เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 182 ผู้สังเกตการณ์
ตอนที่ 182 ผู้สังเกตการณ์
เช้าวันรุ่งขึ้นซ่งจื่อเซวียนติดต่อหาจางเปียว เมื่อรู้ว่าเสี่ยปาจัดครัวในภัตตาคารเหล่าปาให้แล้ว เขาจึงเรียกแท็กซี่ไปที่นั่นทันที
วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายนั้นซับซ้อนและในร้านไม่ได้มีทั้งหมด แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจ วันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำน้ำแกงห้าสายที่แท้จริง
หลังจากยุ่งไปสักพัก ในที่สุดน้ำแกงห้าสายก็ออกมาจากหม้อ เขาลองดมเองก็รู้สึกว่ากลิ่นไม่ถูกต้องและแตกต่างกันมาก
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “ท่านอธิบดีลู่ วันนี้ต้องรบกวนคุณกินน้ำแกงห้าสายนี้แล้วแหละ”
หลังจากนั้นเขาก็โทรหาซางเทียนซั่วให้มาที่ภัตตาคาร และทั้งสองก็ขับรถตรงไปที่สำนักงานควบคุมตลาด
เมื่อจอดรถแล้วซ่งจื่อเซวียนก็ดูเวลา สิบเอ็ดโมงครึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมจึงให้ซางเทียนซั่วรอในรถแล้วเขาก็เดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปชั้นแรก ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นหวังเฉียงเดินออกมาจากลิฟต์
แต่ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ทันได้พูดอะไร หวังเฉียงก็โบกมือทันทีแล้ววิ่งเหยาะๆ เข้าไป “น้องจื่อเซวียน นายมาแล้วเหรอ มาหาท่านอธิบดีลู่ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ครับ ผู้อำนวยการหวังยุ่งอยู่สินะครับ”
หวังเฉียงคลี่ยิ้ม “ดูนายสิ ฉันก็เรียกนายว่าน้องแล้ว แต่นายยังเรียกฉันว่าผู้อำนวยการอยู่เลย นี่มันน่าเบื่อไปหน่อยมั้ง หลังจากนี้เรียกว่าพี่หวังก็ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจทันทีว่าที่หวังเฉียงปฏิบัติกับเขาเช่นนี้เพราะรู้ว่าเขาและลู่ลี่จวินค่อนข้างสนิทกันแล้ว คนในแวดวงราชการจะสัมผัส…ได้ไวมาก
“แหะๆ พี่หวัง…มัน…ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมหรอก” ขณะที่พูด หวังเฉียงเห็นกระติกเก็บความร้อนในมือซ่งจื่อเซวียนและรู้ทันทีว่าจะมอบให้ลู่ลี่จวิน “วันนี้ท่านอธิบดีลู่เข้างานวันแรก เพิ่งประชุมเสร็จเมื่อกี้ ฉันจะพานายขึ้นไปเอง”
“รบกวนด้วยครับ”
จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานอธิบดีชั้นสี่ หวังเฉียงก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เมื่อไปส่งซ่งจื่อเซวียนแล้วก็ปลีกตัวออกไป
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนมาแล้ว ลู่ลี่จวินก็เผยรอยยิ้มในทันที “เสี่ยวซ่ง นายมาแล้ว วันนี้ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
“แหะๆ ท่านอธิบดีลู่ ผมถึงได้นำมาให้คุณยังไงล่ะครับ”
“ไอ้หยา พูดแล้วก็ละอายใจ โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วยังจะตะกละอีก”
ลู่ลี่จวินรับกระติกเก็บความร้อนมาแล้วเปิดฝา
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแล้วกล่าว “เป็นเรื่องปกติครับ อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับท่านอธิบดีลู่ก็ไม่มีข้อยกเว้นหรอก”
“นั่นสิ นั่นสิ” ลู่ลี่จวินยิ้มแล้วหยิบชามออกมา แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังไม่ได้กินแต่แค่ดมกลิ่นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เอ่อ…เสี่ยวซ่ง นายไม่ได้เอามาผิดใช่ไหม”
“หา? ไม่นะครับ น้ำแกงห้าสายนี้ผมทำให้คุณเท่านั้น” ซ่งจื่อเซวียนพูดและจงใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ลู่ลี่จวินอดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นอีกครั้ง ความอยากอาหารของเขาไม่ดีเท่าสองครั้งก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
เขาชิมน้ำแกงตรงขอบชามแล้วพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เอ่อ…เสี่ยวซ่ง วันนี้รสชาติมันแปลกๆ นะ”
“มีอะไรผิดเหรอครับ ไม่มีทาง…”
ซ่งจื่อเซวียนหยิบขึ้นมาดมกลิ่นและเผยสีหน้าโมโหทันที “จริงด้วยครับ เฮ้อ ต้องเป็นเพราะส่วนผสมแน่ๆ หูฉลามที่ผมใช้เกรดสูงทั้งนั้น แต่ใส่ลงไปไม่ได้…”
“หืม เสี่ยวซ่ง นายหมายความว่าไง” ลู่ลี่จวินถามด้วยสีหน้างุนงง
ซ่งจื่อเซวียนทำสีหน้าลำบากใจ สับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นมา “ท่านอธิบดีลู่ จริงๆ แล้ว…ผมไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับคุณเลย ประเด็นคือผมกลัวว่าคุณจะคิดว่าผมขอให้คุณช่วยทำอะไรบางอย่างให้ เพราะงั้น…”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดครู่หนึ่ง
ลู่ลี่จวินมึนงงจึงพูดว่า “เสี่ยวซ่ง นายหมายถึงอะไรกันแน่ อยากให้ฉันทำบางอย่างให้เหรอ ถ้ามันเป็นเรื่องสุจริตและเป็นไปตามกฎก็ได้อยู่นะ”
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญสักพักแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ คืออย่างนี้ครับท่านอธิบดีลู่ คุณก็รู้ว่าผมมีร้านอาหารเล็กๆ อยู่แล้วผมก็ทำน้ำแกงห้าสายเมนูนี้ให้คุณจากร้านนี้มาตลอด แต่ว่า…ช่วงนี้ที่ร้านโดนปิดครับ”
เมื่อลู่ลี่จวินได้ยินก็ชะงัก “อะไรนะ โดนปิดเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างคลุมเครือ “ใช่ครับ ท่านอธิบดีลู่ ผม…ขอโทษจริงๆ ครับ ขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวังในตัวผม”
ลู่ลี่จวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “มันเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวซ่ง นายทำผิดกฏหมายหรือเปล่า หรือมีบางอย่างที่ไม่สอดคล้องตามหลักสุขอนามัยหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ทั้งนั้นครับ โธ่ ท่านอธิบดีลู่ ผมไม่รู้จะบอกคุณยังไงจริงๆ ในเมืองตู้เหมินคุณเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนผมเป็นประชาชนคนธรรมดา เรื่องบางอย่างควรมาให้คุณแก้ไขจริงๆ แต่…ผมอายนิดหน่อยครับ”
คำพูดนี้ทำให้ลู่ลี่จวินสับสนมาก เขาหรี่ตาลงแล้วเอ่ย “ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ น้ำแกงห้าสายดีๆ กลายเป็นแบบนี้ แล้วร้านของนายก็มาโดนปิดอีก เสี่ยวซ่ง ฉันไม่เข้าใจ”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องวันที่มีทีมตรวจสอบและคนจากสมาคมมาปิดร้านอาหาร
ลู่ลี่จวินพยักหน้าช้าๆ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนี่เอง เสี่ยวซ่ง เราเป็นเพื่อนกัน นายต้องบอกความจริงมาว่าร้านอาหารของนายใส่เครื่องปรุงต้องห้ามไปหรือเปล่า นายเป็นคนฉลาดก็น่าจะรู้ว่าทำเรื่องละเมิดกฎไม่ได้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนก้มหน้าลงและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่ครับ ผมรู้ แต่…
แต่ท่านอธิบดีลู่ ผมมีบางอย่างที่อยากจะบอกคุณ แต่…กลัวว่ามันจะไม่ค่อยเหมาะสม”
“พูดมา ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งก็ตาม ว่ามา!” เมื่อเจอคำพูดที่คลุมเครือของซ่งจื่อเซวียน ลู่ลี่จวินก็ร้อนอกร้อนใจขึ้นมาจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนแสร้งทำเป็นสับสนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมา เปิดวิดีโอแล้วยื่นให้ลู่ลี่จวินดู
เมื่อดูวิดีโอ ลู่ลี่จวินก็แสดงสีหน้าตั้งแต่เรียบเฉยไปจนถึงเหนือความคาดหมาย จากนั้นก็ตกใจจนโมโหในที่สุด
เขาชี้ไปที่วิดีโอในโทรศัพท์แล้วเอ่ยถาม “นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนคนนี้เป็นใคร”
“คือ…จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้จักเขาเหมือนกัน ได้ยินจากสหายทีมตรวจสอบในตอนนั้นว่าเขาเป็นอาจารย์เฝิงจากสมาคม ผมก็ไม่รู้รายละเอียดชัดเจนครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“ช่างน่ารังเกียจ บ้าไปแล้ว เป็นคนทำงานเพื่อประเทศกลับมาทำเรื่องแบบนี้งั้นเหรอ ใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิดให้พ่อค้า นี่เป็นสไตล์การทำงานที่ควรจะเป็นในหน่วยงานตลาดของเราเหรอ”
ลู่ลี่จวินตบโต๊ะและตะโกนด้วยความโกรธ
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ ยิ่งลู่ลี่จวินโกรธมากเท่าไรก็ยิ่งมีกำลังในการแก้ไขปัญหามากขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งเป้าหมายสูงสุดของซ่งจื่อเซวียนคือต้องการจะบอกหวงฟาว่าขวางฉันให้มันน้อยๆ หน่อย!
“นี่มันมากเกินไปแล้ว เสี่ยวซ่ง ฉันถามอะไรหน่อย วิดีโอนี้ที่นายให้มาเป็นเรื่องจริงเหรอ” ลู่ลี่จวินเอ่ยถาม
“เรื่องจริงครับ ถ่ายจากกล้องวงจรปิดในร้านผม ตรวจสอบจากแผนกไหนก็ได้ ไม่ได้ใช้โฟโต้ชอปแน่นอนครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ลู่ลี่จวินดูวิดีโออีกครั้ง “เครื่องปรุงต้องห้ามที่พวกเขาพูดถึงตอนนั้นก็คือถุงสีขาวนี้เหรอ”
“ใช่ครับ ตอนนั้นผมกับพนักงานในร้านไม่พอใจกันมาก แต่ท่าทางของพวกเขา…”
“เผด็จการมากใช่ไหม” เมื่อเห็นว่าซ่งจื่อเซวียนไม่พูดออกมา ลู่ลี่จวินเลยพูดตรงๆ
“ครับ…เราเลยไม่กล้าพูดอะไร วันรุ่งขึ้นตอนกำลังกินข้าวเที่ยงกันพวกเขาก็มาสั่งปิดร้าน ยังบอกผมอีกว่าให้เตรียมตัวเข้าคุก…”
ซ่งจื่อเซวียนแทบจะพูดเรื่องร้ายแรงออกมาหมด เพราะอยากจะให้เรื่องนี้มุ่งไปที่เฝิงต๋าโดยตรง
ทว่าเขาเข้าใจดีว่าคนที่ริเริ่มเรื่องนี้ไม่ใช่เฝิงต๋า ดังนั้น…จะไม่พูดเกี่ยวกับคนที่ขับรถป้ายทะเบียนเลขห้าสี่ตัวคนนั้นไม่ได้
“จริงสิท่านอธิบดีลู่ จริงๆ แล้ว…ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ”
“หืม?” ลู่ลี่จวินมองซ่งจื่อเซวียนและเข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาเห็น “พูดมา บอกมาให้หมด ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้นายเอง!”
จากท่าทีของลู่ลี่จวิน บวกกับคำพูดนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกมั่นใจจริงๆ
แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่แรกที่เขาไปหาหวังเฉียงผ่านทางหลินเทียนหนาน จนถึงวันนี้ที่ลู่ลี่จวินพูดคำนี้ออกมา เขาชนะเกมหมากรุกทั้งกระดานแล้ว
“ท่านอธิบดีลู่ มีคนใหญ่คนโตในวงการอาหารเมืองตู้เหมินเคยมาถามสูตรลับข้าวผัดจักรพรรดิกับผม แต่โดนผมปฏิเสธ เสี่ยคนนี้บอกว่าจะปิดร้านอาหารของผมภายในสามวัน เพราะงั้น…”
“นายสงสัยว่ากี่ยวกับการที่ร้านอาหารของนายถูกปิดงั้นเหรอ”
ลู่ลี่จวินสูดหายใจเข้าลึกๆ และตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา
หากเป็นเพียงคนจากทีมตรวจสอบหรือสมาคมที่ขัดขวางเรื่องนี้ เรื่องนี้คงถือเป็นความขัดแย้งภายในสำนักงานควบคุมตลาดของพวกเขา
แต่หากคนที่มีฐานะทางสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ปัญหาก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นและปะปนกับประเด็นต่างๆ ภายใน เช่น การติดสินบน การรับสินบน การใช้อำนาจในทางที่ผิด เป็นต้น และระดับความร้ายแรงก็จะแตกต่างไปโดยปริยาย
“คนที่นายพูดถึงคือใคร”
“หวงฟา คนเรียกกันว่าเสี่ยหวงครับ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
เมื่อลู่ลี่จวินได้ยินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ชื่อนี้ไม่แปลกสำหรับเขา หวงฟาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอาหารที่มีชื่อเสียงในเมืองตู้เหมิน เพียงแต่ในสายตาของลู่ลี่จวินและคนอื่นๆ นั้น คนคนนี้มีภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอด
เพราะหวงฟามักจะแสดงท่าทีสง่าผ่าเผยต่อหน้าภาครัฐ แต่กับประชาชนนั้น…
ลู่ลี่จวินย่อมเข้าใจหลักการนี้
“นายมีหลักฐานไหม” ลู่ลี่จวินเอ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “มีครับ หวงฟาบอกให้ผมปิดร้าน นี่เป็นข้อสงสัยอันดับแรก และสองวันที่ผ่านมาเพื่อนผมบังเอิญไปเจอหวงฟาต้อนรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คลับเฮาส์ถงเชวี่ยไถ”
“ใคร? คนในสำนักงานเราเหรอ” อารมณ์ของลู่ลี่จวินมาถึงจุดเดือดอย่างเห็นได้ชัด
หากมีคนคดโกงเช่นนี้ในสำนักงานจริงๆ เขาซึ่งเป็นอธิบดีคงไม่ให้อภัยแน่นอน
“ผมไม่รู้จักครับ แต่เขาคนนั้นนั่งรถรุ่นพาสสาทป้ายทะเบียนเลขห้าสี่ตัว ผมเคยเห็นรถคันนี้แถวสำนักงานด้วยครับ!”
ลู่ลี่จวินลดคิ้วลงเล็กน้อยแล้วพยักหน้าช้าๆ
ในไม่ช้าเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดหมายเลขหนึ่ง “หวังเฉียง ในสำนักงานของเรารถใครมีป้ายทะเบียนเลขห้าสี่ตัวน่ะ”
แผนกสำนักงานมีไว้เพื่อบริการเหล่าผู้บริหารโดยเฉพาะ เท่ากับเป็นผู้ช่วยงานต่างๆ ของผู้บริหาร และเพราะเหตุผลนี้จึงมีเส้นสายภายในและรับรู้ข่าวในแวดวงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเรื่องแบบนี้ลู่ลี่จวินต้องถามหวังเฉียงอยู่แล้ว
“ท่านอธิบดีลู่ คุณกำลังพูดถึงรถของสำนักงานหรือรถส่วนตัวครับ” เห็นได้ชัดว่าหวังเฉียงตระหนักถึงจุดประสงค์ในคำถามของลู่ลี่จวินและถามอย่างระมัดระวัง
“ทั้งหมดนั่นแหละ ถ้ารู้ก็บอกฉันมา!”
“มีครับ คือ…รองประธานเฉิงเทียนเย่าจากสมาคมอาหารครับ”
“เทียนเย่า?” ลู่ลี่จวินอดตะลึงไม่ได้
เนื่องจากเป็นผู้นำในแวดวง ปกติบุคลิกของเฉิงเทียนเย่าเป็นคนดี เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไอ้หมอนี่จะมีด้านนี้แอบแฝงอยู่
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสาย ลู่ลี่จวินก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยว่า “เสี่ยวซ่งเอ๊ย นายไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้แล้ว นายกลับไปก่อนแล้วรอสายจากฉัน ฉันจะให้ผลลัพธ์ที่นายพอใจแน่นอน!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับ “ขอบคุณครับท่านอธิบดีลู่ ผมหวังว่าคุณจะให้คำอธิบายกับผมและพนักงานของผมได้นะครับ!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลู่ลี่จวินก็กระตุกยิ้ม “ไอ้หนู นายอดทนมาเพื่อวันนี้ตั้งนานแล้วใช่ไหม”
“หา? ผม…” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก ในใจคิดว่าลู่ลี่จวินไม่ใช่คนธรรมดา เดิมทีตัวเองคิดว่าเขาเป็นเบี้ยในเกมนี้ แต่เมื่อได้ยินความหมายนี้…พื้นฐานแล้วเขาเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เข้าใจเกมหมากรุกทั้งหมด
“แล้วยังจงใจทำน้ำแกงห้าสายแบบนี้ให้ฉันด้วยใช่ไหม ฉันขอบอกนายนะว่าหลังจากจบเรื่องนี้ นายจะต้องส่งมาให้ฉันบ่อยๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เสแสร้งอีกต่อไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เฮ้อยินดีจัดให้ครับ!”
……………………………………….