เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 178 การประชุมระดับสูง
ตอนที่ 178 การประชุมระดับสูง
ได้ยินเสียงนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
อย่างไรตอนนี้ก็เป็นเวลาเปิดทำการของบริษัท อีกทั้งมีคนมากมายทำงานกันอยู่เงียบๆ ด้านนอก คนคนนี้เข้ามาก็โหวกเหวกโวยวาย น่าเกลียดจริงๆ
“อาเจิ้ง นี่…”
เจิ้งอวี่มองนาฬิกา “ยังไม่ถึงเวลาเลย ทำไมวันนี้เฮยจื่อมาเร็วขนาดนี้…”
“เฮยจื่อ?” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ใช่ เขาก็คือเจ้าเจี้ยนที่รับผิดชอบธุรกิจคลับเฮาส์ที่ผมเล่าให้คุณฟังไง รูปร่างหน้าตาเขาทั้งดำทั้งอ้วน ทุกคนเลยเรียกเขาว่าเจ้าเฮยจื่อ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “คนคนนี้เก่งมากเลยเหรอ มาบริษัทก็อาละวาดอย่างนี้ตลอดเลยเหรอครับ”
เจิ้งอวี่ย่อมฟังความไม่พอใจจากปากคุณชายออกทันทีอยู่แล้ว เขาพูดอธิบาย “คนคนนี้เป็นคนของฉินจ้ง นายท่านฉินลิ่วน่ะ เจอใครก็เป็นอย่างนี้แหละ ตอนที่คุณซ่งอยู่เขาจะเจียมตัวหน่อย”
“คนแบบนี้ดูแลคลับเฮาส์…เหอะๆ หลีกเลี่ยงผลเสียต่อธุรกิจไม่ได้เลย”
เจิ้งอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ จื่อเซวียน คุณนั่งรอแป๊บหนึ่งนะ ผมไปจัดการก่อน เดี๋ยวตอนที่ประชุมกันผมจะมาเรียกคุณไป”
“ครับ อาเจิ้ง”
หลังจากเจิ้งอวี่จากไป ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นไปเดินดูชั้นวางหนังสือ เขาชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ดึงดูดเขาได้มากที่สุดย่อมเป็นชั้นวางหนังสือในห้องทำงานห้องนี้อยู่แล้ว
เขากวาดสายตาไปเรื่อย ไม่ได้สนใจมากนัก อย่างไรปกติซ่งจื่อเซวียนก็ชอบหนังสือพวกประวัติศาสตร์จีนแผ่นดินใหญ่ เห็นผลงานการประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนอกพวกนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
เขาจึงหยิบหนังสือปกขาวเล่มหนึ่งออกมาอย่างถือวิสาสะ
ปกหนังสือของหนังสือปกขาวเล่มนี้ห่อด้วยกระดาษปฏิทิน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่รู้ว่าเป็นหนังสืออะไร
แต่พอเปิดดูถึงรู้ว่า เป็นสมุดบันทึกของซ่งอวิ๋นฮั่น
หลักๆ ก็คือพวกบันทึกการทำงาน เขียนได้ละเอียดมาก เห็นเนื้อหาพวกนี้แล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็แอบนับถือในใจ ที่จริงชีวิตของซ่งอวิ๋นฮั่นละเอียดรอบคอบและเข้มงวดมาก
ตอนที่เขาพลิกหน้ากระดาษ ภาพถ่ายใบหนึ่งก็ร่วงลงมา
เป็นภาพถ่ายสีที่มีคราบสีเหลืองแล้วใบหนึ่ง สีของภาพเทียบไม่ได้กับภาพถ่ายในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีอายุอยู่บ้าง
มองภาพถ่ายใบนั้น สองตาของซ่งจื่อเซวียนก็ชื้นขึ้นมาทันที
เป็นภาพที่ครอบครัวถ่ายด้วยกันเมื่อตอนนั้นนั่นเอง ซ่งอวิ๋นฮั่นกำลังอุ้มซ่งอีหนาน ส่วนซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ในผ้าห่อทารกยังถูกหานหรงผู้เป็นแม่โอบอุ้มไว้ในอก
น้ำตาไหลลงมาสองสามหยด ซ่งจื่อเซวียนแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย
ตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ซ่งจื่อเซวียนรีบเช็ดน้ำตา เอาสมุดปกขาวเก็บไว้ที่เดิม ขณะเดียวกันก็ปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง
หลังจากนั้น เจิ้งอวี่ก็ผลักประตูเข้ามา “จื่อเซวียน คนมากันครบแล้ว เราไปกันเถอะ”
เจิ้งอวี่นอบน้อมมาก เขารู้ว่านี่เป็นห้องทำงานของซ่งอวิ๋นฮั่น ต่อให้ซ่งจื่อเซวียนอยู่ด้านในตอนนี้ก็ยังคงเคารพเช่นเคย เคาะประตูก่อนถึงเข้ามา
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ทั้งสองเดินออกไป
ตอนที่เดินเข้าไปในห้องประชุม ที่จริงก็เหนือกว่าที่ซ่งจื่อเซวียนคาดไว้เล็กน้อย
ตอนที่เข้าบริษัทมา ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งที่มีสไตล์มากของที่นี่ หรือจะเสื้อผ้าที่ทุกคนสวมใส่กันมาอย่างเป็นทางการ ล้วนทำให้รู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพมาก
ดังนั้นเขาถึงโกรธที่ได้ยินเจ้าเจี้ยนหรือเจ้าเฮยจื่อนั่นโหวกเหวกโวยวายขณะที่เดินอยู่ตรงทางเดิน
และตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับสภาพแวดล้อมอ่อนโยนและคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้
ตรงกลางห้องประชุมมีโต๊ะประชุมทรงกลมขนาดใหญ่ ที่นั่งตรงกลางว่าง เห็นได้ชัดว่าเหลือไว้ให้ซ่งอวิ๋นฮั่น
สองที่นั่งด้านข้าง ด้านหนึ่งเป็นผู้ชายสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงิน ดูท่าทางอายุสี่สิบกว่าปี ผมหยักศกเล็กน้อย ทำให้รู้สึกดูแล้วไม่มีชีวิตชีวาเท่าไร
อีกคนเป็นชายอายุหกสิบกว่าปี สวมเสื้อคอจีนสีดำ ด้านหลังศีรษะปาดเจลจนเงาวับ เหนือริมฝีปากมีหนวดขนาดหนึ่งนิ้ว บนมือสวมแหวนทองสองสามวง
ส่วนสองคนถัดมา คนหนึ่งผอมมาก สวมเสื้อสูทจงซานเกรดต่ำ ชายแขนเสื้อและปกคอเสื้อไม่เป็นทรงเล็กน้อย ปลดคอเสื้อเผยให้เห็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงสีเขียว
อีกคนร่างกายกำยำมาก ท่าทางอายุสามสิบสี่สิบปี แต่ผิวดำมากเป็นพิเศษ หน้าตาดุร้าย
แวบเดียวซ่งจื่อเซวียนก็นึกได้ว่าคนคนนี้น่าจะเป็นเจ้าเฮยจื่อ รูปลักษณ์ภายนอกชัดเจนมาก
ส่วนชายคนนั้นที่สวมเสื้อคอจีนสีดำน่าจะเป็นฉินจ้งที่เจิ้งอวี่เล่าให้ฟัง นายท่านฉินลิ่ว อาจจะมีแค่เขาที่มีรัศมีเป็นนายท่านอยู่บ้าง
ที่สุดท้ายดูแล้วจะอยู่ชิดผนังห้องประชุมนี้อยู่บ้าง สวมสูทสีเทา ผมเผ้าหวีอย่างเรียบร้อย
เห็นเจิ้งอวี่เดินเข้ามาในห้องประชุม พวกนายท่านฉินลิ่วและเฮยจื่อก็ชำเลืองมองแวบหนึ่ง มีเพียงชายสวมสูทที่นั่งตรงที่สุดท้ายที่ยืนขึ้น
“คุณเจิ้งมาแล้ว”
เจิ้งอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ผู้จัดการเฮ่อเพิ่งมาถึงเหรอครับ”
“ใช่ครับๆ มีเรื่องล่าช้านิดหน่อย ไม่ได้สายใช่ไหมครับ”
“เหอะๆ ไม่ได้สายเลยครับ”
เจิ้งอวี่พูดจบ ก็ตรงไปลากเก้าอี้ข้างผนังไปนั่งข้างๆ ที่นั่งตรงกลาง เห็นได้ชัดว่าแม้ซ่งอวิ๋นฮั่นจะไม่ได้มา แต่ก็ยังเหลือที่นั่งไว้ให้เขา
“ทุกท่านครับ ผมรู้ว่าทุกท่านยุ่งมาก แต่วันนี้ก็เป็นคุณซ่งที่สั่งให้ผมมารับทราบสถานการณ์ของทุกคน ดังนั้น…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นผู้เฒ่าที่สวมเสื้อคอจีนสีดำคนนั้นข้างๆ ยกมือขึ้น “ช้าก่อน เขาเป็นใคร”
เขาพูดพลางชำเลืองมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง
คนอื่นๆ ก็มองไปเช่นกัน คนหน้าดำนั้นพูดว่า “นั่นสิ ทำไมถึงมีคนนอกอยู่ที่นี่”
“แหะๆ นายท่านลิ่ว นี่คือพนักงานใหม่ของบริษัทเรา เพราะงั้นเลยให้เขาเข้าร่วมด้วย ก็เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของบริษัทครับ”
“พนักงานใหม่?” นายท่านฉินลิ่วมองซ่งจื่อเซวียนอย่างละเอียด พูดว่า “หึ พนักงานใหม่เข้าร่วมการประชุมสูงสุดของบริษัทได้ยังไง เจิ้งอวี่ นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม”
ถึงอย่างไรตามกฎ การประชุมระดับสูงเช่นนี้ไม่สามารถมีบุคคลภายนอกเข้าร่วมได้ ดังนั้นเจิ้งอวี่ก็ทำได้แค่อธิบายไปแบบนี้
นายท่านฉินลิ่วแค่นเสียง มองไปยังชายคนที่สวมเสื้อสูทเป็นทางการที่สุดทันที พูดว่า “เฮ่อเหว่ย ทางตลาดเฉิงหนานกำไรเดือนที่แล้วทะลุเป้าไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เห็นพวกนายแบ่งมาสักหน่อยเลยล่ะ”
ได้ยินดังนั้น เฮ่อเหว่ยก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้รีบร้อนแจกแจง
ส่วนชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงินพูด “นายท่านลิ่ว คุณก็ใจร้อน เรื่องอะไรทำไมไม่ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นทีละตอนล่ะครับ กำไรทั้งหมดต้องรอบัญชีของบริษัทคำนวณเสร็จก่อนถึงค่อยคุยกัน”
“ไม่ใจร้อนเหรอ เหอะๆ นายไม่รีบ คนที่ซื้อขายน่ะแซ่ซ่ง นายก็ต้องไม่ใจร้อนอยู่แล้วสิ!” นายท่านฉินลิ่วพูดเสียงเย็น
พอได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่ผู้ชายคนนั้นอีกรอบทันที
แซ่ซ่งเหรอ งั้นเขาก็น่าจะเป็นอารองล่ะมั้ง
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยเจอกับอารองซ่งอวิ๋นหล่างมาก่อน แต่พอได้เจอวันนี้ กลับมีเงาร่างของซ่งอวิ๋นฮั่นอยู่บ้างจริงๆ
พี่น้องคู่นี้สิ่งที่เหมือนกันที่สุดก็คือความสุภาพ หน้าตาซ่งอวิ๋นหล่างก็ขาวซีดมาก ถึงเขาจะอายุถึงวัยกลางคนแล้ว กลับพริ้มเพราอยู่บ้าง
เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว จิงชี่เสิน[1]ของซ่งอวิ๋นหล่างแย่กว่าเล็กน้อย หน้าขาวซีดไม่ถือว่าแข็งแรงมากนัก
“พูดถูก ทางนายท่านรองไม่ร้อนใจอยู่แล้ว แต่ทางพวกเรา…เหอะๆ การเงินขาดสภาพคล่องมาก”
จู่ๆ ชายหน้าดำก็เปิดปากพูด
ได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นหล่างมองชายหน้าดำ พูดว่า “เจ้าเหล่าเฮย เกี่ยวกับนายที่ไหนวะ กำไรของตลาดเกี่ยวแม่งอะไรกับนาย รายได้คลับเฮาส์ของนายต่ำลงเรื่อยๆ นายจะอธิบายยังไง”
“ให้ตาย ไม่ใช่ว่าเพราะช่วงนี้เข้มงวดหรือไงเล่า ตำรวจลงมาตรวจบ่อยเสียจนพวกสาวๆ ไม่กล้ามาทำงานกันหมด ผมจะทำยังไงได้ล่ะวะ” เจ้าเจี้ยนแค่นเสียงเย็นพูด
ซ่งอวิ๋นหล่างจ้องเขา “บอกให้นายทำธุรกิจบนดินตั้งนานแล้วนายก็ไม่ฟัง ตอนนี้เป็นไง อึ้งเลยสิ นายไม่ให้ส่วยเขา เขาไม่ตรวจนายยับเลยหรือไง”
“ผม…”
ไม่รอให้เหล่าเฮยพูดหนึ่งสองสาม นายท่านฉินลิ่วเปิดปากพูดอีกครั้ง “เรื่องนี้ฉันพิสูจน์ได้นะ ไปสร้างคอนเนกชันไว้แล้ว แต่เขาไม่เห็นเหล่าเฮยเป็นอะไรเลย คุณซ่งไม่ออกหน้ามาตลอดก็ทำอะไรไม่ได้”
ซ่งอวิ๋นหล่างมองชายคนนั้นที่สวมสูทจงซานเกรดต่ำ อดหัวเราะในลำคอไม่ได้
“จั่วอู่ จะว่าไปนายก็ไม่ได้าอะไรเหมือนกัน การลงทุนภาพยนตร์เป็นไงบ้าง ได้ยินมาว่าพวกนายฉายหนังใหม่นี่ รายได้นี่ต้องรายงานนะ”
จั่วอู่ยิ้ม “ใช่ครับๆ สิ่งที่ควรจะรายงานผมรายงานอยู่แล้ว”
“เรื่องการลงทุนภาพยนตร์นายไม่ต้องสนใจหรอก นายท่านรองดูแลตลาดเขตเฉิงเป่ยให้ดีก็พอ อย่างอื่นคุณซ่งปันผลอยู่แล้ว” นายท่านฉินลิ่วพูด
“ฮ่าๆๆ นายท่านลิ่วพูดถูก เรื่องตลาด การลงทุนภาพยนตร์แล้วก็คลับเฮ้าส์นี่ นายท่านฉินลิ่วสอดมือหมด จะไม่ให้คนเขาก้าวก่ายแล้วเหรอ” ซ่งอวิ๋นหล่างยิ้มพูด
นายท่านฉินลิ่วได้ยินก็จ้องเขาเขม็ง “พูดอะไร ปกติข้าทุ่มให้ไปตั้งเท่าไรทำไมไม่ถามเล่า พอจะแบ่งเงินก็แม่งเหิมเกริม!”
“คุณ…” ซ่งอวิ๋นหล่างโกรธเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่านายท่านฉินลิ่วเชิดหน้าขึ้น สีหน้าไม่พอใจ
ไม่กี่นาที ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจคนระดับสูงของบริษัทนี้โดยภาพรวมแล้ว
พูดตรงตามว่า เขาค่อนข้างผิดหวัง มิน่าซ่งอวิ๋นฮั่นถึงได้เป็นห่วงคนระดับนี้
เพิ่งเปิดประชุม เจิ้งอวี่ยังไม่ได้พูดอะไร คนพวกนี้ก็เริ่มกัดกันแซะกันแล้ว อีกทั้งส่วนสำคัญล้วนเป็นเรื่องผลประโยชน์ทั้งสิ้น
ถ้าทำกันแบบนี้ ไม่นานบริษัทได้แตกแยกแน่ อย่างไรต่างคนก็ต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ใครจะถอยได้
ซ่งจื่อเซวียนยังมองในบรรดาคนพวกนี้ออกว่า ตำแหน่งของอารองค่อนข้างสูง แค่เขาเปิดปาก เจ้าเหล่าเฮยคนนั้นก็เฉาแล้ว
แต่ตำแหน่งของนายท่านฉินลิ่วก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย บางทีเป็นเพราะอายุมากกว่า อาวุโสกว่า อีกทั้งตลาด การลงทุนและคลับเฮาส์เขาก็มีอำนาจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ากระตือรือร้นพอสมควร
ซ่งจื่อเซวียนชำเลืองมองนายท่านฉินลิ่ว ถ้าบริษัทแตกแยกจริงๆ อย่างนั้นมั่นใจก่อนได้เลยว่าตาเฒ่าคนนี้จะต้องเป็นคนแรกแน่นอน
อีกคนจั่วอู่ เขาน่าจะเป็นคนใจดี ถึงหลังจากที่เข้ามาก็มีพูดบ้าง แต่ไม่ได้ล่วงเกินใครเลย เป็นกลางตลอด
คนคนนี้น่าจะเป็นคนจริงใจคนหนึ่ง ให้ความสำคัญกับการทำงาน ถ้าไม่ใช่แบบนี้ เช่นนั้นก็เป็นคนฉลาดมากๆ ใช้ความจริงใจมาพรางตัว
สุดท้าย ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่เฮ่อเหว่ยที่นั่งอยู่ท้ายสุด
สำหรับคนคนนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกถึงสัญญาณเตือนทันที
คนคนนี้…ไม่ธรรมดา
นับตั้งแต่เปิดประชุมจนถึงตอนนี้ แทบจะไม่ได้เอ่ยปากเลย หัวข้อเกี่ยวพันถึงเขาก็หลีกเลี่ยงไปได้สำเร็จตลอด
อีกทั้งได้ยินที่พวกเขาเรียกชื่อเฮ่อเหว่ยเมื่อครู่ ซ่งจื่อเซวียนก็คิดถึงภาพที่ตลาดอาหารทะเลเขตเฉิงหนานทันที
เฮ่อเหวินข่าย!
สาเหตุที่เฮ่อเหวินข่ายอาละวาดขนาดนั้นเป็นเพราะว่าพ่อเขามีอำนาจจัดการดูแลตลาดนี้ ถ้าเดาไม่ผิด…ก็คือเฮ่อเหว่ย!
สิบกว่านาทีนิดๆ ซ่งจื่อเซวียนก็มีคำตัดสินช่วงต้นกับคนพวกนี้แล้ว
ถ้าบอกว่าต้องให้ผลลัพธ์หนึ่งกับซ่งอวิ๋นฮั่น อย่างนั้นเขาก็เริ่มคิดวิเคราะห์ได้แล้ว
………………………………………………
[1] จิงชี่เสิน (精气神) คือสมบัติสามอย่างของมนุษย์ จิง (精) คือสาระสำคัญในร่างกาย ชี่ (气) คือพลังชี่ในร่างกาย เสิน (神) คือจิตวิญญาณ