดูแลแค่บริษัทเดียวหรือร้านอาหารหนึ่งถึงสองแห่งเท่านั้น เทียบกันแล้ว…กู่เสี่ยวเป่าไม่ธรรมดาจริงๆ
แต่เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง แก๊งขอทานใหญ่ขนาดนี้ ทำไมต้องให้เด็กคนหนึ่งมาจัดการเรื่องพวกนี้ล่ะ
พูดอีกมุมหนึ่ง ทำไมสิ่งที่กู่เสี่ยวเป่าเสนอไปถึงกลายเป็นกฎขอทานไปได้
คิดๆ แล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “อวี่เหวินเซี่ยว กู่เสี่ยวเป่า…ตำแหน่งในแก๊งของพวกนายนี่ไม่ธรรมดาใช่ไหม”
“เรื่องนี้…นายท่านรอง ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ครับ ขอคุณอย่าถือสา” อวี่เหวินเซี่ยวพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ที่จริงต่อให้อวี่เหวินเซี่ยวไม่พูด เขาก็เดาได้อยู่หน่อยๆ
ด้วยอายุของกู่เสี่ยวเป่า เกรงว่าจะเป็นญาติกับคนที่มีตำแหน่งสูงในแก๊ง เช่นผู้อาวุโสจนถึงลูกชาย หลานชายหรือลูกชายของพี่สาวหัวหน้าแก๊ง
“ที่จริงครั้งนี้ที่พวกเราตามหาปู่กุ่ย ก็เป็นเพราะเรื่องนี้แหละครับ ถึงแก๊งขอทานของเราจะใช้วิธีการจัดการใหม่ แต่ก็ยังต้องรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมมากมายเอาไว้ ถ้ารวมเสียงของผู้อาวุโสแปดคนไม่ได้ ก็ไม่สามารถกำหนดเรื่องสำคัญมากได้”
“พูดแบบนี้…ปู่กุ่ยก็คือแปดผู้อาวุโสในแก๊งขอทานเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ครับนายท่านรอง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูด “เข้าใจละ อวี่เหวินเซี่ยว มีรอยแผลบนหน้าปู่กุ่ยอยู่บ้าง ตอนที่เราเจอเขาก็กำลังโดนรุมกระทืบอยู่ เรื่องนี้ฉันจะเล่าให้นายฟังครึ่งหนึ่งก่อน รอหลังจากนายบอกฉันเรื่องตัวตนของเสี่ยวเป่าแล้ว ฉันจะเล่าให้นายฟังต่อ”
ได้ยินประโยคนี้ อวี่เหวินเซี่ยวก็ยิ้ม “นายท่านรอง ผมเข้าใจครับ รอหลังจากเราตัดสินใจเรื่องสำคัญที่ใหญ่มากแล้ว ผมจะบอกคุณเอง เชื่อเสี่ยวเป่านะครับ”
“ได้ งั้นวันนี้ก็เท่านี้แหละ มีเรื่องอะไรก็ติดต่อรุ่ยจื่อได้เลยนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งนายท่านรอง”
ออกมาจากตึกเฉิงไฉ พวกเขาก็ไปบริษัทอวี่เฟิงซินีมาในเขตชานเมืองตะวันออกต่อ
ที่ตั้งของบริษัทอวี่เฟิงซินีมาก็เป็นอาคารสำนักงานห้าชั้นเช่นกัน ตอนที่ขับรถมาถึงก็ประมาณหกโมงเย็น มองจากด้านนอกเข้าไปด้านในก็เหมือนจะเลิกงานแล้ว
แต่เห็นสำนักงานชั้นห้ายังเปิดไฟอยู่สองสามห้อง อธิบายได้ว่ามีคนกำลังทำโอทีอยู่
ทั้งสามลงจากรถก็เดินเข้าไป โดยสารลิฟต์ตรงไปชั้นห้า
ตอนที่เดินออกมาจากลิฟต์ ก็รู้สึกว่าวังเวงมาก ซางเทียนซั่วพูดว่า “อาจารย์ เลิกงานแล้วมั้ง ไม่มีคนเลย”
“เหอะๆ ดูเฉยๆ ไปเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรเราก็กลับ”
ชั้นห้าไม่ได้มีแค่อวี่เฟิงบริษัทเดียว หน้าลิฟต์มีชื่อบริษัทอย่างน้อยสี่แห่งแขวนอยู่ ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงเริ่มหาว่าอวี่เฟิงอยู่ตรงไหน
ไม่นานนัก เขาก็เห็นป้ายบริษัทอวี่เฟิงแล้วเดินไป
บริษัทมีห้องทำงานประมาณแปดถึงสิบห้อง แขวนมู่ลี่ที่หน้าต่างกระจกทั้งหมด บางห้องยังเปิดไฟไว้อยู่ แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลยจากหน้าต่าง
แต่ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นว่ามีประตูห้องทำงานห้องหนึ่งด้านหน้าปิดบังเอาไว้ เขาเดินขึ้นหน้ามองลอดเข้าไป
เห็นแค่ที่โต๊ะในห้องมีชายหนวดเฟิ้มนั่งอยู่ ส่วนบนโซฟามีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่
ผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปี สวมกระโปรงยาวขนสัตว์ ท่อนบนสวมเสื้อสเวตเตอร์ขนสัตว์ตัวเล็ก ในมือกอดเสื้อโค้ทเอาไว้ ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา
“โธ่ ฉันว่านะเสี่ยวเหม่ย ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจเนี่ย บทตัวละครหลักนี่…บอกจะเล่นก็เล่นได้เลยเหรอ เรื่องนี้ต้องให้บริษัทตัดสินใจนะ” ชายหนวดเฟิ้มพูด
เสี่ยวเหม่ยเบ้ปาก “งั้นบริษัทก็เชื่อถือไม่ได้น่ะสิ เดิมตัดสินใจให้ฉันเล่น แต่ไหงให้เธอแสดงล่ะ นี่มันอะไรกัน ไม่มีสัจจะเอาเสียเลย”
ได้ยินดังนั้น ชายหนวดเฟิ้มก็ยิ้ม ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟา “เธอนี่นะ ยังเข้าวงการมาไม่นานเลย เธอว่าทำไมกัวอิ่งคนนั้นถึงได้เป็นนางเอกล่ะ เธอดูไม่ออกเหรอว่าเธอคนนั้นเป็นอะไรกับผู้กำกับหลี่ว์”
“อย่างนั้น…อย่างนั้นก็ไม่ได้สิ พวกคุณเคยสัญญาไว้แล้วนี่นา”
ชายหนวดเฟิ้มวางมือไปลงบนมือของเสี่ยวเหม่ย “แต่ว่านะเสี่ยวเหม่ย ฉันจะบอกเธอนะว่า ต้นปียังมีละครใหม่อีกเรื่อง แต่เธอต้องสู้เพื่อเอามาให้ได้นะ”
เสี่ยวเหม่ยชักมือกลับทันที “ต่อสู้เหรอ”
“ใช่แล้ว ละครเรื่องนั้นฉันกำกับเอง เธอเข้าใจไหม” ชายหนวดเฟิ้มยิ้มพูด
“งั้น…คุณช่วยฉันได้ไหมคะ เงื่อนไขของฉันไม่แย่เลยนะ อีกอย่างคราวก่อนบริษัทพวกคุณก็ตกลงไว้แล้ว แต่ว่า…”
ไม่รอให้เสี่ยวเหม่ยพูดจบ มือของชายหนวดเฟิ้มคนนั้นก็เลื่อนลงบนกระโปรงของเสี่ยวเหม่ย ขณะเดียวกันก็เริ่มลูบไล้จนถึงขาอ่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปด้านบน
เสี่ยวเหม่ยตกใจจนลุกขึ้นยืน “ผู้กำกับจางจะทำอะไรคะ…”
“ฉันชอบเธอมากเลยนะเสี่ยวเหม่ย ฉันคิดถึงผิวเนียนๆ ของเธอทุกคืนเลยนะ” ผู้กำกับจางพูดพลางตรงเข้าไปกอดเสี่ยวเหม่ย กดเธอลงกับโซฟา “ฉันพูดกับเธอตรงๆ เลยนะ เธออยู่กับฉัน ฉันจะทำให้เธอเป็นนักแสดงนำ แถมละครเรื่องต่อไปถ่ายที่ต่างประเทศ ฉันจะพาเธอไปเอง”
“ฉันไม่ไป คุณปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน…” เสี่ยวเหม่ยออกแรงดิ้นด้วยกำลังทั้งหมด
แต่ผู้กำกับจางคนนั้นหนักแปดสิบเก้าสิบกิโลกรัม เธอจะดิ้นหลุดได้อย่างไร
ผู้กำกับจางจุ๊บที่ลำคอของเสี่ยวเหม่ย “หอมจัง เสี่ยวเหม่ย ผิวเธอนี่เรียบลื่นจริงๆ
เชื่อฟังสิ จากนี้อยู่กับฉัน รองบละครเรื่องต่อไปออก ฉันจะรายงานขอเพิ่มงบอีกสองล้าน ถึงตอนนั้นฉันจะซื้อกระเป๋ากับเครื่องประดับให้เธอเยอะๆ เลย ดีไหม”
เห็นได้ชัดว่าชายหนวดเฟิ้มมีความต้องการ เขาพูดพลางเริ่มเลิกเสื้อของเสี่ยวเหม่ยขึ้น เผยผิวท้องขาวๆ นั้นออกมา
“อ๊ะ…” เสี่ยวเหม่ยร้องเสียงหนึ่ง ออกแรงผลักอกของผู้กำกับ ไม่ให้เขาเข้าใกล้ “ไอ้หมูอ้วน ฉันไม่อยู่กับแกหรอกนะ ต่อให้แม่อดตายก็ไม่มีทาง อย่างน้อยฉันก็ไม่อยู่ในวงการนี้แล้วโว้ย!”
“ฮ่าๆ สาวน้อยคนนี้ใช้ได้เลยนะอาจารย์!” ซางเทียนซั่วอดป้องปากพูดกลั้วหัวเราะไม่ได้
ผู้กำกับจางได้ยินเสียงนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองผ่านประตูไป “แม่งเอ๊ย ใครวะ ไม่อยากทำแล้ว!”
ปัง!
ประตูถูกถีบเปิดเข้ามา ซ่งจื่อเซวียนมองผู้กำกับจาง “แกบอกว่าแกไม่อยากทำแล้วใช่ปะ งั้นก็ไสหัวไป!”
………………………………………….