เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 167 อาหารวิเศษบำรุงร่างกาย
ตอนที่ 167 อาหารวิเศษบำรุงร่างกาย
เห็นซ่งจื่อเซวียนมั่นใจ หวังเฉียงก็ยิ้มอย่างรู้ทัน
อันที่จริงสำหรับหวังเฉียงแล้ว เขาเป็นพนักงานของรัฐที่ขยันขันแข็งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เพียงไม่เคยทำงานผิดพลาด แต่เขายังช่วยหัวหน้าจัดการแก้ปัญหาบ่อยๆ อีกด้วย
แต่เขาเข้าใจดีว่าการก้าวจากระดับแผนกภายนอกไปสู่ระดับรองอธิบดีกรมนั้นเปรียบเสมือนเส้นทางที่ยากดั่งขึ้นสวรรค์ สำหรับคนทั่วไป การไปถึงระดับแผนกก็บรรลุเป้าหมายในชีวิตนี้แล้ว
แต่หวังเฉียงยังไม่พอใจ โดยพื้นฐานแล้ววัยสี่สิบในงานราชการนั้นถือว่าอายุยังน้อยมาก เขายังมีเวลาอีก จึงไม่อยากละทิ้งทุกโอกาสที่จะไต่เต้าขึ้นไป
การมาเยือนของซ่งจื่อเซวียนในวันนี้ทำให้เขามีความหวังอย่างชัดเจน หากสุขภาพของอธิบดีดีขึ้นได้จริงๆ ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าผลงานที่เคยได้ทำมาทั้งหมด
“ได้ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะเตรียมการสักหน่อย จากนั้นนายกับฉันจะไปเยี่ยมท่านอธิบดี จำไว้ว่าอย่าพูดถึงการรักษาอาการป่วยของท่านอธิบดีง่ายๆ นายต้องแน่ใจก่อนถึงจะพูด”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายืนยัน “เข้าใจแล้วครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจหลักการอย่างสมบูรณ์ หากเขาสามารถรักษาให้หายได้ หวังเฉียงจะคิดหาทางช่วยเหลือเขาแน่นอน แต่ถ้าไม่ ก็จะเป็นเพียงการมาไปเยี่ยมเยียนธรรมดาทั่วไป ไม่มีความหมายอื่นๆ สำหรับเขาแล้ว
“เอาล่ะ งั้นนายกลับไปแล้วรอสายจากฉัน เมื่อกี้รองประธานเฉิงจากสมาคมอาหารมาส่งข้อมูลบางอย่าง ฉันยังต้องจัดการสักหน่อย”
“รองประธานเฉิงเหรอครับ เหมือนผมจะเห็นเขาแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดหยั่งเชิง
“งั้นเหรอ งั้นคงเป็นเขานั่นแหละ เขาเพิ่งจะไปตอนนายมา”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มและอำลาหวังเฉียง จากนั้นก็ไปจากสำนักงานควบคุมตลาด
ส่วนที่เหลือเขาทำได้เพียงรอข่าวจากหวังเฉียง อย่างไรชะตากรรมของเขาในตอนนี้นับว่าอยู่ในกำมือของคนอื่น ไม่มีทางที่เขาจะเริ่มทำอะไรได้เลย
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้กลับไปที่ร้านอาหารร่ำรวย แต่ให้ซางเทียนซั่วไปส่งเขากลับบ้าน เกรงว่าเขาจะต้องคุยเรื่องอธิบดีกับตาเฒ่าฟาง
ที่บ้านของชายชรามีหนังสือด้านแพทย์แผนจีนมากมาย เขาเคยอ่านมาหลายเล่มแล้วแต่ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง เช่นนั้นก็ศึกษาเพิ่มเติมไปสักหน่อย เผื่อจะหาวิธีรักษาร่างกายให้แข็งแรงได้
ซ่งจื่อเซวียนยังไม่เคยพบอธิบดีคนนั้น ดังนั้นจึงต้องหาวิธีรักษาเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเขาถึงค่อยเลือกใช้ตามอาการของอธิบดี
สำหรับการวินิจฉัยอาการด้วยชีพจรนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซ่งจื่อเซวียน ตั้งแต่เด็กเขาโตมากับการเรียนรู้เรื่องจับชีพจรจากฟางจิ่งจือ จึงค่อนข้างมั่นใจในด้านนี้
ในขณะที่เขาอ่านหนังสืออยู่ก็ได้ยินฟางจิ่งจือเอ่ย “เอาไปไม่ถามถือว่าเป็นขโมย!”
ซ่งจื่อเซวียนตกใจ หันกลับมาพูดว่า “โอ๊ยตาเฒ่า ปู่ทำให้ผมตกใจแทบตาย ขวัญกระเจิงหมด…”
ฟางจิ่งจือไม่ได้ลุกขึ้น นอนมองเขาอยู่บนเตียงแล้วยิ้ม “ไอ้หนู แกยังอ่านหนังสือสูตรอาหารเล่มนั้นไม่พอเรอะ ถึงวิ่งมาขโมยหนังสือฉันแบบนี้”
ซ่งจื่อเซวียนยืนขึ้นและคลี่ยิ้ม “ดูปู่พูดเข้าสิ ขโมยอะไรกัน…หนังสือของปู่ไม่ใช่หนังสือของผมหรอกเหรอ!”
“ไร้สาระ ของของข้าก็คือของข้าสิ กลายเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไร”
“เฮ้อ ปู่ จริงๆ แล้วที่มาวันนี้เพราะมีเรื่องจะถามปู่น่ะ”
“ถ้าไร้สาระก็วางไว้ตรงนั้นแหละ” ฟางจิ่งจือค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
“ปู่ สุขภาพอ่อนแอนี่…มีกี่ประเภทเหรอ แล้วควรบำรุงยังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางจิ่งจือได้ยินก็กลอกตามองเขา “อะไร ปู่สอนแกมานานขนาดนี้ แม้แต่เรื่องนี้ก็ลืมไปหมดแล้วเรอะ ฉันคิดว่าแกจำเรื่องพวกนั้นได้แม่นเสียอีก”
ซ่งจื่อเซวียนอดหัวเราะอย่างซื่อๆ ไม่ได้ “เหอะๆ ปู่ อย่าเพิ่งรีบด่าผม เฮ้อ ปู่พูดมาก่อนสิ”
“สุขภาพอ่อนแอแบ่งออกเป็น การขาดพลังชี่ ขาดเลือด ขาดพลังหยินและขาดพลังหยาง อีกทั้งมีคนจำนวนมากที่ขาดทั้งสองอย่าง ก็ย่อมใช้วิธีการหลากหลายเพื่อบำรุงร่างกาย แต่ประคับประคองอาการแบบแพทย์แผนปัจจุบันไม่ดีเท่าแพทย์แผนจีน ยาจีนก็บำรุงได้ไม่ดีเท่าอาหารรักษาโรค ตอนเด็กๆ ก็เคยท่องจำใช่ไหม”
เมื่อฟางจิ่งจือพูดเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็นึกขึ้นได้ จึงหรี่ตาเล็กน้อยแล้วกล่าว “อาหารรักษาโรค…ถ้าขาดพลังชี่ต้องบำรุงด้วยโสม ตังเซียมและอึ่งคี้ ถ้าขาดเลือดบำรุงด้วยตังกุย เออเจียวและสูตี้ ถ้าขาดพลังหยินบำรุงด้วยเง็กเต็ก เห็ดหูหนูขาวและกระดองเต่า สำหรับการขาดพลังหยางบำรุงด้วยเขากวางอ่อน โต่วต๋งและอบเชยจีน!”
“เหอะๆ ใช้ได้ ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ลืมจนหมด ความจริงสิ่งที่บำรุงความอ่อนแอมีเยอะแยะมากมาย แต่ก็มีข้อห้ามมากมายเหมือนกัน นอกจากยาจีนสิบแปดชนิดที่ห้ามนำมาใช้ร่วมกันแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งที่แพ้อีกด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เรื่องนี้ผมจำได้ปู่ แต่…ทำไมรู้สึกว่าของพวกนี้พอผสมกันแล้วคุ้นๆ จัง”
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยปรุงยาจีนและไม่เคยคิดจะทำอาหารรักษาโรค แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกคุ้นมากตอนที่ท่องสิ่งเหล่านี้
ฟางจิ่งจือได้ยินก็ยิ้ม “คุ้นงั้นเหรอ คุ้นก็ถูกแล้ว แกคลุกคลีกับมันมาไม่น้อย”
“หืม”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดใคร่ครวญ ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง “ปู่ มันคือน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย!”
“เหอะๆ ลองพูดให้ปู่ฟังสิ”
“ในน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายมีวัตถุดิบยาจีน เช่น โสม อึ่งคี้ ตังกุย กระดองเต่า เขากวางอ่อนและโต่วต๋ง รวมถึงส่วนผสมหลักอย่างเนื้อวัวและหูฉลาม ทั้งหมดนี้มีสรรพคุณลบล้างความอ่อนแอทางร่างกายหลายข้อ อีกอย่างรสชาติและฤทธิ์ของยาจีนจะอ่อนลงระหว่างการปรุงแต่ยังคงสรรพคุณทางยาเอาไว้ ปู่ นึกไม่ถึงเลยว่านี่คืออาหารวิเศษที่บำรุงร่างกายได้” ซ่งจื่อเซวียนตระหนักได้ทันที
ฟางจิ่งจือพยักหน้าและยิ้ม “ไอ้เด็กโง่ แกเจอคนป่วยแล้วเรอะ แกไม่ใช่หมออย่าสั่งยามั่วซั่ว อาหารรักษาโรคมีความปลอดภัย ถ้าสนิทสนมกันจะช่วยก็ได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แอบหัวเราะ เพื่อน…ไม่ต้องพูดถึงด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดอย่างนี้ ตอนไปหาอธิบดีคนนั้นลองเอาน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายติดตัวไปด้วยดีกว่า ถ้าได้ผลก็จะช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาได้อีกด้วย
ใช่ ทำอย่างนี้แล้วกัน!
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ซ่งจื่อเซวียนก็ทำความสะอาด รินเหล้าให้ชายชราอีกยกแล้วจึงกลับไป
เดิมคิดจะพักผ่อนที่บ้าน ใครจะรู้ว่าจู่ๆ หวังเฉียงก็โทรมาหาในคืนนั้น
“เสี่ยวซ่ง เจ้าหน้าที่ระดับกลางของเราสองสามคนเพิ่งไปเยี่ยมอธิบดีที่บ้าน สุขภาพอธิบดีไม่ค่อยดีนัก ร่างกายอ่อนแอ ตอนนี้ก็เป็นหวัดกับมีไข้ อาการแย่กว่าที่ฉันบอกนายตอนบ่ายวันนี้”
“ผู้อำนวยการหวัง ขอบคุณที่ลำบากจริงๆ ครับ ท่านอธิบดีมีอาการอะไรอีกไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม เขาอยากทราบสภาพร่างกายของอธิบดีให้มากที่สุดก่อนจะไปเยี่ยม เพื่อจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
“ไม่มีอาการอื่นแล้ว แค่อยู่ในสภาพนี้มานานแล้วน่ะ รวมถึงเขายังฝืนทำงานแม้จะป่วย หมอยังบอกอีกว่าได้แต่ต้องพักผ่อน เฮ้อ อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เกรงว่าจะต้องลาป่วยเพิ่มด้วย” หวังเฉียงกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนเงียบและใคร่ครวญไม่กี่วินาที “โอเคครับผู้อำนวยการหวัง ผมเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ผมรู้สึกว่า…ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณสะดวกแล้วสามารถนัดให้ผมไปพบท่านอธิบดีเร็วที่สุดได้เลยนะครับ”
“จริงเหรอ เสี่ยวซ่ง เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้นะ”
“วางใจเถอะครับ รอให้ผมพบท่านอธิบดีแล้วจะวินิจฉัยอาการอีกที ถ้าไม่มั่นใจผมจะไม่พูดเด็ดขาดครับ และจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน”
“งั้นดีเลย แต่ถ้าฉันไปเยี่ยมไข้อีกครั้งแล้วพานายไปด้วยควรต้องมีเหตุผลถึงจะดีที่สุด เหตุผลนี้จะต้องไม่ใช่มาเยี่ยมไข้เฉยๆ นายคิดว่าเหตุผลอะไรดี” หวังเฉียงถาม
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจทันทีว่าหวังเฉียงหมายถึงอะไร หากพาไปเยี่ยมแบบโผงผาง ถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะกลายเป็นรบกวนการพักผ่อนของอธิบดีหรือไม่ ดังนั้นต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมกว่านี้
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เหตุผลนี้…”
“ตอนไปเยี่ยมเราซื้ออาหารบำรุงไปให้เยอะมาก แต่เพราะงบมีจำกัดเลยไม่ได้ซื้ออะไรที่แพงเกินไป” หวังเฉียงกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและเข้าใจความหมายของหวังเฉียงทันที “แล้วคุณคิดว่าซื้ออะไรถึงจะเหมาะสมครับ ค่าใช้จ่ายไม่เป็นไรครับ ผมจะออกให้เอง”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเงินเหล่านี้อยู่แล้ว ก่อนอื่นหากจ่ายเงินแล้วสามารถดำเนินการได้จริง เงินเหล่านี้ก็เทียบกับผลกำไรของร้านอาหารร่ำรวยไม่ได้เลย นอกจากนี้เกรงว่าเสี่ยเฉิงปาจะต้องออกเงินในส่วนนี้ เขายิ่งไม่ต้องสนใจ
“เอาล่ะ งั้นฉันจะให้คนไปซื้อมาแล้วส่งใบเสร็จให้นายทีหลัง”
“เตรียมตามที่คุณว่ามาได้เลยครับ อ้อจริงสิผู้อำนวยการหวัง เราจะไปเยี่ยมท่านอธิบดีตอนไหนดีครับ”
“ซื้ออาหารบำรุงเรียบร้อยแล้วก็ไปได้ทุกเมื่อ ฉันจะให้คนไปซื้อตอนนี้ พรุ่งนี้เช้าเราจะได้ไปกันได้เลย ตอนนี้ก็ดึกแล้ว หัวหน้าต้องพักผ่อนน่ะ”
“ครับ งั้นพรุ่งนี้เช้าให้ผมไปหาคุณที่หน่วยงานใช่ไหมครับ”
“ไม่ๆๆ เจอกันหน้าบ้านท่านอธิบดีเลย ชุมชนอวิ๋นสุ่ยที่ถนนสยากวง เจอกันที่ทางเข้าชุมชนตอนเก้าโมงเช้าแล้วกัน”
“ครับผม”
ซ่งจื่อเซวียนตื่นเต้นทันทีหลังจากวางสาย ที่จริงไม่ใช่เพราะเขาต้องแก้ไขปัญหาตอนนี้ทั้งหมด แต่ประเด็นเป็นเพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้ลองใช้ผลการรักษาของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
ในฐานะพ่อครัว เรื่องแบบนี้ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนมาถึงร้านอาหารร่ำรวยตอนเจ็ดโมงเช้า เตรียมวัตถุดิบสำหรับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย คำนวณเวลาจากนั้นก็เริ่มลงมือทำ
เวลาประมาณแปดโมงครึ่ง น้ำแกงห้าสายก็ออกจากหม้อ ใส่ในกระติกเก็บความร้อนแล้วเรียกรถแท็กซี่ตรงไปยังสถานที่ที่หวังเฉียงกล่าวถึง
…………….
ณ ชุมชนอวิ๋นสุ่ย ถนนสยากวง
ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อมาถึงปากทางเข้าชุมชน ซ่งจื่อเซวียนก็ตระหนักว่าสถานที่นี้คือดินแดนในฝัน
ไม่ต้องพูดว่าความเขียวขจีของชุมชนนั้นดีขนาดไหน ด้านในเป็นตึกสูงยี่สิบกว่าชั้น และตึกสิบกว่าหลังด้านนอกเป็นตึกแนวตะวันตกที่มีสองถึงสามชั้น
รออยู่สองสามนาที ก็เห็นรถโฟล์คสวาเกนซากิตาร์ขับมาถึงปากทางเข้าชุมชน นั่นคือรถของหวังเฉียง
หวังเฉียงลงจากรถ ในมือซ้ายขวาถือกล่องของขวัญ ซ่งจื่อเซวียนเห็นคำว่ารังนกกับปลิงทะเลได้ในแวบเดียว และการบรรจุหีบห่อก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ พอไม่ได้จ่ายเงินด้วยตัวเองแล้วโหดจริงๆ
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียน หวังเฉียงก็หยิบใบเสร็จออกมา “เสี่ยวซ่ง นายลองดูใบเสร็จนะ ทั้งหมดประมาณหนึ่งหมื่นเก้าพันหยวน ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เจ็บปวดใจ ราคาหนึ่งหมื่นเก้าพันหยวนซื้อได้แค่สองกล่องนี้เหรอ ดูเหมือนตัวเองยังจนเกินไปจริงๆ…
เขาเคยเห็นราคาของขวัญปลิงทะเลเกรดสูงและรังนกในโทรศัพท์มาก่อน อย่างไรก็ไม่แพงมากขนาดนี้ เขาคิดง่ายๆ ครู่หนึ่ง ถ้าไม่ได้คิดผิดหวังเฉียงน่าจะเพิ่มราคาให้ตัวเองอีกเท่าตัว
แต่นี่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่สำเร็จก็พอ ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจว่าหวังเฉียงจะเอาเปรียบเขา เดิมทีก็สมควรอยู่แล้ว
“เหอะๆ ผู้อำนวยการหวังเกรงใจแล้ว ผมต้องขอบคุณคุณที่ช่วยซื้อต่างหากครับ”
“อย่าเกรงใจฉันเลย ก็เพื่อให้สำเร็จไม่ใช่หรือไง ไป เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
เมื่อเดินเข้าไปในชุมชน หวังเฉียงก็บอกซ่งจื่อเซวียนว่าอธิบดีแซ่ลู่ ชื่อลู่ลี่จวิน เมื่อก่อนเคยทำงานที่หน่วยงานสาธารณสุขเมืองตู้เหมิน ต่อมาถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีที่หน่วยงานควบคุมตลาด
ทำความเข้าใจง่ายๆ เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็มาถึงประตู ซ่งจื่อเซวียนสังเกตว่าบ้านของลู่ลี่จวินไม่ได้อยู่ในตึกสูง แต่อยู่ในตึกแนวตะวันตกที่เรียงกันด้านนอก ในเวลานี้จึงได้เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงบอกว่าเป็นข้าราชการดีกว่าเป็นเถ้าแก่ใหญ่ เพราะ…สวัสดิการเหล่านี้มันดีจริงๆ
หวังเฉียงกำลังจะเคาะประตูก็เห็นประตูเปิดออกทันที ผู้หญิงวัยห้าสิบเดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ไอ้หยา เสี่ยวหวังนายมาแล้วเหรอ มาได้ทันเวลาพอดี เหล่าลู่ไม่สบาย ฉันว่าจะพาเขาไปโรงพยาบาล”
ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของลู่ลี่จวิน เมื่อหวังเฉียงและซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็มองหน้ากันและอึ้งไปทั้งคู่
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่า…จะมาผิดเวลาเสียแล้ว
………………………………………………