เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 174 รับสมัครพนักงานระยะยาว
ตอนที่ 174 รับสมัครพนักงานระยะยาว
พอเห็นถังหย่าฉีวิ่งออกไป ซ่งจื่อเซวียนก็มึนงงไปหมด หลัวลี่ลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน ดูเหมือนจะตระหนักอะไรได้บางอย่าง
ซางเทียนซั่วแสยะยิ้มเอ่ยว่า “เอ่อ…ลี่ลี่ เธอได้ก่อเรื่องแล้วจริงๆ”
“ฉัน…ฉันทำผิดไปงั้นเหรอ”
ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยพยักหน้าหงึกๆ
วินาทีต่อมา ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นวิ่งพรวดออกจากร้านอาหาร วิ่งตามถังหย่าฉีไป
โต้วซานซานอ้าปากค้างยังไม่ได้สติกลับมา เธอมองซางเทียนซั่ว “เทียนซั่ว นายกับเธอ…ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ใช่ไหม”
ซางเทียนซั่วหันไปมองโต้วซานซาน ยิ้มด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “เธออยากจะพิสูจน์ยังไงอีก ตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
หน้าร้านอาหาร ถังหย่าฉีขึ้นรถแล้ว แต่แตกต่างจากวันปกติ วันนี้ไต้ทงไม่ได้มาส่งเธอ เธอขับรถมาด้วยตัวเอง
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนวิ่งไล่ตามออกมา ถังหย่าฉีก็สตาร์ทรถแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบวิ่งไปยืนอยู่ข้างหน้ารถ
“หย่าฉี เธอฟังฉันอธิบายก่อน เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด”
แต่ถังหย่าฉีที่อยู่ในรถปิดหน้าต่างรถสนิท ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ถึงแม้ทั้งสองคนจะยังไม่ได้กำหนดความสัมพันธ์อย่างชัดเจน แต่ความสนิทสนมกันในช่วงนี้ ความรู้สึกดีต่อกันนั้นยากที่จะปฏิเสธ
และฉากเมื่อครู่ ทำให้ถังหย่าฉีรับไม่ได้ไปชั่วขณะ เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนส่วนเกิน เหมือนรักเขาข้างเดียวมาตลอด
อย่างไรก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ยอมรับความรู้สึกเช่นนี้ได้ลำบาก เธอกำลังน้ำตาซึม ถ้าหากไม่ใช่เพราะนิสัยดื้อรั้นคอยฉุดรั้งไว้ เกรงว่าคงน้ำตาไหลออกมานานแล้ว
เห็นซ่งจื่อเซวียนกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่หน้ารถ เธอไม่มีความอดทนพอจะลดกระจกลง จึงเหยียบคันเร่ง หมุนพวงมาลัยไปด้านหนึ่งแล้วขับออกไปทันที
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่หลบสักนิด กลับเดินเข้าไปต่อ กางแขนทั้งสองข้างขวางทางหน้ารถ พร้อมกับปากที่ยังตะโกนอยู่
“หย่าฉี เธอจอดรถก่อน ฟังฉันอธิบายก่อน”
ถังหย่าฉีไม่สนใจ หมุนพวงมาลัยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ซ่งจื่อเซวียนโหดยิ่งกว่า ปะทะกับหน้ารถตรงๆ
เวลานี้ หากถังหย่าฉีขยับอีกนิดเดียว รถก็จะชนซ่งจื่อเซวียนล้มอย่างแน่นอน
ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบ หรือเป็นแค่เพื่อน วินาทีนี้เขาจำเป็นต้องอธิบาย
ไม่อย่างนั้นคงผิดใจกับถังหย่าฉีอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ตัวเองโดนปรักปรำแย่เลย
“ไอ้คนน่ารำคาญ!”
ถังหย่าฉีทำหน้ามุ่ย เหยียบคันเร่งแล้วหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนทิศอีกครั้ง แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะหลบจริงๆ รถชนเขาล้มลงกับพื้นทันที
เมื่อเห็นดังนั้น ถังหย่าฉีก็งุนงงเต็มที่ เบิกตาโตมองซ่งจื่อเซวียนที่นอนอยู่หน้ารถ
แต่ไม่ช้า เธอจึงขมวดคิ้วขึ้นมา “เหอะ ยังไงฉันก็ไม่สนใจนายอีกแล้ว!”
เธออาศัยจังหวะตอนที่ซ่งจื่อเซวียนล้มลงไปกับพื้น ถอยรถ จากนั้นหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทางจะขับออกไปข้างนอก
และในตอนนี้เอง ใครจะไปรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนไม่แม้แต่จะลุกคลานขึ้นมา แต่กระโดดขึ้นไปบนรถของถังหย่าฉีทันที ทั้งตัวเขาเกาะอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถ
ถังหย่าฉีตกใจ เหยียบเบรกทันทีเมื่อได้สติ ซ่งจื่อเซวียนโดนเหวี่ยงสะบัดออกไปด้านหนึ่งอีกครั้ง
ถังหย่าฉีไม่กล้าเหยียบคันเร่งอีก หมอนี่ไม่กลัวตายจริงๆ!
เธอผลักประตูรถแล้ววิ่งลงไป ตรงไปหาซ่งจื่อเซวียนแล้วตะโกนใส่ว่า “นายอยากตายหรือไง!”
ซ่งจื่อเซวียนคลึงหัวเข่าที่เจ็บช้ำ “อย่างน้อยเธอก็ต้องฟังฉันอธิบายก่อน”
พอได้ยินประโยคนี้ ความโกรธของถังหย่าฉีก็ลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ว่ากันตามจริง ตอนนี้คนที่เจ็บคือซ่งจื่อเซวียน คนที่โกรธน่าจะเป็นเขา
แต่เขาไม่ทำอย่างนั้น แต่ยังมอบความอ่อนโยนให้ถังหย่าฉีเหมือนเดิม
“นาย…โดนชนหรือเปล่า…” ถังหย่าฉีลดน้ำเสียงลง เดินไปข้างหน้าพลางพูด
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร เรื่องเมื่อกี้ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด หลัวลี่ลี่เป็นเด็กผู้หญิง เธอทำอะไรบุ่มบ่าม ดึงฉันเข้าไปเล่นด้วยเฉยๆ”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ถังหย่าฉีฟังอีกครั้ง ถังหย่าฉีไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา เพราะโต้วซานซานกับหลัวลี่ลี่ทั้งสองคนเป็นผู้หญิงที่น่ารักจริงๆ
“เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ทีนี้ก็ไม่โกรธแล้วใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ถังหย่าฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ให้ตายสิ แล้วทำไมนายถึงไม่พูดล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงเบิกตาโต “แม่ทูนหัว…เธอไม่ให้โอกาสฉันเลยต่างหาก ออกมาก็จะขับรถหนีไปเลย”
“เชอะ…ต่อไปนายห้ามทำแบบนี้อีกนะ ถ้าฉันเหยียบคันเร่งพลาดแล้วจะทำยังไง”
“เหอะๆ จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องยอมรับว่าดวงซวย” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ทำไมเธอถึงได้โมโหขนาดนี้ ยังจะกล้าขับรถอีกนะ”
“ใครให้นายมา…ไอ้หยา แต่ยังไงก็เป็นความผิดของฉันเอง”
“โอเคๆๆ ไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นความผิดของฉันเองโอเคไหม แม่ทูนหัว ทำไมวันนี้เธอถึงมาล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ถังหย่าฉียู่ปากพลางครุ่นคิด “ไปเถอะ เข้าไปคุยกันข้างใน!”
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนพาถังหย่าฉีกลับมา พวกซางเทียนซั่วจึงโล่งอก
“ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ เกลี้ยกล่อมอาจารย์แม่กลับมาได้ด้วย” ซางเทียนซั่วถอนหายใจ
ฟางรุ่ยพูด “แล้วทำไมล่ะ อธิบายชัดเจนแล้วไม่ดีหรือไง”
ซางเทียนซั่วส่ายหน้า “รุ่ยจื่อ แกไม่เข้าใจ”
“หืม ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ”
“แก…ยังไงก็เป็นคนโสด จะเข้าใจผู้หญิงได้ยังไง…อย่างอาจารย์แม่ของฉันเรียกว่าคนใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อยโว้ย”
“แม่ง ปากแกมันคายงาช้างออกมาไม่ได้[1]!”
ซางเทียนซั่วอุทานหนึ่งที “ปากของฉัน…ถุย แกว่าใครเป็นหมา!”
ซ่งจื่อเซวียนบอกให้ถังหย่าฉีนั่งลง หลัวลี่ลี่รีบหยิบโคล่าเข้ามาหนึ่งขวด “นายหญิงรอง ฉันไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าคุณคือ…ของนายท่านรอง”
พรืด
ยังไม่ได้ดื่มโคล่า ถังหย่าฉีก็แทบจะพ่นออกมาแล้ว “นายหญิงรองเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกสะอึกเหมือนกัน “ลี่ลี่ อะไรคือนายหญิงรอง เธอกับเทียนซั่วเรียนอะไรดีๆ ไม่เรียน แต่กลับเรียนการเรียกขานมั่วซั่ว”
ถังหย่าฉีก็รู้ว่าพวกเขาเรียกซ่งจื่อเซวียนว่านายท่านรอง เธอจึงหัวเราะ “ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว ไม่เป็นไร ฉันว่าแล้วเด็กผู้หญิงสวยๆ อย่างเธอจะชอบตาทึ่มคนนี้ได้ยังไง เหอะ!”
“คุณ…หายโกรธแล้วจริงๆ ใช่ไหมคะ”
“ใช่สิ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน ฉันจะโกรธทำไมล่ะ!” พูดจบ ถังหย่าฉีก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
ส่วนซ่งจื่อเซวียนกลับเขินอายอยู่บ้าง ประโยคนี้ ‘เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน’ เห็นได้ชัดว่าทำให้คนทั้งสองกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“พอแล้วๆ ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายแล้ว ต่างคนต่างไปทำงาน กลับไปตำแหน่งของตัวเองเถอะ”
“ใช่ ควรทำอะไรก็ไปทำ อย่ามารบกวนอาจารย์กับอาจารย์แม่ของฉัน!” ซางเทียนซั่วรีบตะโกนออกมา
พอตะโกนออกมา ทุกคนจึงเข้าใจ กลับไปยังตำแหน่งของตัวเองอย่างรู้กาลเทศะ
“ไอ้บ้าซางเทียนซั่ว” ถังหย่าฉีแอบกัดฟันพูดหนึ่งประโยค ทันใดนั้นมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “จื่อเซวียน จริงๆ ที่ฉันมาครั้งนี้เพราะมีไอเดียอยากจะคุยกับนาย”
“หืม เธอพูดมาสิ!”
“ฉันรู้สึกว่าครั้งที่แล้วปู่กุ่ยพูดถูกมาก ถ้าฉันไม่อยากไปต่างประเทศ ก็ต้องทำผลงานออกมา!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วอึ้งไป “เรื่องนี้น่ะเหรอ”
“ใช่สิ ก็เรื่องนี้นั่นแหละ”
“คราวที่แล้วปู่กุ่ยก็พูดหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้เธอตั้งใจมาพูดกับฉันโดยเฉพาะเหรอ ช่วงนี้เธอคิดแค่เรื่องนี้อย่างเดียวงั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยสีหน้าพูดไม่ออก
“ก็ใช่สิ คิดแค่เรื่องนี้แหละ ไอ้หยา ฉันมีความคิดเป็นรูปเป็นร่างแล้ว!” ถังหย่าฉีพูด
“อย่างนั้นก็ลองพูดมา!”
“ฉันอยากทำร้านอาหาร” ถังหย่าฉีพูดด้วยความตื่นเต้น
“โอ้ว…ดี”
“ดีงั้นเหรอ…” ถังหย่าฉีไม่พอใจกับคำตอบคำเดียวของซ่งจื่อเซวียนอย่างชัดเจน…
“อืม…เป็นความคิดที่ดี ไม่เลวๆ!” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็ปรบมือให้ด้วย
“ถูกต้อง เพราะงั้น?”
“เพราะงั้นฉันจะทำร้านอาหารไง”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะแห้งๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ
ถังหย่าฉีหญิงสาวคนนี้ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ไม่เคยมีประสบกรณ์การปฏิบัติงานจริง เวลาพูด…ก็พูดจาเป็นทางการมากกว่าจริงๆ เหมือนพูดไปเฉยๆ
“แสดงความคิดเห็นหน่อยสิ ฉันต้องทำร้านอาหารแบบไหนถึงจะดี”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “เหอะๆ ข้อได้เปรียบของเธอคืออะไรล่ะ”
“อืม…ฉันต้องเรียนหนังสือ เพราะงั้นตอนกลางวันเลยไม่มีเวลา…”
“แม่ทูนหัว ฉันพูดถึงข้อได้เปรียบของเธอ!” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างจนใจ
“แค่กๆ…เงินทุน ฉันรับผิดชอบเรื่องค่าเช่าได้ อืม…แล้วก็ทำเลได้เปรียบ ฉันเช่าร้านแถวมหาวิทยาลัยหนานกวนได้ จะใหญ่ขนาดไหน…ฉันก็คิดหาวิธีได้” ถังหย่าฉีพูด
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงครุ่นคิด “อันนี้เป็นข้อได้เปรียบจริงๆ เธออยากจะเปิดร้านอาหารเป็นธีมอะไรล่ะ”
ถังหย่าฉีตะลึง “ธีมเหรอ ฉันยังไม่ได้คิดเลย ถึงได้มาถามนายยังไงล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ อย่างจนใจ ในใจมีเพียงความคิดเดียว ร้านนี้ใครเป็นคนเปิดกันแน่…
หากเป็นคนอื่น เขาซ่งจื่อเซวียนจะไม่สนใจ แต่ถังหย่าฉี..เขาอยากจะช่วยคิดให้เธอ
“กำลังซื้อของนักศึกษามหาวิทยาลัยมีมากนะ แต่ราคาก็มีข้อจำกัดมาก ต้องควบคุมต้นทุนกับกำไร เอาชนะด้วยคุณภาพ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ถังหย่าฉีกลับส่ายหน้า “ไม่ จื่อเซวียน นอกจากมหาวิทยาลัยหนานกวนแล้ว หน้าประตูมหาวิทยาลัยก็เป็นถนนสายหลักของเขตเฉิงหนาน มีบริษัทขนาดใหญ่อยู่ในตึกสำนักงานหลายแห่ง คลินิกทันตกรรมและจักษุคลินิก สำนักงานกฎหมายก็มีครบหมด”
“หือ? อย่างนั้นก็เป็นร้านที่ต้องขายดีแน่นอนไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
โต้วซานซานที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ใช่แล้วอาจารย์ ที่ดินแถวนั้นเป็นทำเลทอง และยังมีห้างสรรพสินค้าครบวงจรแห่งหนึ่ง ฉันใช้เวลาคุยอยู่สองเดือนถึงจะขอล็อกที่มีพื้นที่มากกว่าสิบตารางเมตรได้!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงครุ่นคิด “ถ้างั้น…ค่าเช่าที่นั่นไม่ถูกแน่นอน ถ้าอยากจะทำกำไร ก็ต้องมีกำไรสูง
ถ้าจะได้กำไรสูง…อย่างนั้นอาหารก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์และมีคุณภาพ!”
ถังหย่าฉีพยักหน้าหงึกๆ “ฉันเห็นด้วย งั้นก็ตกลงตามนี้! แต่…พวกเราจะขายอะไรกันดี จะขายข้าวผัดจักรพรรดิเหมือนกันก็ไม่ได้ไหมนะ แบบนั้นตรงนี้จะไม่โดนผลกระทบเหรอ”
“พวกเรา?” ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ใช่สิ นายไม่คิดจะช่วยฉันเหรอ ฉันจะบอกนายให้นะ ตอนกลางวันฉันไม่อยู่ที่ร้าน นายต้องหาวิธีช่วยฉัน ฉันมีความคิดแบบนี้ ฉันออกเงินทุน นายออกทักษะฝีมือ พวกเราร่วมงานกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจแล้ว ถังหย่าฉีไม่ได้มาขอความคิดเห็นจากเขาเลย แต่ต้องการรับสมัครพนักงานระยะยาวโดยแท้…
“แค่กๆ…ประธานถัง คุณมาขอความคิดเห็นจากผม หรือมาเจรจาการร่วมงานกันแน่ครับ”
ถังหย่าฉีครุ่นคิด “ถือว่ามาแจ้งนายก็แล้วกัน เถ้าแก่ซ่ง กิจการของนายกำลังจะขยายเป็นสองร้านแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนมีสีหน้าเก้อเขิน พอนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของร้านอาหารร่ำรวยแล้ว ก็รู้สึกน่าขำอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
“หย่าฉี ร่วมงานกัน…ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉัน…”
“เอาล่ะ ฉันไม่อยากฟังสิ่งที่นายพูด ฉันตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ขอให้ร่วมงานกันอย่างมีความสุขค่ะ!”
ถังหย่าฉีพูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปทันที
ซ่งจื่อเซวียนงุนงงหนัก เขาเพิ่งจะเคยได้ร่วมงานแบบนี้เป็นครั้งแรก…
…………………………………………….
[1] มาจากสำนวนเต็มๆ 狗嘴里吐不出象牙 ปากสุนัขคายงาช้างออกมาไม่ได้ หมายถึง คนเลวย่อมไม่พูดสิ่งที่ดี