เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 166 ผมคิดว่าผมมีวิธี
ตอนที่ 166 ผมคิดว่าผมมีวิธี
ได้ยินเสียงนั้น ซางเทียนซั่วก็ชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ชายในชุดรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาด้วยความอวดดีและเรียกด้วยน้ำเสียงยโสโอหังอย่างยิ่ง
“ใครบอกว่าฉันจะจอดล่ะ ฉันจะขับเข้าไป นายเป็นตำรวจจราจรเหรอ มายุ่งอะไร…” ซางเทียนซั่วเมินด้วยความไม่พอใจ
“ขับเข้าไปเหรอ งั้นก็หลีกทางให้รถคันหลังเข้าไปก่อน!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะเบ็งเสียง
ซางเทียนซั่วได้ยินก็โมโหจึงดึงเบรกมือขึ้น ลงจากรถก่อนชี้ไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้วก่นด่า “เย็*แม่ แกเป็นบ้าไรวะเนี่ย ให้ข้าหลีกทางงั้นเหรอ ใครให้แกอวดดีวะ”
เห็นซางเทียนซั่วหยาบคาย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ตื่นตกใจทันที “รถคันหลังคือรถผู้บริหาร อย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย!”
บางครั้งก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเจอคนพาล ถ้าอ่อนข้อให้อีกฝ่ายจะข่มเหงรังแกจนถึงที่สุด แต่ถ้าพาลกลับอีกฝ่ายจะขี้ขลาดทันที…
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นจึงเอ่ย “เทียนซั่ว อย่าก่อเรื่องเลย เราหลีกหน่อยเถอะ”
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างนี้ ซางเทียนซั่วก็ถลึงตามองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น จากนั้นก็ขึ้นรถทันทีและขับรถหลบไปด้านข้างให้รถฟ็อลคส์วาเกินที่อยู่ข้างหลังขับเข้าไปในลานก่อน
เห็นป้ายทะเบียนรถคันนั้น ซางเทียนซั่วก็สบถ “เชี่ย เลขห้าสี่ตัว โคตรเจ๋ง เลขทะเบียนดีๆ โดนพวกเขาฉกไปหมดเลย”
เมื่อเห็นรถคันนั้นเข้าไปแล้วจึงหันหัวรถกลับเข้ามาที่ลาน
ความจริงในสถานการณ์ปกติทั่วไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะสอบถามรถที่ไม่คุ้นเคยอยู่แล้ว แต่หลังจากถูกซางเทียนซั่วตะคอกใส่เมื่อครู่นี้ บวกกับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสระดับไฮเอนด์ที่เขาขับ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นไปแทน
โดยทั่วไปที่พวกเขาสอบถามเพราะกลัวว่าคนร้องเรียนจะมาก่อปัญหาที่หน่วยงานควบคุมตลาด แต่คนแบบนี้ไม่ค่อยขับรถหรูมาฟ้องร้องมากนัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มีประสบการณ์อยู่บ้างจึงไม่มีปัญหาที่จะปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
ขณะที่จอดรถ ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นชายวัยกลางคนที่ลงจากรถป้ายทะเบียนเลขห้าสี่ตัวคันนั้น ชายคนนั้นสวมเสื้อกันลมสีดำ แผ่นหลังยืดตรงเป็นระเบียบมาก ดูแล้วคู่ควรกับการเป็นผู้บริหารอย่างยิ่ง
“อาจารย์ เราเข้าไปกันเถอะ!” ซางเทียนซั่วพูดหลังจากจอดรถแล้ว
“ไม่ต้องรีบ ฉันจะโทรหาผู้อำนวยการหวังก่อนจะได้ไม่เสียมารยาท”
“สวัสดีครับ ผู้อำนวยการหวังใช่ไหมครับ ผมแซ่ซ่ง คุณหลินเทียนหนานแนะนำให้ผมติดต่อคุณครับ”
“อ้อ…ฉันรู้แล้ว น้องซ่งนี่เอง เหอะๆ ประธานหลินบอกฉันไว้แล้ว นายหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ” หวังเฉียงถาม
“มาคุยกันต่อหน้าเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนให้คุณช่วยสักหน่อย ตอนนี้ผมใกล้จะถึงสำนักงานแล้วครับ”
“แบบนี้ก็ดีเลย นายรอเดี๋ยวนะ ฉันต้องไปรับแขกก่อน ประมาณยี่สิบนาทีนายขึ้นมาหาฉันที่ห้องทำงานชั้นสามได้เลย”
“ครับผม”
หลังจากวางสาย ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วก็รออยู่ในรถยี่สิบนาที เพราะคนเขาบอกไว้แล้วจึงขึ้นไปเลยไม่ได้ นั่นจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป
“เฮ้อ อาจารย์ น่าเสียดายที่โรงแรมของครอบครัวผมอยู่ที่ปักกิ่งเลยไม่สนิทกับคนในตู้เหมิน ไม่อย่างนั้นผมจะช่วยจัดการให้แล้ว” ซางเทียนซั่วส่ายหัว
“เอาน่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าครั้งนี้ฉันผ่านไปได้ก็พอใจแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ
อันที่จริงสำหรับเขาแล้ว นี่ก็เป็นเดิมพันเช่นกัน สิ่งที่เดิมพันคือคนที่เขาขอความช่วยเหลือจะแข็งแกร่งพอๆ กับคนที่หวงฟาขอความช่วยเหลือหรือเปล่า ถ้ามีล่ะก็ หวงฟาก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าไม่มี…เกรงว่าครั้งนี้คงจะยุ่งยากจริงๆ แล้ว
ใกล้ถึงเวลาแล้ว ทั้งสองคนจึงลงจากรถและตรงเข้าไปในอาคารสำนักงาน
เมื่อขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นสามและกำลังจะออกไปก็มีชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาพอดี ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นว่าชายคนนั้นคือคนที่มีป้ายทะเบียนรถเลขห้าสี่ตัวเมื่อครู่นี้
ประตูลิฟต์ปิดลง ซางเทียนซั่วก็กล่าว “โลกกลมจังเลยนะ อาจารย์ เขาคือคนในรถคันเมื่อกี้นี่”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ฉันรู้ ไปกันเถอะ”
จากปากทางเข้าลิฟต์จะเห็นว่าสำนักงานบนชั้นสามมีห้องอยู่เจ็ดแปดห้อง ประตูที่อยู่ใกล้กับลิฟต์ที่สุดติดป้ายตัวอักษรสามตัวว่า ‘สำนักงาน’ ไว้
ภายในหน่วยงานจะมีแผนกหนึ่งเรียกว่าสำนักงาน ทำหน้าที่รับผิดชอบช่วยเหลือผู้นำฝ่ายบริหาร ต่างจากสำนักงานที่ผู้คนมักจะเรียกกัน
เดินไปถึงหน้าประตูสำนักงาน ซ่งจื่อเซวียนเคาะประตูสองสามครั้ง จากนั้นก็เปิดประตูเดินเข้าไป
ภายในสำนักงานมีพนักงานประมาณสี่ห้าคน ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่นอกสุดถามว่า “คุณมาหาใครครับ”
“สวัสดีครับ ผมมาหาผู้อำนวยการหวัง”
“อ้อ อยู่ในห้องเดี่ยวข้างในครับ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
แผนผังสำนักงานนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากมีพื้นที่ทำงานเล็กน้อยแล้วก็มีประตูอีกบานหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องเดี่ยวที่ผู้บริหารใช้และยังเป็นห้องทำงานของหวังเฉียงอีกด้วย
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปเคาะประตู แต่คราวนี้เขาไม่ได้เปิดประตูเข้าไปเลย เพราะเขารู้แล้วว่านี่คือห้องทำงานของผู้บริหาร ต้องรอให้อีกฝ่ายอนุญาตก่อน
“เชิญเข้ามา”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาก็เห็นว่าห้องทำงานจัดวางอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะเก้าอี้ทำงาน โซฟา โต๊ะกาแฟอย่างละหนึ่งชุด และมีกระถางต้นไม้สีเขียววางอยู่ที่มุมห้อง
คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเป็นชายวัยสี่สิบปี สวมแจ็กเก็ตมีปกสีดำ ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีเทา ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดออกและจัดทรงผมสุดเนี้ยบ ท่าทางเหมือนเจ้าหน้าภาครัฐตามมาตรฐาน
“เหอะๆ เสี่ยวซ่งใช่ไหม มาๆ นั่งเลย เทียนหนานบอกฉันแล้วว่านายทำงานที่ตู้เหมินได้ดี” เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา หวังเฉียงก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟา
“ผู้อำนวยการหวังเกรงใจแล้วครับ ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น แค่เปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งเท่านั้น”
“ไม่ธรรมดา นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว นายดูสิว่านายอายุยังน้อยขนาดนี้ คนรุ่นใหม่น่ากลัวซะจริง ดื่มชาสักหน่อยเถอะ”
บทสนทนาง่ายๆ ไม่กี่ประโยคทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกได้ว่าผู้อำนวยการหวังคนนี้เรียบง่ายมาก ไม่ว่าจะมองจากภายนอกก็ไม่มีเสื้อผ้าหรือนาฬิกาแบรนด์เนมใดๆ อีกอย่างการพูดจาก็สุภาพมาก กระทั่งเป็นฝ่ายเริ่มส่งถ้วยชาให้กับซ่งจื่อเซวียนก่อนด้วยซ้ำ
แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ตอนมาถึง เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่บ้าอำนาจมาก แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่อย่างนั้น
“เหอะๆ ผู้อำนวยการหวัง จริงๆ แล้วผมมาที่นี่เพราะหวังว่าคุณจะพอช่วยได้”
“ใช่แล้ว เทียนหนานบอกว่านายอาจเจอปัญหาบางอย่าง ลองบอกมาสิ ถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วยแน่นอน ยังไงฉันก็เป็นเพื่อนกับเทียนหนานมาหลายปี” ผู้อำนวยการหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและอธิบายเรื่องราวอีกครั้งทันที เขาพูดกระชับมากเพื่อเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญเท่านั้น และไม่ได้พูดถึงรายละเอียดส่วนที่เหลือ
อย่างไรเขาห็รู้ว่าผู้อำนวยการหวังไม่ได้สนใจเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
เมื่อฟังซ่งจื่อเซวียนเล่าจบแล้ว หวังเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ผู้อำนวยการหวัง เรื่องนี้…จัดการยากใช่หรือเปล่าครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
หวังเฉียงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “เสี่ยวซ่ง ฉันขอบอกนายตามจริงนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จัดการยาก หวงฟา…เหอะๆ เสี่ยหวงไม่ใช่คนธรรมดา”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ผงะไป เขาแค่ได้ยินมาว่าหวงฟามีความสัมพันธ์กับทางภาครัฐอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าแม้แต่คนอย่างหวังเฉียงก็ยังต้องเรียกเขาว่าเสี่ยหวง
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตที่ผ่านมานานแล้ว ในเมืองตู้เหมินมีนักเลงขาใหญ่จากวงการใต้ดินคนหนึ่ง เขาเจริญก้าวหน้าอย่างราบรื่น จนถึงขั้นที่อธิบดีกรมตำรวจในตอนนั้นทานข้าวกับเขา และเคารพเขาในฐานะแขกผู้อาวุโส
คิดไม่ถึงว่าในวงการนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
“ผู้อำนวยการหวัง ผมแค่อยากปรึกษาคุณสักหน่อย ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ ถ้า…”
ซ่งจื่อเซวียนยังพูดไม่จบ หวังเฉียงก็ยกมือขึ้น “อันที่จริงสิ่งที่วงการอาหารในตู้เหมินต้องการก็คือการพัฒนาไปในทางที่ดี ธุรกิจบางอย่างมีภูมิหลังที่ไม่ค่อยใสสะอาด ทำให้ตลาดดูเหมือนแก๊งสักอย่าง ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเหมือนกัน”
“หืม ผู้อำนวยการหวัง ที่คุณจะสื่อคือ…”
หวังเฉียงยกยิ้มเล็กน้อย “ในความคิดของฉัน บางสิ่งบางอย่างก็ควรแก้ไข อย่างการกระทำในตอนนี้ของหวงฟา จริงๆ แล้วก็ถือเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เห็นคนเขาทำข้าวผัดจักรพรรดิก็อิจฉาตาร้อน พออิจฉาตาร้อนแล้วก็จะทำร้ายคนเขางั้นเหรอ แล้วตลาดนี้จะพัฒนาไปได้ยังไง”
“ให้ตายเถอะ ผู้อำนวยการหวัง คุณคือผู้ผดุงความยุติธรรมจริงๆ เลย…” ซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยความตื้นตันใจ
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขาแรงๆ ครั้งหนึ่ง ตัวเองทำผิดพลาดแล้วจริงๆ ลืมเจ้าคนปากไม่มีหูรูดคนนี้ไปเสียแล้ว น่าจะพาฟางรุ่ยมาแทน อย่างน้อยจะได้หุบปาก…
ทว่าหวังเฉียงไม่ได้ขุ่นเคืองแต่ยกยิ้มแทน “มีคนหนุ่มสาวอย่างพวกนายโผล่มาแล้ว ก็ควรจะให้ตลาดมีสายเลือดรุ่นใหม่ โดยเฉพาะข้าวผัดจักรพรรดิเมนูนี้ โด่งดังจนฉันก็รู้จัก เสี่ยวซ่ง นายไม่ธรรมดาเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนโดนชมก็รู้สึกเขินเล็กน้อย จึงก้มหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อำนวยการ อย่าพูดแบบนี้เลยครับ ผมเขินไปหมดแล้ว”
“ฮ่าๆๆ คนหนุ่มสาวน่ะนะ เวลาที่ควรยกย่องก็ไม่ต้องถ่อมตัว ไม่อย่างนั้นจะไม่กลายเป็นตาแก่ประสบการณ์โชกโชนแบบพวกเราไปหมดเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมจะจำคำพูดของคุณไว้ครับ”
หวังเฉียงคลี่ยิ้ม “ฉันมีความคิดอย่างนี้นะ เสี่ยหวงคนนี้มีเส้นสายแข็งแรงมาก ไม่เพียงแต่ในสมาคมอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภายในพวกหน่วยงานของเราด้วย ถ้าจะช่วยนายเรื่องนี้ เกรงว่าผู้อำนวยการสำนักงานอย่างฉันจะมีกำลังไม่มากพอ แต่…”
“แต่?” ซ่งจื่อเซวียนเริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“น่าเสียดายที่ช่วงนี้อธิบดีกรมสุขภาพไม่ค่อยดีนักเลยขอลาป่วยไปหลายวัน ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไปรายงานเรื่องนี้แล้ว”
“หืม อธิบดีกรมที่นี่ เขาป่วยเหรอครับ”
“ใช่แล้วท่านอธิบดีจริงจังกับงานมากและมักจะทำงานล่วงเวลา คราวนี้เขาคงจะเหนื่อยล้าจนป่วย หมอบอกว่าเขาร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถรักษาได้ในทันที ต้องค่อยๆ ประคับประคองไป แล้วก็ไม่รู้ว่าในเวลานี้…”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจว่าต้องเหลือเวลาไม่มากแน่นอน เขากัดริมฝีปากเบาๆ ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ผู้อำนวยการหวัง ผมมีความคิดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันจะมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
“หืม นายอยากจะพูดอะไร” หวังเฉียงเอ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ตอนเด็กๆ ผมเคยเรียนรู้การแพทย์แผนจีนมาด้วย แม้ว่าจะเทียบกับหมอชื่อดังในตู้เหมินไม่ได้ แต่หมอเถื่อนก็มีไม่น้อย คุณก็รู้ว่าหมอเถื่อนรักษาโรคแปลกๆ ถ้างั้น…”
“โอ้ นายใช้ได้จริงๆ นะเนี่ย” นัยน์ตาของหวังเฉียงเป็นประกาย
ซ่งจื่อเซวียนดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง อย่างไรตำแหน่งของหวังเฉียงก็พูดได้ยาก สำนักงานผู้อำนวยการเป็นแผนกภายนอก ด้วยอายุเขาหากอยากจะเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับรองอธิบดีกรมก็ยังเป็นไปได้อยู่ แต่ถ้าไม่ได้ทำผลงานดีๆ ให้กับหัวหน้าเกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยาก
แต่คราวนี้ถ้าเขายืมมือซ่งจื่อเซวียนได้ก็คงเป็นเรื่องดีสำหรับหวังเฉียงจริงๆ เรียบง่ายก็ส่วนเรียบง่าย ในระบบราชการใครบ้างจะไม่อยากไต่เต้าขึ้นไปล่ะ
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจ “ผู้อำนวยการ ผมพูดได้แค่ว่าต้องลองดู”
หวังเฉียงได้ยินก็ส่ายหัว “เสี่ยวซ่ง นายจะลองเรื่องแบบนี้ไม่ได้ นายต้องแน่ใจ ฉันถึงจะช่วยนายได้”
ได้ยินดังนั้น ใจของซ่งจื่อเซวียนก็สั่นคลอนอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องแบบนี้…เขาจะแน่ใจได้อย่างไร
ทว่าลูกธนูอยู่บนสายแล้วต้องยิงให้ได้ ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้างแล้วเอ่ย “ได้ครับ ผู้อำนวยการหวัง ผมคิดว่าผมมีวิธีแล้ว!”
…………………………………………