เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 191 กล้าก็อย่าหนี
ตอนที่ 191 กล้าก็อย่าหนี
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าเงื่อนไขนี้เกินไปหน่อย
แต่เขาไม่มีทางเลือก ออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิไม่เคยไหลมาเทมาในร้านอาหารร่ำรวยเลย ตอนนี้ยังมีป้ายปิดร้านอีก มีผลกระทบกับกิจการแน่นอน
อันที่จริงถึงจะมีคนเห็นขั้นตอนที่ร้านอาหารร่ำรวยโดนติดป้ายไม่เยอะ แต่หลายวันมานี้คนที่เห็นป้ายย่อมมีไม่น้อยแน่นอนกระมัง
ดังนั้นเขาต้องนำเรื่องเรื่องหนึ่งมาคลี่คลายการค้าที่ซบเซา ถ้าทำได้ ก็จะถึงขั้นเผยแพร่โฆษณาออกไปได้ฟรีๆ
“เรื่องนี้…ผู้อำนวยการหวัง ที่จริงนี่นับว่าเป็นการทำงานผิดพลาดของหน่วยงานรัฐ อย่างน้อยก็ต้องให้แถลงการสักหน่อยมั้งครับ”
หวังเฉียงครุ่นคิด พูดว่า “น้องชาย ถ้าเรื่องนี้ไปถึงอธิบดีลู่เกรงว่าจะรับประกันไม่ได้น่ะสิ บังคับใช้กฎหมายผิดๆ สั่งถอนให้พวกนาย มากสุดก็ส่งคนไปขอโทษ นี่ก็มากสุดแล้ว”
“พี่ชาย ไม่อย่างนั้นคุณก็ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอครับ แบบนั้นร้านผมก็ไม่มีทางเปิดได้น่ะสิ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เงียบไปครู่หนึ่ง หวังเฉียงก็พูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันจื่อเซวียน ในงานแถลงข่าวของสำนักงานเราคราวก่อน ฉันได้รู้จักกับนักข่าวสองสามคน เราเริ่มจากโปรโมตผ่านสื่อไปได้ไหม”
“โปรโมตผ่านสื่อเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
อย่างไรเขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องโซเชียลมีเดีย ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
“ใช่ ฉันรู้จักกับอินฟลูเอนเซอร์ของหน่วยงานรัฐ แล้วก็ยังมีอินฟลูเอนเซอร์บนเวยป๋ออีกหลายคน ฉันให้พวกเขาลงข่าวเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็ให้พวกอินฟลูเอนเซอร์บนเวยป๋อคนอื่นๆ ลงด้วย ฉันบอกเลยนะว่ากระแสครึกโครมพอๆ กับบนโทรทัศน์เลย”
“จริงเหรอครับ ผมคิดว่าเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์กับหนังสือพิมพ์จะเร็วที่สุดเสียอีก” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ที่ไหนเล่า นี่มันยุคไหนแล้ว แต่ฉันจะบอกนายว่าเรื่องนี้เป็นเส้นสายส่วนตัวของฉัน ถ้ามีคนมาถามนาย นายก็บอกไปว่าไม่รู้”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เข้าใจครับ เข้าใจ พี่ชาย รอจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วผมก็จะได้เปิดร้าน ถึงตอนนั้นจะเลี้ยงพี่กินดื่มของดีๆ สักมื้อ”
“ฮ่าๆ ที่จริงฉันดื่มเก่งอยู่นะ เอาอย่างนี้ สองวันนี้นายก็เปิดร้าน เรื่องเผยแพร่ข่าวฉันมั่นใจว่าทั่วถึงแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเผยแพร่ไปแล้วนายไม่เปิดร้าน กระแสของนายนี่ก็ไม่มีประโยชน์เลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เป็นไปตามหลักการนี้จริงๆ โอเคครับ งั้นผมก็ขอบคุณพี่หวังไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกันครับ!”
“ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันจะไปดื่มกับนาย ฉันวางสายก่อนนะ ยังต้องกลับไปที่สำนักงานอีก”
วางสายเรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปที่ลิฟต์
ตอนนี้ ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยพาถังหย่าฉีขึ้นรถไปแล้ว กำลังรอซ่งจื่อเซวียนอยู่ที่หน้าประตู
เดินออกมาจากลิฟต์ ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นเจ้าเจี้ยนอยู่ที่เคาน์เตอร์รับแขก พอเห็นซ่งจื่อเซวียน เจ้าเจี้ยนก็ตื่นตกใจทันที
“คะ คุณซ่ง…”
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขา “เจ้าเจี้ยน จากนี้หน้าที่ที่คุณรับผิดชอบต้องวิ่งไปวิ่งมาก็คือคลับเฮาส์กับบริษัท นอกจากตอนที่ผมไป เวลาอื่นคุณก็ต้องมารายงานการทำงานกับผมทุกวัน ได้ยินไหม”
“ครับ คุณซ่ง ผมเข้าใจ ผมเข้าใจแล้วครับ”
ตอนนี้เจ้าเจี้ยนไม่ได้โกรธเคืองเลยสักนิด ถึงอย่างไร…ก็ทำเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เขารู้ว่าคำพูดประโยคเดียวของซ่งจื่อเซวียนก็สามารถตัดสินอนาคตของเขาได้
“อืม สองสามวันนี้ผมไม่อยู่ที่บริษัท โทรมารายงานก่อนแล้วกัน”
“รับทราบครับ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกจากคลับเฮาส์ไปขึ้นรถของซางเทียนซั่วแล้วจากไป
เห็นรถเคลื่อนตัวจากไป ฝั่งเจ้าเจี้ยนถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่ง
ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ ถึงโผล่หัวออกมาจากเคาน์เตอร์รับแขก “พี่เฮย พี่ใหญ่ไปหรือยัง”
“พี่ใหญ่อะไร เรียกว่าเถ้าแก่สิ อยู่ต่อหน้าเถ้าแก่…พี่ใหญ่เป็นแค่น้องชายคนหนึ่งนะ…”
…………
บนรถ เนื่องจากเพิ่งตื่น ฤทธิ์ยายังไม่หายไป บวกกับที่ตกใจก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าถังหย่าฉียังไม่สงบลง
เธอพิงกับหน้าต่างรถ สองตาเหม่อลอยไปด้านหน้า บางทีก็หันหน้าไปมองวิวนอกหน้าต่าง จากนั้นก็เหม่อต่อ
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าถังหย่าฉีก็ต้องการสงบจิตสงบใจ อย่างไรสภาพจิตใจก็ยังไม่พร้อม
“อาจารย์ ไปส่งอาจารย์แม่ที่ไหนล่ะ” ซางเทียนซั่วถาม
ถังหย่าฉีส่ายหน้าน้อยๆ “ฉันไม่อยากกลับ ฉันรู้สึกเหนื่อย ให้ฉันพักบนรถสักหน่อยเถอะนะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจ “ไม่อย่างนั้นฉันพาเธอไปกินข้าวไหม”
“ไม่ไป จื่อเซวียน ฉันใจไม่ดีเลย”
“เพราะเฮ่อเหยียนข่ายเหรอ เรื่องนี้มันผ่านไปแล้วนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ครั้งนี้นับว่าให้บทเรียนฉันเลย จื่อเซวียน ฉันไม่ค่อยเชื่อฟังใช่ไหม” ถังหย่าฉีหันหน้ามา พูดอย่างละอายใจอยู่บ้าง
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอก คราวหลังหวังว่าเธอจะพิจารณาคำแนะนำของฉันให้มากขึ้นนะ”
ถังหย่าฉีเบ้ปาก “ก็ได้ แต่ตอนนี้ยืมเงินมาไม่ได้แล้ว จะเปิดร้านต้องรอสักหน่อยนะ”
“เหอะๆ ไม่เป็นไร เธอไปคุยเถอะ ต่อรองเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวฉันออกเงินเอง”
ที่จริงเมื่อวานซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มคิดเรื่องนี้ ตอนนี้ตนเองรับช่วงต่อบริษัทมาแล้ว ใช้เงินพวกนี้มาลงทุนสักหน่อยชั่วคราวก็ไม่เป็นไร
อย่างไรก็เป็นการยืมเงินบริษัท หรือคืนรายได้ส่วนนั้นของตัวเองให้บริษัท เขาก็รับได้ทั้งนั้น
“อย่างนั้นไม่ได้สิ ทั้งเทคนิคกับการจัดการก็เป็นนายทั้งหมด ฉันต้องเป็นคนลงทุนสิ เดี๋ยวไว้ฉันคิดหาวิธีแล้วกัน” ถังหย่าฉีถอนหายใจพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ยังไงเธอก็ต้องยืมทั้งหมดนี่ ยืมฉันไปไม่ดีกว่าเหรอ ถือว่ายืมเหมือนกัน โอเคไหม”
ถังหย่าฉีได้ยินก็หันหน้ามา “จริงเหรอ จื่อเซวียน นายเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนกัน”
“เรื่องนี้เธอไม่ต้องสนใจหรอก ฉันยืมมาได้ รอเธอมีเงินค่อยคืนให้ฉัน แล้วฉันค่อยคืนเงินไปก็พอแล้ว”
“จริงนะ นายยืมเงินขนาดนี้มาได้เหรอ พระเจ้าช่วย…ฉันประเมินนายต่ำไปจริงๆ” ถังหย่าฉีพูดอย่างตกใจ
“เรื่องนี้สบายใจแล้วใช่ไหม รีบกลับบ้านเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ถังหย่าฉีมุ่ยปาก “นายอยากให้ฉันกลับขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง หลักๆ คือวันนี้เธอก็ต้องพักผ่อน พักแล้วก็รีบไปเจรจาเรื่องร้านต่อนะ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด
“หึ อย่างนั้นก็ได้ ถือว่าคำตอบของนายผ่านแล้ว!”
จากนั้น พวกเขาก็ส่งถังหย่าฉีกลับบ้าน แล้วซ่งจื่อเซวียนก็ให้ซางเทียนซั่วขับรถตรงไปที่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์
จนถึงตอนนี้ หลังจากรับช่วงต่อมาเขาก็ยังไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทจริงๆ มาก่อน เขาเตรียมตัวว่าก่อนจะมาทำงานที่นี่ แก้ปัญหาเรื่องที่ใหญ่ที่สุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นั่นก็คือนายท่านฉินลิ่ว การแก้ปัญหาก้าวแรกเรื่องนายท่านฉินลิ่วก็คือจัดการคนข้างกายเขา ตอนนี้เจ้าเจี้ยนยอมแล้ว ถัดไปก็จั่วอู่
ซ่งจื่อเซวียนเห็นที่ตั้งของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จากในข้อมูลเช่นกัน จึงจดจำมา การไปครั้งนี้รู้สึกเหมือนไปแบบนอกเครื่องแบบอยู่บ้างเล็กน้อย
ชื่อเต็มของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ชื่อว่าบริษัท อวี่เฟิงซินีมา จำกัด ที่ตั้งอยู่ที่เขตชานเมืองตะวันออก ห่างกับที่ถังหย่าฉีอยู่คนละโยชน์ ต้องใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่า
“อาจารย์ เพิ่งออกมาจากคลับเฮาส์ อาจารย์ก็ไปบริษัทภาพยนตร์ต่อ นี่นับว่าเป็นการทำงานของผู้บริหารสูงสุดแล้วสินะ ฮ่าๆ!”
ซางเทียนซั่วพูดหยอกเย้าเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองเขา “ฉันจะบอกนายนะว่าแซะฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ระวังฉันจะไล่ออกจากสำนัก!”
“ได้ครับ อาจารย์เอาเรื่องนี้มากดดันผมได้นี่ ก็ได้ ไม่พูดแล้ว” ซางเทียนซั่วยิ้มพูด
ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม “ไม่เข้าไปไม่ได้ ฉันเริ่มช้า คนพวกนี้เร็วกว่าฉัน โดยเฉพาะนายท่านฉินลิ่วนั่น เอาเขาลงไม่ได้…อนาคตบริษัทคงไม่มีวันสงบสุขแน่”
ซ่งจื่อเซวียนพูดก็พลันนึกถึงซ่งอวิ๋นฮั่น พูดจากใจจริง เขาไม่รู้ว่าพ่อของตนจะยืนหยัดได้อีกกี่วัน…
“นายท่านรองวางใจ ขอแค่เป็นเรื่องที่คุณจะทำ รุ่ยจื่อคนนี้ก็จะพุ่งไปข้างหน้า จะเรื่องไหนก็ฟังคำสั่งของคุณ”
เห็นฟางรุ่ยเป็นเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า รู้สึกซาบซึ้งมาก
ตอนแรกคนคนนี้เป็นคนที่อยากจะฆ่าตนเอง ตอนนี้กลับกลายเป็นหนึ่งในคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดข้างกาย
ซ่งจื่อเซวียนหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุด ขณะเดียวกันก็ลดกระจกหน้าต่างรถลง
แต่บุหรี่ยังไม่ทันเข้าปาก จู่ๆ สองตาของเขาก็หรี่ลง สายตาจดจ้องแน่วแน่ไปที่โรงแรมข้างทางแห่งหนึ่ง
“เทียนซั่ว จอดรถ เร็ว!”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เหยียบเบรกอย่างแรง
“เกิดอะไรขึ้นอาจารย์ ที่นี่จอดรถไม่ได้นะ เฮ้อ…สองร้อยหยวนอีกแล้ว!”
“เอาน่า เดี๋ยวฉันให้นายเอง พวกนายดูตรงนั้น!” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางชี้ออกไปนอกรถ
ตอนนี้เอง ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็มองตามไป
เห็นแค่หน้าร้านอาหารข้างทางสามชั้นแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘จวนรสชาติที่แท้จริง’ มีกลุ่มวัยรุ่นกำลังรุมคนคนหนึ่งอยู่
และคนที่โดนทำร้ายสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมขาวหมดแล้ว หมวกขาดๆ โดนต่อยตีจนตกลงบนพื้นห่างออกไปสามถึงห้าเมตร
“ให้ตาย สี่รุมหนึ่งเหรอ แถมยังกระทืบคนแก่อีก”
“พวกนายดูคนแก่คนนั้นสิ เหมือน…ปู่กุ่ยไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเบิกตากว้าง
ทั้งสองมองอีกรอบ ซางเทียนซั่วพูดว่า “เช็ดเข้ เหมือนจริงด้วย เป็นตาแก่นี่จริงๆ ก็ว่าทำไมไม่ได้ไปดื่มเหล้าที่ร้านเราตั้งนาน ตะลอนมาโดนกระทืบอยู่นี่นี่เอง…”
“เทียนซั่ว รุ่ยจื่อ ไป ไปดูหน่อย!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจคำพูดของซางเทียนซั่ว เปิดประตูลงจากรถทันที วิ่งไปที่กลุ่มคนพวกนั้น
พวกเขาพุ่งลงจากรถไป ฟางรุ่ยย่อมวิ่งไปด้านหน้าสุด ไม่กี่วินาทีก็ถึงคนกลุ่มนั้น เขาดึงคอเสื้อคนคนหนึ่งกระชากออกมา
ตามด้วยยกเท้าถีบอีกคน คนคนนั้นเจ็บจนร้องออกเสียง ลอยออกไปสองสามเมตร กระแทกกับพื้นอย่างแรง
ตอนนี้เอง ซางเทียนซั่วก็ถึงแล้ว ถือโอกาสตอนที่มีคนคนหนึ่งกระทืบปู่กุ่ย ง้างหมัดชกเข้าไปที่คางของคนคนนั้น คนคนนั้นซวนเซล้มลงไปข้างหลัง มึนหัวลุกไม่ขึ้นครู่หนึ่ง
ที่เหลืออีกคนเห็นท่าทีก็ไม่กล้าลงมือ เขาถอยหลังไปสองสามก้าว “พวกแก…พวกแกเป็นใคร!”
ซ่งจื่อเซวียนเดินขึ้นหน้าไป “พวกวัยรุ่นสี่ห้าคนกระทืบคนแก่คนหนึ่งเนี่ยนะ พวกแกแม่งไม่มีพ่อแม่หรือไง”
“แม่ง เสนอหน้าไม่เข้าเรื่อง ก็กระทืบไปแล้วแล้วมันทำไมล่ะวะ รู้ไหมว่าร้านพวกข้าใครคุม”
เพิ่งพูดจบ ซางเทียนซั่วก็ยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่ง ถีบเข้าที่ท้องน้อยของชายคนนี้ เจ็บจนเขาคุกเข่าลงไปทันที หน้าแดงก่ำไปหมด
“แม่ง ร้านพวกแกใครคุมเล่า บอกให้ข้าฟังหน่อย ไอ้สัต*!” ซางเทียนซั่วร้องด่า
คนคนนั้นมือข้างหนึ่งกุมท้องน้อย อีกมือหนึ่งชี้ไปที่ซางเทียนซั่ว “ได้ ไอ้เวร แกแม่งหาที่ตาย ร้านอาหารนี่เป็นของนายท่านรองซ่งเว้ย!”
พวกเขาได้ยินก็อึ้งไป โดยเฉพาะซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยต่างมองมาที่ซ่งจื่อเซวียนทั้งคู่
“เชี่ย อาจารย์ ของอาจารย์เหรอ เมื่อกี้…ผมต่อยคนกันเองหรือเปล่า” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองเขา “พาไปตรงนู้น”
“พวกข้าไม่รู้จักนายท่านรองซ่งอะไรนั่น วันนี้เรื่องที่พวกแกกระทืบคนแก่ข้าจะจัดการ ถ้าแกไม่ยอมแพ้ ก็เรียกนายท่านรองของพวกแกมาเจอข้าได้เลย!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ที่จริงขณะที่พูด จู่ๆ เขาก็คิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง นายท่านรองซ่ง…นอกจากตัวเขาเองที่ถูกเรียกแบบนี้ อีกคนก็คืออารองของเขาซ่งอวิ๋นหล่าง
ไม่มีทางบังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง
ไม่ใช่ว่าอารองดูแลตลาดเขตเฉิงเป่ยเหรอ ทำไมถึงเปิดร้านอาหารอีกล่ะ
แต่พอคิดดู พื้นที่ส่วนนี้ก็อยู่ในเขตเฉิงเป่ย เขาจะเปิดร้านที่นี่เพื่อความสะดวกสักร้านก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“นายท่านรองของพวกข้าไม่อยู่ ถ้าอยู่พวกแกได้ตายแน่ ไอ้สัต*!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ย่อตัวลง จับผมของคนคนนั้นเอาไว้ “นายท่านรองของพวกแกชื่ออะไร”
“เหอะๆ ซ่งอวิ๋นหล่าง เคยได้ยินไหมวะ คนในเขตเฉิงเป่ยที่กล้ายั่วยุนายท่านรองมีไม่มากหรอก พวกแกกล้ามาก!” คนคนนั้นพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ซ่งจื่อเซวียนคิดทบทวนในใจครู่หนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ “โอเค ฉันรู้แล้ว เทียนซั่ว รุ่ยจื่อ พอปู่กุ่ยขึ้นรถ พวกเราไปกันเถอะ!”
พูดจบ พวกเขาก็ประคองปู่กุ่ยขึ้น เดินไปที่รถเก๋ง
ชายคนนั้นกัดฟันพูด “แม่งเอ๊ย รู้จักกลัวแล้วเรอะ กล้าก็อย่าหนีสิวะ!”
………………………………………..