เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 161 กำลังรับสมัครพนักงานนะ
ตอนที่ 161 กำลังรับสมัครพนักงานนะ
ซ่งจื่อเซวียนแสดงท่าทางห้ามปรามออกมาก่อน อย่างไรเขาก็ต้องแสดงท่าทางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หวังเฉิงยงหันหน้าไปมองเขา พูดว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ ไอ้หมอนี่พูดกลับไปกลับมา เมื่อกี้พูดว่าจะขายเครื่องถมปัดลายตังกวยสองใบนั่นให้ฉัน ลูกก็ได้ยินเหมือนกันใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ผมเป็นพยานให้ได้ พูดจากมุมกฎหมาย พวกพ่อสัญญาปากเปล่าก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดแสดงจุดยืนข้างหวังเฉิงยงทันที
ผู้จัดการคนนั้นยักไหล่ “แล้วยังไงล่ะครับ ให้รับผิดชอบหรือไง ตอนนี้ผมบอกว่าผมไม่เคยพูด ผมจะบอกคุณให้นะว่าเครื่องถมปัดสองใบนี่ผมไม่ขายแล้ว พวกคุณรีบกินข้าว กินเสร็จก็ไปจ่ายเงินด้วยครับ”
“อะไรนะ ยังต้องจ่ายเงินด้วยเรอะ” หวังเฉิงยงโมโห “ไม่ได้ คนอย่างแกนี่ไม่มีมารยาทเสียเลย รีบไปเอาของออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ แล้วเอาเงินหกพันห้านี่ไป”
“คนอย่างคุณทำไมถึงรั้นขนาดนี้กันครับ ผมพูดความจริงกับคุณก็แล้วกัน ที่จริงเครื่องถมปัดสองใบนี่ไม่ใช่ของผม เมื่อกี้เพื่อนผมคนหนึ่งผ่านมา หรือก็คือเจ้าของนั่นแหละ เขามาเอาสองใบนั่นไปแล้ว” สมองผู้จัดการก็หลักแหลม รู้ว่าถ้าพูดแบบนี้หวังเฉิงยงจึงจะหมดหนทาง
“เพื่อนเป็นเจ้าของงั้นเหรอ ไหนบอกว่าสืบทอดกันมาในตระกูลไง ไอ้เวร ปากแกนี่มีความจริงอยู่บ้างไหม” หวังเฉิงยงพูดตำหนิผู้จัดการ
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับปู่ เอาอย่างนี้ไหม มื้อนี้ผมเลี้ยงคุณเอง คุณก็อย่าทำให้ผมลำบากใจเลย ผมก็เป็นแค่คนที่เห็นเงินก็ตาโต ของนั่นไม่ใช่ของผมจริงๆ”
ได้ยินประโยคนี้ หวังเฉิงยงก็ไม่ลดละ หันหลังไปถาม “ไอ้หนุ่ม เมื่อกี้นายเห็นว่ามีคนเอาของไปหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “มัวแต่กินอยู่น่ะ”
“นายเป็นหมูหรือไง สายตามีแต่เรื่องกิน ไม่ดูของหน่อยเลย”
“ก็คุณไม่ได้ให้ผมดูไว้นี่” ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่หวังเฉิงยง
หวังเฉิงยงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “งั้นก็ได้ ถือว่าฉันโชคร้ายแล้วกัน นายยังจะกินอีกไหม”
“ผมกินอิ่มแล้ว คุณกินไหม”
“ฉันยังจะกินลงอีกหรือไงวะ ช่างเถอะ ไปได้แล้ว!”
พูดจบ หวังเฉิงยงก็หันหลังเดินออกไปจากร้านอาหารตะวันตกด้วยความโกรธ ผู้จัดการคนนั้นยังขอโทษไม่หยุด แต่เหมือนจะไม่มีประโยชน์แล้ว เป็ดที่ต้มสุกบินหนีไปแล้ว หวังเฉิงยงเสียอารมณ์นัก
ทั้งสองเดินออกมาจากร้านอาหารตะวันตกเอมโอช สีหน้าหวังเฉิงยงอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดเรื่องนี้มาตลอดทางก็อดส่ายหน้าไม่ได้
“เฮ้อ นายว่าตกลงเรื่องนี้มันยังไงกันแน่ ไอ้ผู้จัดการนั่นจะพูดสับปลับหรือเปล่า” หวังเฉิงยงพูด
ซ่งจื่อเซวียนตีหน้าซื่อตอบ “ไม่รู้สิ แต่เขาก็พูดแล้วว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของ เราก็ทำอะไรไม่ได้”
“เฮ้ย นายเชื่อเขาเรอะ นี่มันข้ออ้างทั้งนั้น ฉันจะบอกให้นะว่าเขาน่ะเป็นเจ้าของแน่นอน ฉันเดาว่า…สุดท้ายเขาน่าจะรู้ตัวเข้า”
“ใครจะรู้ล่ะ ยังไงเขาก็ไม่คิดจะขายแล้ว เรื่องแบบนี้ใครก็ทำอะไรไม่ได้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“นั่นแหละ แต่การแสดงของเราวันนี้ไม่มีปัญหา เด็กอย่างนายทำไมถึงเจ้าเล่ห์ขนาดนั้น เปิดมาก็เรียกพ่อเลย แถมยังพูดซะสมจริงอีก”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “บอกแล้วว่าจะช่วยคุณก็ต้องพยายามสุดกำลังสิ”
“เหอะๆ ใช้ได้ ฉันไม่ได้มองผิดคน เด็กอย่างนายน่ะมีอนาคต” ดวงตาทั้งสองของหวังเฉิงยงพลางพิจารณาซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเพียงว่าถูกมองจนรู้สึกอึดอัด จึงพูดว่า “คุณจะมองผมทำไมเนี่ย”
“โธ่…นายพูดความจริงมาเลยว่านายไปเตือนสติเจ้าของใช่ไหม ตัวเองไม่ได้ เห็นฉันได้ก็เลยอิจฉา ใช่ไหมล่ะ” หวังเฉิงยงพูด
“พูดอะไรไร้สาระน่า คนอย่างซ่งจื่อเซวียนเป็นคนแบบนั้นหรือไง ผมจะบอกคุณให้นะว่าผมทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอก”
ซ่งจื่อเซวียนพูดในใจ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ ผมเป็นคนที่พยายามสุดความสามารถจนเอามาเป็นของตัวเองได้ต่างหาก…
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจ อย่างแรก หลักการทำธุรกิจก็แบบนี้ ของอยู่ตรงไหน ใครมีฝีมือคนนั้นก็ได้ไป อย่างที่สอง ก่อนหน้านี้ตาแก่หวังก็หลอกเขาไปรอบหนึ่งเหมือนกัน มากสุดนับว่าได้โต้กลับ เจ๊ากันแล้ว!
หวังเฉิงยงได้ยินก็พยักหน้า “นี่ก็ใช่ นายคงทำเรื่องขาดศีลธรรมไม่ได้หรอก เอาเถอะ ถือว่าข้าโชคร้ายแล้วกัน”
“งั้นทำไงดี เปลี่ยนที่ดื่มหน่อยดีไหม”
“ไม่มีอารมณ์ วันอื่นเถอะ แยกย้ายกลับบ้าน แยกย้ายไปหาแม่!”
พูดจบ หวังเฉิงยงก็เลี้ยวเข้าซอยไป จนเขาจากไป ซ่งจื่อเซวียนก็กำหมัดวาดลงไปด้านล่างทันที กระโดดโลดเต้นอยู่ที่เดิมสองสามครั้ง ได้ปลดปล่อยความดีใจที่อัดอั้นออกมาเสียที…
เดินไปจนถึงปากซอยบ้านตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีแดงจอดอยู่ตรงนั้นจากที่ไกลๆ
เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ ประตูรถก็เปิดออก โต้วซานซานเดินลงมา
“อาจารย์ มาแล้วเหรอ ฉันเอาเครื่องถมปัดสองใบนั่นมาให้แล้วนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ขอบใจนะซานซาน เธอนี่น่าสนใจจริงๆ จริงสิ หกพันห้าร้อยหยวนใช่ไหม เดี๋ยวฉันโอนให้นะ”
“ไม่ต้องหรอกอาจารย์ ก็ถือว่าฉันแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์แทนเทียนซั่วแล้วกัน หกพันกว่าหยวนเราก็อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ชะงักไป หกพันกว่ายังไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยอีกเหรอ โต้วซานซานคนนี้รวยจริงๆ
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้น่าแปลก ที่คนเขาถูกขนานนามว่าราชินีของหวานนั้นมีเหตุผล อย่างไรก็เปิดร้านขนมหวานด้วย ในเวลาหนึ่งปีก็เปิดอีกสองสาขา ไม่ว่าจะสั่งอาหารจากหน้าร้านหรือทางออนไลน์ก็ออร์เดอร์ทะลักทั้งหมด
“อย่าทำอย่างนั้นเลย แยกกันเป็นเรื่องๆ ไป ควรจะจ่ายเงินก็ต้องจ่าย เอาอย่างนี้ ฉันยังมีธุระด่วนอยู่ เดี๋ยวฉันจะโอนให้เทียนซั่ว แล้วให้เขาเอาไปให้เธอ”
ซ่งจื่อเซวียนรับเครื่องถมปัดลายตังกวยสองใบมาก็เดินไปที่ปากซอย โต้วซานซานคิดจะพูดอะไรก็พูดไม่ทันแล้ว…
กลับถึงบ้าน หานหรงกับซ่งอีหนานกำลังกินข้าวอยู่ เห็นซ่งจื่อเซวียนกลับมาแล้ว หานหรงก็เอ่ยว่า “เจ้ารองกลับมาแล้วเหรอ วันนี้เร็วจริงๆ รีบไปล้างมือมากินข้าวเถอะ”
“ไม่ล่ะแม่ ลูกกินมาแล้ว กินกันไปเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินมาถึงเตียงเล็กๆ ของตัวเอง เริ่มชื่นชมเครื่องถมปัดลายตังกวยคู่นี้
ฝีมือประณีตเกินคำบรรยายจริงๆ เทคนิคลงยาเทียบได้กับเครื่องลายครามจิ่งไท่หลานชั้นเยี่ยมร่วมสมัย อีกทั้งสีฝ้าหลางก็นุ่มนวลงดงามมาก สมแล้วที่เป็นเทคนิคงานช่างในวัง
ตาแก่หวังหนอตาแก่หวัง คุณนี่เป็นพ่อสื่อพ่อชักของผมกับเครื่องถมปัดลายตังกวยคู่นี้จริงๆ
เห็นเครื่องถมปัดแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกชอบจนบอกไม่ถูก อดยกขึ้นมาจุ๊บไปสองทีไม่ได้ เขารีบดึงกล่องเปล่าใต้เตียงเล็กๆ ออกมา เอาเครื่องถมปัดใส่เข้าไป
ซ่งอีหนานกลอกตาใส่ซ่งจื่อเซวียนที่หนึ่ง “เจ้ารอง นี่นายไปเอาของเก่าๆ นี่มาจากไหนอีก นายดูสิว่าตรงนายมันรก ตู้เก่าๆ ข้างๆ นั่นอีก แล้วนี่ก็มีไหเก่าๆ มาเพิ่มอีกสองใบ คราวหน้าฉันจะทิ้งให้หมด”
“ปัดโธ่ พี่สาวคนดีของผม นี่สมบัติผมเล็กๆ น้อยๆ เอง พี่ก็อย่าทิ้งเลย” ซ่งจื่อเซวียนรีบยกมือไหว้พูด “พี่ก็ทนผมช่วงหนึ่งเถอะ รอน้องชายพี่ได้เงินมา เราก็ย้ายบ้านแล้ว ผมจะเอาห้องหนึ่งไว้วางของพวกนี้ ไม่ขวางหูขวางตาพี่หรอก”
หานหรงพูด “แกจะสนใจเขาทำไมเล่า เขารักของพวกนั้นก็ให้เขาเก็บสะสมไปเถอะ ไม่รบกวนแกหรอก”
“แม่เข้าข้างอะ เจ้ารองนั่นรกรุงรังไปหมดแล้ว” ซ่งอีหนานมุ่ยปากพูด
“ฉันก็ลำเอียงนี่แหละ ไม่ช้าก็เร็วแกก็ต้องแต่งงานออกไป ฉันไม่เข้าข้างลูกชายฉันแล้วจะไปเข้าข้างใคร เอาล่ะๆ รีบไปกินข้าว เจ้ารอง ฉันจะบอกแกให้นะ จากนี้ก็ซื้อของเก่าๆ พวกนี้ให้น้อยๆ หน่อย มันรก”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยกมือไหว้แม่ “แหะๆ ท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่พูดถูก มีแต่แม่ที่เข้าใจลูก ไม่อย่างนั้นจะพูดได้ยังไงว่าเป็นแม่แท้ๆ ของลูกน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางล้วงมีดทำอาหารออกมาจากใต้หมอน แล้วเดินไปหาหานหรงและซ่งอีหนาน
ซ่งอีหนานสะดุ้งตัวโยน ถอยหลังไปที่ผนัง “เจ้ารอง นายจะทำอะไร…”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร หันไปจุ๊บหานหรงสองที ก็เดินออกไปข้างนอก
“เอ๊ะ แกจะไปไหนเนี่ย” หานหรงถาม
“จะออกไปข้างนอกหน่อย”
หานหรงรีบลุกขึ้นไล่ตามซ่งจื่อเซวียนไป จับมีดในมือเขาไว้แน่น “เจ้าพระคุณเอ๊ย แกจะไปทะเลาะกับคนอื่นใช่ไหมเนี่ย ถือมีดทำอาหารจะไปทำอะไรสิ้นคิดใช่ไหม ไม่ต้องไปเลย!”
“แม่คิดอะไรของแม่เนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา “ลูกเป็นเชฟนะ จะเอามีดที่ซื้อมาใหม่ไปให้ตาเฒ่าฟางดูเฉยๆ”
หานหรงถึงได้วางใจ “อ้อ อย่างนี้นี่เอง แกรีบกลับมาหน่อยแล้วกัน อย่าอยู่ที่นั่นนาน ปู่แกยังต้องพักผ่อนนะ”
“รู้แล้วครับแม่!”
……
ที่ร้านอาหารร่ำรวย
สามทุ่มครึ่ง ร้านอาหารร่ำรวยก็ถึงเวลาเลิกงาน เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนไม่อยู่ ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยจึงนำพวกพนักงานเก็บกวาดชั้นบนชั้นล่าง ทำความสะอาดแบบง่ายๆ
ซางเทียนซั่วกำลังทำบัญชีที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ก็ได้ยินหยางกังพูดว่า “ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง เราปิดร้านแล้วครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันมาหาคนน่ะ”
พอได้ยินเสียง ซางเทียนซั่วก็เงยหน้าขึ้นทันที ตอนที่เห็นเด็กสาวคนนั้น ก็พลันคิดว่าตาฝาด
“ลี่…ลี่ลี่…” หน้าของซางเทียนซั่วตอนนี้แทบจะไม่ต่างกับหมูบ้ากามที่น้ำลายไหลอยู่เลย
“เทียนซั่ว นายก็อยู่เหรอ เชฟซ่งล่ะ” หลัวลี่ลี่ถาม
ซางเทียนซั่วจับท้ายทอยเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ยิ้มแห้งๆ “แหะๆ อาจารย์ฉันไม่อยู่ แหะๆ มีเรื่องอะไรบอกฉันมาเลยก็ได้ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“นั่นสิ ไม่เจอกันนานเลย เฮ้อ…ฉัน…ฉันมาหาเชฟซ่งเพราะมีเรื่อง…”
เห็นหลัวลี่ลี่ถอนหายใจ ซางเทียนซั่วก็รีบพูดว่า “เธอไม่ต้องกังวล นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ เธอพูดกับฉันก็เหมือนกัน เชฟซ่งเป็นอาจารย์ของฉันนะ”
หลัวลี่ลี่มุ่ยปากพลางพยักหน้า นั่งลงก่อนจะพูดว่า “อย่างนั้นก็ได้ เทียนซั่ว ทางต้าสือไต้…หยุดทำการชั่วคราวแล้ว”
“ฮะ อะไรนะ ไม่เปิดแล้วเหรอ ร้านอาหารใหญ่ขนาดนั้นบอกว่าไม่เปิดก็ไม่เปิดเหรอ” ซางเทียนซั่วประหลาดใจ
อันที่จริงด้วยขนาดของต้าสือไต้ ต่อให้ไม่มีข้าวผัดจักรพรรดิ กิจการก็ไม่น่าจะมีปัญหา
อย่างไรข้าวผัดจักรพรรดิก็ช่วยดึงยอดขายขึ้นมาในช่วงแรก ต่อให้ตอนนี้กำไรจุดนี้ลดน้อยลง ก็ยังหากำไรได้แน่นอน
“ไม่รู้สิ ยังไง…ทีมเชฟและคนของโถงด้านหน้าก็โยกย้ายกันไปหมดแล้ว จ่ายค่าชดเชยตามสัญญาแล้วด้วย” หลัวลี่ลี่พูด
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ๋งโคตร ให้เงินชดเชยด้วย…อย่างนี้ทุกคนก็ตกงานกันหมดเลยสิ”
หลัวลี่ลี่พยักหน้า
เห็นหลัวลี่ลี่ไม่พูด ซางเทียนซั่วก็พูดต่อ “งั้นที่เธอมาหาอาจารย์ฉันวันนี้…เพราะคิดจะมาทำงานกับพวกเราเหรอ”
“อืม…ใช่ แต่ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยสนิทกับเชฟซ่งเท่าไร เฮ้อ”
“ไม่เป็นไรนะ เราสองคนสนิทกัน เราสองคนสนิทกันก็พอแล้ว” ซางเทียนซั่วพูดพลางหัวเราะแหะๆ ถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้ เอามือวางไว้ที่หลังมือของหลัวลี่ลี่
ตอนที่สัมผัส ซางเทียนซั่วคิดแค่ว่าคนกันเองจึงทำเนียน ปลิ้นปล้อนจริงๆ…
หลัวลี่ลี่รีบดึงมือกลับมา “แต่ฉันว่า…คนที่นี่ของพวกนายก็ไม่น้อยนะ คงจะไม่ขาดคนเลย”
ซางเทียนซั่วลุกขึ้นทันที “ใครว่าล่ะ ขาดสิ จะไม่ขาดได้ยังไง ตอนนี้เรากำลังรับสมัครพนักงานนะ!”
ซางเทียนซั่วไม่สนสี่สนแปด เปิดปาดก็พูดว่าร้านอาหารร่ำรวยกำลังเปิดรับสมัครอยู่ หยางกังที่อยู่ใกล้ๆ มึนงงไปหมด พูดในใจว่าเปิดรับสมัครงานตั้งแต่เมื่อไร
“หา?” หลัวลี่ลี่มองซางเทียนซั่วอย่างประหลาดใจ
“ลี่ลี่ ฉันว่าเธอใช้ได้ เธอเหมาะสมนะ พรุ่งนี้มาทำงานได้เลย!”
“จริง จริงเหรอ”
…………………………………………………..