เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 169 หลิงเข่อเอ๋อร์
ตอนที่ 169 หลิงเข่อเอ๋อร์
ซ่งจื่อเซวียนย่อมประหลาดใจเพราะดูจะได้รับความโปรดปราน เพราะคนที่ชื่นชมเขาก่อนหน้านี้คือคนรอบข้างทั้งนั้น เช่น เพื่อนๆ อย่างซางเทียนซั่วและถังหย่าฉี
อีกทั้งลู่ลี่จวินก็เป็นอธิบดีหน่วยงานควบคุมตลาด คนประเภทนี้แทบจะได้ลิ้มรสอาหารเลิศรสทั้งหมดในเมืองตู้เหมินรวมไปถึงเมืองอื่นๆ แล้ว การประเมินของคนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
“ท่านอธิบดีลู่ชมเกินไปแล้วครับ เป็นเพียงอาหารเมนูหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เหอะๆ เมนูนี้ของนายไม่ธรรมดา ไม่ว่ามันจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกายอย่างที่นายบอกหรือเปล่า ฉันก็หวังว่าถ้ามีโอกาสนายจะทำให้ฉันกินอีกครั้ง เอาอย่างนี้ นายทิ้งช่องทางติดต่อไว้นะ คราวหน้าจะได้นัดเจอกัน”
ประโยคนี้ทำให้หวังเฉียงตกใจอีกครั้ง!
นัดเจอกันงั้นเหรอ เขาไม่เคยได้ยินว่าลู่ลี่จวินนัดหมายกับใครนอกจากเรื่องงาน…
“งั้นดีมากเลยครับ คุณอยากทานเมื่อไรก็แจ้งผมได้ทุกเมื่อนะครับ”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนและลู่ลี่จวินก็แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กับวีแชทกัน และเขียนข้อห้ามเกี่ยวกับความอ่อนแอของร่างกายให้ภรรยาของลู่ลี่จวิน ให้เธอระวังเรื่องอาหารการกินของอธิบดี
ก่อนจะไป จู่ๆ ลู่ลี่จวินก็เอ่ย “เอ๊ะ…ดูเหมือน…จะมีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย เสี่ยวซ่ง ฉันรู้สึกว่าร่างกายฉันมีแรงขึ้นทันที ถึงจะยังอ่อนแออยู่บ้าง แต่เทียบกับเมื่อกี้เหมือนจะสบายตัวขึ้นเยอะเลย”
“หืม คุณรู้สึกแล้วเหรอครับ”
อย่างไรอาหารรักษาโรคไม่ใช่ยาบำรุง ซ่งจื่อเซวียนก็คาดไม่ถึงว่าร่างกายของลู่ลี่จวินจะตอบสนองเร็วขนาดนี้
เขารีบจับชีพจรอีกครั้ง ชีพจรของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเดิมอย่างที่คาดไว้จริงๆ
แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเหตุผล ก็ยังยิ้มพลางพูด “แหะๆ งั้นคุณต้องดูแลตัวให้ดีนะครับ ถ้าทานหลายๆ ครั้ง คุณอาจจะฟื้นตัวก็ได้ครับ”
“ใช่ๆ น่าทึ่งเกินไปแล้ว ถ้าน้ำแกงเกล็ด…”
“น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดย้ำ
“ใช่ ถ้าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายมีคุณสมบัติในการบำรุงร่างกายที่ดีขนาดนี้จริงๆ คงจะดีกว่าอาหารเสริมทั่วไปมากๆ ฉันคิดว่าหารือกันภายในเมืองเพื่อให้ทางภาครัฐส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารเลิศรสเช่นนี้ได้”
หวังเฉียงได้ยินก็ครุ่นคิดในใจ เดิมทีคิดว่าตัวเองจะได้รับคำชมจากอธิบดีในครั้งนี้ ไม่นึกเลยว่าคนที่ได้กำไรมากที่สุดจะเป็นซ่งจื่อเซวียน
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่ได้รับความชื่นชมอย่างมากจากอธิบดี ชายหนุ่มคนนี้…จะผงาดขึ้นมาแล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หวังเฉียงก็แอบคาดเดาว่าคนอย่างซ่งจื่อเซวียนมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นคนโปรดข้างกายลู่ลี่จวิน และคนโปรดเช่นนี้ดูเหมือนจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่ารองอธิบดีกับผู้อำนวยการเสียอีก
นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในราชการ ไม่มีทางคุกคามลู่ลี่จวินได้แต่อย่างใด กลับกันเขาสามารถกลายเป็นคนสนิทของลู่ลี่จวินได้อย่างง่ายดาย
เมื่อออกมาจากบ้านของลู่ลี่จวิน หวังเฉียงก็เอ่ย “เอ่อ…น้องจื่อเซวียน ฉันต้องขอบคุณนายนะที่ทำให้ท่านอธิบดีลู่ร่าเริงได้ขนาดนี้ ฉันก็ได้อาศัยบารมีด้วย”
“เอ๋ ผู้อำนวยการหวังจะเกรงใจทำไมครับ คุณต่างหากที่กำลังช่วยผมอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทันที หวังเฉียงเรียกตนว่าเสี่ยวซ่งมาตลอด แต่ในเวลานี้กลับเรียกน้องจื่อเซวียน…การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วเกินไปอยู่บ้าง
“เฮ้ เราเป็นเพื่อนกันนะ พูดเรื่องใครช่วยใครอะไรกัน น้องจื่อเซวียน ต่อจากนี้เราต้องก้าวเดินไปด้วยกันนะ” หวังเฉียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนแอบยิ้มอยู่ในใจ หวังเฉียงคนนี้น่าทึ่งอย่างที่คาดไว้จริงๆ ไม่เสียแรงที่รับราชการมาหลายปี เขาเห็นสัญญาณบางอย่างเมื่อครู่นี้จึงได้แสดงจุดยืนออกมา
สัญญาณนี้ชัดเจนว่ามาจากความประทับใจของลู่ลี่จวินที่มีต่อซ่งจื่อเซวียน
“แน่นอนครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นเพื่อนกับผู้อำนวยการหวัง”
“งั้นเรามาพูดเป็นทางการให้น้อยลงและทำเรื่องต่างๆ ให้มากขึ้น ช่วงนี้ถ้าท่านอธิบดีลู่ต้องการอะไรคงต้องรบกวนน้องจื่อเซวียนแล้วล่ะ” หวังเฉียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วครับ”
“เหอะๆ ใช่แล้ว ฉันคิดว่าอย่างนี้นะ ของขวัญที่มอบให้ท่านอธิบดีครั้งนี้นับว่าเป็นของฉันแล้วกัน น้องชายนายไม่ต้องจ่ายแล้ว” ในที่สุดหวังเฉียงก็พูดเข้าประเด็น
เห็นได้ชัดว่าราคาของขวัญครั้งนี้มีเงื่อนงำ ดูออกว่าเขาซื้อให้ตัวเองส่วนหนึ่งแต่ให้ซ่งจื่อเซวียนจ่ายทั้งหมด
ทว่าซ่งจื่อเซวียนเดาเรื่องเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากวุ่นวายกับหวังเฉียงเพราะเงินเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรตำแหน่งของหวังเฉียงก็เป็นประโยชน์ต่อเขา
“อย่าสิครับผู้อำนวยการหวัง เราตกลงกันแล้วว่าของขวัญที่มอบให้ถือเป็นของผม คุณเตรียมของให้ได้ก็สำคัญมากแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“นายดูสิ ประโยคนี้ดูห่างเหินไปหรือเปล่า น้องชายนายอย่าปฏิเสธเลย เรื่องนี้พี่ชายอย่างฉันต้องรับผิดชอบเอง”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ผู้อำนวยการหวัง ผมจะบอกว่าครั้งนี้คุณไม่ต้องจ่ายเงิน ผมก็ไม่ต้องจ่ายเหมือนกัน มีคนจ่ายให้อยู่แล้วครับ”
“เอ่อ…จริงเหรอ”
“จริงครับ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ดีว่าหากให้เสี่ยเฉิงปาจ่ายเงินย่อมไม่ใช่ปัญหาแน่นอน เขาไม่ต้องควักเงินจากกระเป๋าตัวเอง หวังเฉียงก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สมบูรณ์แบบทั้งคู่
“งั้นก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าพี่ชายติดหนี้นาย ถ้ามีโอกาสจะชดใช้ให้คราวหน้านะ” หวังเฉียงพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ในรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตร
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนเข้าใจเหตุผลในความเป็นมิตรของหวังเฉียง
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่น เส้นสายระหว่างผู้คนนั้นต้องใช้ ไปๆ มาๆ หลายครั้งก็ไม่อาจบอกได้ว่าใครติดหนี้ใคร
อีกทั้งจุดประสงค์ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากเส้นสายนี้ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
นึกถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มออกมา ไม่คิดเลยว่าผ่านไปได้ไม่นาน เขาจะได้เริ่มสร้างเครือข่ายเส้นสายเช่นนี้แล้ว
เพียงแต่เหตุผลช่างน่าขันสิ้นดี ทั้งหมดเป็นเพราะการบีบบังคับของหวงฟา
เมื่อเขากลับมาถึงร้านอาหารร่ำรวยก็สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว เห็นลูกค้าจำนวนมากนั่งอยู่ชั้นหนึ่งโดยไม่สั่งอาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจสถานการณ์
เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา หยางกังก็รีบวิ่งเข้ามาทันที “ไอ้หยา นายท่านรองมาได้สักที ช่วงเช้าติดต่อคุณไม่ได้เลย ลูกค้าที่สั่งข้าวผัดจักรพรรดิรอจนร้อนใจกันหมดแล้ว”
เป็นเพราะเขาไปบ้านของลู่ลี่จวินเมื่อครู่นี้ และรู้สึกว่าถ้าโทรศัพท์ดังขึ้นจะเสียมารยาท จึงปิดเครื่องไว้
“อืม บอกพวกเขาว่าจะรีบเสิร์ฟทันที”
“อาจารย์ ไปทำอะไรมาทั้งเช้าน่ะ ผมกับรุ่ยจื่อเป็นห่วงนะ” ซางเทียนซั่วเอ่ย
“ใช่ครับนายท่านรอง ตอนเช้าผมไปรอที่หน้าปากซอยตั้งนาน จากนั้นก็ไปหาที่บ้าน คุณป้าบอกว่าคุณออกมาแล้ว ผมโทรหาก็ปิดเครื่องอีก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็อุ่นใจ อย่างไรเขาก็ยังมีเพื่อนๆ ที่นึกถึงเขาอยู่
“เหอะๆ ไปทำธุระมานิดหน่อย ไม่สะดวกเปิดเครื่องน่ะ ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเลย ฉันจะทำข้าวผัดออกไปเสิร์ฟ”
เมื่อเข้าไปในครัว ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มยุ่งกับงาน เสียงเตาดังขึ้น ข้าวผัดจักรพรรดิก็ออกจากกระทะเรื่อยๆ ทีละจาน
หลังจากผ่านชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเที่ยง หลัวลี่ลี่ก็สรุปยอดแล้วกล่าว “นายท่านรอง ช่วงเช้าเราขายได้สิบสองที่ ใกล้จะเทียบกับต้าสือไต้แล้ว”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลัวลี่ลี่ ซ่งจื่อเซวียนก็คิดว่าซางเทียนซั่วได้ทำเรื่องดีๆ แล้ว
อันที่จริงตั้งแต่ข้าวผัดจักรพรรดิขายได้สิบที่ขึ้นไป เรื่องรายได้ของร้านอาหารร่ำรวยก็ถือว่าคลี่คลายแล้ว เพียงแต่ร้านเต็มไปด้วยพวกผู้ชาย เห็นได้ชัดว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง
ตอนนี้มีสาวน้อยน่ารักอย่างหลัวลี่ลี่ บรรยากาศจึงค่อยน่ามอง
“ช่วงเวลานี้ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พอถึงตอนเย็นก็ขายไม่ดี ยังไม่เคยมีออร์เดอร์ทะลักเลย” ซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านข้างกล่าว
“แหะๆ ฉันเชื่อว่าอีกเดี๋ยวก็ทำได้แล้ว” หลัวลี่ลี่แลบลิ้นให้
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “หวังว่าจะทำได้ แต่วันนี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ เทียนซั่วขับรถพาฉันออกไปข้างนอกหน่อย ลี่ลี่ ตอนบ่ายถ้ามีลูกค้าสั่งข้าวผัดก็บอกไปว่าขายหมดแล้วนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะนายท่านรอง!” หลัวลี่ลี่ตอบรับ
หลังจากผ่านเรื่องราวในช่วงสองวันที่ผ่านมา ความจริงคนที่ซ่งจื่อเซวียนอยากเจอมากที่สุดก็คือซ่งอวิ๋นฮั่น บางทีในเวลานี้เขาคงต้องการความคิดเห็นของซ่งอวิ๋นฮั่นมากกว่านี้
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือสุขภาพของซ่งอวิ๋นฮั่นแย่ลงทุกวัน ซ่งจื่อเซวียนจึงหวังว่าจะได้ไปเยี่ยมเขาบ่อยขึ้น
“หืม มีอะไรแปลกเหรอ ผมขี้เกียจจะสนใจเธอน่ะ…” ซางเทียนซั่วเม้มริมฝีปาก
ซ่งจื่อเซวียนหลุดยิ้ม หาได้ยากจริงๆ ปกติซางเทียนซั่วประจบหลัวลี่ลี่อย่างกับสุนัข วันนี้เกิดอะไรขึ้น…
“เหอะๆ ทะเลาะกันเหรอ”
“ทะเลาะเหรอ ขี้เกียจทะเลาะด้วยซ้ำ ถ้าทะเลาะก็คือเธอกับไอ้หยางกังนั่นต่างหาก!”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าเข้าใจว่าหมายถึงอะไร
“ฮ่าๆ หยางกังเริ่มจีบลี่ลี่แล้วเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะหลัวลี่ลี่ก็เติบโตมาอย่างงดงาม รูปร่างผอมเพรียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะชอบเธอ
“จีบที่ไหนกัน ผู้ชายแก่ๆ นั่นแต่งงานแล้ว ยังจะซื้ออาหารเช้ามาให้ลี่ลี่ สองคนนั้นคุยกันที่เคาน์เตอร์นานกว่าสิบนาที ปล่อยตัวเกินไปแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ และเข้าใจว่าปล่อยตัวที่ซางเทียนซั่วพูดนั้นหมายถึงหลัวลี่ลี่
“นายน่ะ ถ้าจะจีบก็จีบให้จริงจัง อย่าทำตัวโบราณอย่างประจบสอพลอเป็นสุนัขแบบนั้น แล้วฉันก็จะบอกให้นะ โต้วซานซานก็ไม่เลว นายตัดสินให้ดี อย่าโลเล”
“ใครโลเลกัน ผมน่ะชอบหลัวลี่ลี่ ส่วนโต้วซานซาน…อาจารย์ก็รู้ เพียงแต่ไม่คิดว่าหลัวลี่ลี่จะเป็นผู้หญิงแบบนี้ หึ!”
“แบบไหนล่ะ เธอคุยกับหยางกังสักสองสามคำไม่ได้เลยหรือไง เมื่อก่อนที่ต้าสือไต้ โจวเผิงยังจีบลี่ลี่เลย แต่ลี่ลี่ก็ไม่เล่นด้วยนะ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซางเทียนซั่วได้ยินก็พยักหน้า “เหมือนจะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่…ผมมักจะรู้สึกว่ามีอุปสรรคขวางกั้นระหว่างผมกับลี่ลี่อยู่”
“เหอะๆ สิ่งที่นายพูดถึงคือโต้วซานซานเหรอ ยังไงพ่อของนายก็ยอมรับเธอนะ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม
ซางเทียนซั่วส่ายหัว “ไม่ใช่…อาจารย์ คุณยังจำตอนที่ลี่ลี่เซ็นสัญญาในวันนั้นได้ไหม เธอมีบัตรประชาชนสองใบแหละ”
“จริงด้วย ตอนนั้นนายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ถูกเธอมองใส่เลยไม่กล้านี่นา” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ อาจารย์คิดดูนะ คุณสมบัติ สติปัญญาและความฉลาดของลี่ลี่ ทำได้ดีทุกอย่างแล้วทำไมเธอถึงต้องมาทำแผนกต้อนรับในร้านอาหารล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง เด็กสาวอย่างลี่ลี่มีหน้าตาโดดเด่นทุกด้าน และอีกอย่าง…การพูดการจาก็เหมาะสมมากจริงๆ ราวกับว่าได้รับการสั่งสอนในระดับสูงมา”
“เพราะงั้นไง ผมเลยรู้สึกแปลกๆ”
“บัตรประชาชนสองใบนั้นมันยังไงกัน ฉันจำได้ว่าลี่ลี่บอกว่ามีหนึ่งใบที่หมดอายุ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซางเทียนซั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย “ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ…อาจารย์ บัตรประชาชนทั้งสองใบนั้นเป็นรูปถ่ายของลี่ลี่ แต่ชื่อไม่เหมือนกัน!”
“อะไรนะ” ซ่งจื่อเซวียนตะลึงอย่างอดไม่ได้
หากชื่อแตกต่างกัน มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว หนึ่งในบัตรประชาชนสองใบนั้นเป็นของปลอม
แต่จุดประสงค์ที่เธอปลอมแปลงตัวตนคืออะไรล่ะ
“อาจารย์ ผมมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นของปลอม”
“นายคิดว่าเป็นใบไหนล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ซางเทียนซั่วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ชื่อหลัวลี่ลี่นี้…ไม่ใช่ของจริง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ อันที่จริงเหมือนกับที่เขาคิดไว้เป๊ะๆ
“งั้นนายคิดว่า…เธอมีจุดประสงค์อะไรถึงต้องใช้บัตรประชาชนปลอมล่ะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ต้าสือไต้หรือร้านอาหารร่ำรวย เธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใครจะรู้ อาจจะเพื่อปกปิดตัวตนของเธอหรือเปล่า” ซางเทียนซั่วถามกลับ
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “นายเห็นชื่อบนบัตรประชาชนอีกใบชัดหรือเปล่า”
“หลิงเข่อเอ๋อร์”
…………………………………………..