เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 160 กับดักที่สอง
ตอนที่ 160 กับดักที่สอง
ซ่งจื่อเซวียนมองร่างเงานั้นแวบเดียวก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ก้มหน้าลง ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็น
อย่างไรเวลาที่ซื้อของเก่า โดยเฉพาะตอนที่ต้องพูดหลอกกันเพื่อซื้อของเก่านั้น สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดคือถูกคนรู้จักจำได้ หากอีกฝ่ายพูดอะไรออกมาเรื่อยเปื่อย งานนี้เป็นอันจบเห่
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเดินเข้ามา ใส่เสื้อคลุมสีชมพูตัวใหญ่ คอเสื้อเป็นขนสัตว์สีขาว ผมดำม้วนเป็นลอน น่ารักเหมือนสาวน้อยโลลิสุดๆ
คู่หมั้นในนามของซางเทียนซั่ว โต้วซานซาน!
การปรากฏตัวของโต้วซานซานทำให้ซ่งจื่อเซวียนประหลาดใจเป็นอย่างมาก อย่างไรเขากับหวังเฉิงยงกำลังเล่นละครตบตาอยู่ ตอนนี้หากเจอคนรู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก
ทว่าโชคดีที่โต้วซานซานไม่ได้สังเกตเห็นซ่งจื่อเซวียน แต่เดินตามพนักงานคนหนึ่งไปที่ประตูหนึ่งในร้านอาหาร ประตูบานนั้นน่าจะเป็นโซนครัวด้านหลังหรือห้องทำงานอะไรประมาณนี้
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว เธอ…เกี่ยวข้องอะไรกับร้านอาหารนี้
ขณะที่กำลังคิดอยู่ เขาก็ค้นข้อมูลในโทรศัพท์เจอพอดี จึงรีบเอาให้หวังเฉิงยงดู และยังจงใจทำองศาให้ผู้จัดการร้านอาหารคนนั้นมองเห็นได้มากพอ
“พ่อดูสิ ดูอันนี้ เครื่องถมปัดคู่นี้หน้าตาเหมือนกับสองอันนั้นไหม ราคาขายแค่สามพันหยวนเอง พ่อดูสิเขียนไว้ว่า…ปลายราชวงศ์ชิง ก็คือช่วงปลายของราชวงศ์ชิงใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนจงใจพูดเช่นนี้ เพื่อทำให้ผู้จัดการรู้สึกว่าเขาเป็นคนนอกวงการ
ผู้จัดการคนนั้นเข้ามาดูข้อมูลเหมือนดังที่ซ่งจื่อเซวียนคิดไว้
“เว็บไซต์อะไรเนี่ย มีหรือจะถูกขนาดนี้ ของของผมเป็นของโบราณ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีราคาแค่สามพันหยวน”
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ “ใครจะไปรู้ พ่อ ไม่ต้องซื้อหรอก เดี๋ยวพวกเราไปดูในอินเทอร์เน็ตก็ได้ เงินสามพันหยวนซื้อได้หนึ่งคู่ แถมลักษณะก็คล้ายกัน อยู่ปลายราชวงศ์ชิงเหมือนกัน ทำไมต้องจ่ายเงินให้เขาตั้งสองหมื่นหยวนด้วยล่ะ”
หวังเฉิงยงแสร้งทำเป็นลำบากใจ พ่นลมหายใจออกมา “ของลูกชัวร์ใช่ไหม ถ้าซื้อสามพันหยวนแล้วไม่ใช่ของแท้จะทำยังไง”
ผู้จัดการคนนั้นได้ยินก็หัวเราะออกมา “ใช่แล้ว ถ้างั้นพวกคุณไปซื้อในอินเทอร์เน็ตเถอะครับ ของในอินเทอร์เน็ตไม่แน่นอน ซื้อแล้วอาจจะส่งของปลอมมาให้คุณก็ได้นะ!”
ซ่งจื่อเซวียนกดให้ดูอีกสองสามครั้ง แล้วพูดว่า “พ่อดูสิ ในนี้บอกไว้ เรียกร้องให้ทุกคนเก็บสะสมอย่างมีสติ ของเก่าที่มีอายุใช่ว่าจะราคาสูงกันหมด อย่างเช่นเครื่องเคลือบลายครามพวกนี้ ต่อให้จะอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงหรือชิง แต่ก็มีราคาแค่หลักร้อยถึงหลักพันเท่านั้น อย่าคิดว่าของเก่าจะเป็นสมบัติทั้งหมด”
ในไม่ช้า ผู้จัดการก็ขยับเข้ามาดูอีกครั้ง จากสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยของผู้จัดการ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้แล้วว่า วิธีนี้ใช้ได้ผล ผู้จัดการเริ่มลังเลแล้ว
บางครั้ง ขอแค่คุณไม่ใช่นักสะสมที่เชี่ยวชาญ ก็จะไม่ถึงขั้นหัวเด็ดตีนขาดไม่ยอมขาย หากให้ราคาดีมา เขาก็ย่อมขาย
อย่างผู้จัดการคนนี้ ถึงแม้วัตถุชิ้นนี้จะเป็นของเก่า แต่ถ้าเขารู้ว่าของชิ้นนี้ไม่ได้มีมูลค่าสูง ก็จะไม่เก็บไว้เป็นของสะสมล้ำค่า หากให้ราคาที่สูงกว่าราคาตลาด เขาก็ยอมตกลงแล้ว
อย่างไรเครื่องถมปัดคู่นี้วางอยู่ในร้านอาหาร ที่จริงมูลค่าก็คือผลงานศิลปะในยุคปัจจุบัน มีราคาแค่สองสามพันหยวน แล้วทำไมถึงจะไม่ยอมขายล่ะ
แต่คนที่เก็บสะสมนั้นไม่เหมือนกัน เน้นย้อนรำลึกความทรงจำในอดีต เก็บของไว้เพราะมีความสุข ให้เงินเท่าไรก็ไม่ยอมขาย
ผู้จัดการอ่านข้อมูลแล้ว จึงเข้าใจทันทีว่าไม่ใช่ของเก่าทุกชิ้นจะมีราคา อันที่จริงตัวเขาเองก็เคยดูรายการตรวจสอบของเก่าโบราณเป็นบางครั้ง ในรายการเคยตรวจสอบของเก่าซึ่งเป็นของแท้แต่มีมูลค่าเพียงเจ็ดแปดพันหยวนเท่านั้น ตอนนี้พอลองคิดดู…ดูเหมือนเครื่องถมปัดลงยาฝ้าหลางลายตังกวยคู่นี้อาจจะมีราคาแค่หลักพันจริงๆ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังไม่แสดงตัวในทันที อย่างไรเขาก็เป็นผู้จัดการในร้านอาหารตะวันตก ไม่ได้ขาดเงินอะไร ไม่ถึงขั้นต้องขายเครื่องถมปัดคู่นี้ที่สืบทอดมาจากครอบครัว
ซ่งจื่อเซวียนอ่านความคิดของเขาออกจึงพูดขึ้นทันที “พ่อครับ พ่อเห็นหรือยัง อย่าคิดว่าของเก่าจะมีมูลค่าทั้งหมด ไม่ใช่ภาพเขียนตัวอักษรของคนดังอะไร สองหมื่นหยวน…ล้อกันเล่นแล้ว”
หวังเฉิงยงทำสีหน้าเสียดาย เอ่ยว่า “บะ…แบบนี้นี่เอง แต่…เครื่องถมปัดสองใบนี้สวยจริงๆ มีดวงสมพงศ์กับผม ผู้จัดการคุณ…ขายให้ผมถูกๆ หน่อยเถอะ”
ที่จริงตอนนี้ผู้จัดการอารมณ์ไม่ค่อยดี ได้รู้ว่าสมบัติของตัวเองไม่มีมูลค่าเท่าไร แล้วจะดีใจได้อย่างไร พอได้ยินคำพูดของหวังเฉิงยง เขาจึงเหลือบตาขึ้นมองแล้วเอ่ยว่า “คุณลองเสนอราคามา แต่เราตกลงกันแล้วนะ สามพันหยวนผมไม่ขาย”
ได้ยินผู้จัดการพูดเช่นนี้ หวังเฉิงยงก็อึ้งไป แววตาลังเลเล็กน้อย “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ของของคุณเดิมทีก็ไม่ได้คิดจะขายอยู่แล้ว แต่ผมชอบเลยขอให้คุณขายให้ ถ้างั้นผมยอมกัดฟัน ยอมขาดทุน ห้าพันหยวนโอเคไหม”
“อะไรนะ ห้าพันหยวน พ่อบ้าไปแล้วเหรอ คนอื่นขายแค่สามพันหยวน ผมกลับไปจะไปฟ้องแม่ให้ได้เลย!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้าโกรธเคือง
ผู้จัดการคนนั้นลังเลเล็กน้อย พ่นลมหายใจหนึ่งที เอ่ยว่า “ห้าพันหยวน…ผมไม่ขายราคานี้ ถ้าอย่างนั้น แปดพันหยวนก็แล้วกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนรีบพูดทันที “แปดพันงั้นเหรอ ล้อเล่นหรือเปล่า พ่อ ไปๆๆ ไปกินข้าว!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางลากหวังเฉิงยงกลับไปที่นั่ง
“อย่าสิ พ่อชอบ พ่อขอบอกลูกไว้ก่อน ห้ามฟ้องแม่ของลูกนะ!” หวังเฉิงยงถูกซ่งจื่อเซวียนลากไปก็พลางหันไปพูดว่า “พี่ชาย ขอราคาเดียว ขอหกพันหยวนได้ไหม ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ลูกชายของผมคัดค้านขนาดนี้”
หลังจากผู้จัดการสับสนอยู่หลายวินาทีก็กัดฟันพูด “หกพันห้าร้อยหยวน ถือว่าผมให้พวกคุณกินอาหารมื้อนี้ฟรีเลย!”
พอได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงแอบดีใจ เหอะ ได้ประหยัดเงินค่าข้าว ถือว่าไม่เลว เท่ากับตาแก่หวังควักเงินคนเดียว!
หวังเฉิงยงก็เข้าใจว่านี่เท่ากับตัวเองเลี้ยงอาหารมื้อนี้แทน ถึงแม้ในใจจะไม่พอใจเท่าไร แต่ก็ยังอยากได้เครื่องถมปัดคู่นั้นอยู่ เพราะเขาอยากได้ของชิ้นนี้มานานแล้ว หากคุณไม่รีบเอาแล้วเจ้าของเปลี่ยนใจไม่ยอมขาย คงช่วยไม่ได้จริงๆ แล้ว!
“ตกลงเลย คุณสั่งให้คนเอาลงมาให้ผมดูหน่อย ถ้ามีรอยแตกผมก็ไม่เอา”
“วางใจได้ เป็นสิ่งของที่สืบทอดมาจากครอบครัวของผม สภาพสมบูรณ์แน่นอน!”
ในไม่ช้า ผู้จัดการก็เหยียบเก้าอี้หยิบเครื่องถมปัดลงมาด้วยตัวเอง หวังเฉิงยงมองแล้วมองอีก จึงเอ่ยว่า “โอเค ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ ผมจะไปกดเงินเดี๋ยวนี้เลย แล้วพวกเราก็มาซื้อขายกัน”
“ไม่มีปัญหา กินเสร็จแล้วค่อยไปกดเงินก็ได้!” ตอนนี้ผู้จัดการพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะจะได้เงินมาจากการขายของแล้วไ
หกพันห้าร้อยหยวนสำหรับครอบครัวธรรมดาทั่วไปก็ถือเป็นเงินจำนวนมาก
“ไม่เป็นไร ผมเป็นคนใจร้อน จ่ายเงินแล้วกินข้าวจะอร่อยกว่า” ขณะพูด หวังเฉิงยงก็เดินออกไปข้างนอกร้านอาหาร “ไอ้หนุ่ม นายกินไปก่อนนะ แล้วอย่ามาหาว่าวันนี้ฉันเลี้ยงข้าวนายไม่อิ่ม”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเขา วันนี้ตาแก่อยากให้ตัวเองเลี้ยงข้าวอยู่แล้ว ตอนนี้ผู้จัดการให้กินฟรีจึงมองตัวเองเป็นเสี่ย เขาไม่สนใจมุกนั้นหรอก
มองหวังเฉิงยงที่อยู่นอกหน้าต่าง ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะไม่หยุด ดูเหมือนจะไม่มีธนาคารแถวๆ หน้าประตูร้าน เขาต้องเดินออกไปกดเงินอีกปากซอยหนึ่ง อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบกว่านาที ตาแก่คนนี้เพื่อสิ่งของชิ้นนี้ก็ยอมทุ่มสุดตัว
แต่จะว่าไปแล้ววันนี้ถือว่าราบรื่นพอสมควร แค่วางกับดักเล็กน้อยก็ได้ของมาแล้ว
พอกินข้าวไปสักพักหนึ่ง หวังเฉิงยงก็ยังไม่กลับมาเสียที ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะไปห้องน้ำ เพราะเขาและหวังเฉิงยงไม่ได้เอาสิ่งของมีค่าอะไรมา จึงเดินตรงไปยังห้องน้ำทันที
เข้าห้องเสร็จก็เดินออกมาล้างมือ พอเงยหน้าก็เห็นโต้วซานซานเดินออกมา คราวนี้หลบไม่พ้น อีกทั้งโต้วซานซานก็มองเห็นซ่งจื่อเซวียนแล้ว
“อาจารย์งั้นเหรอ มาทำอะไรที่นี่เหรอค้า”
โต้วซานซานยังคงเป็นสไตล์น่ารักเหมือนเดิม แต่ความคาวาอี้ที่เกินจริงแบบนี้ซ่งจื่อเซวียนรับไม่ไหวอยู่บ้างจริงๆ
“อืม แหะๆ มากินข้าวกับเพื่อนที่นี่น่ะ ซานซานเธอก็มากินข้าวเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามกลับหนึ่งประโยคอย่างมีมารยาท
“อ๋า เปล่าค่ะ ฉันมาส่งของที่ร้านค่ะ” โต้วซานซานกล่าว
“เอาของมาส่ง? พวกเธอไม่ได้ทำของหวานหรอกเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ เลี่ยปากับกราแตงร้านนี้เป็นสินค้าสำเร็จรูปที่ส่งมาจากร้านของฉันค่ะ อาจารย์ลองสั่งหรือยังคะ ถ้ายังไม่สั่งฉันจะให้หนึ่งชุดค่ะ” โต้วซานซานพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มน่ารัก
“ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องเกรงใจ ฉันสั่งแล้วน่ะ อ้อ…ถ้าอย่างนั้น เธอก็สนิทกับร้านนี้มากใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ เถ้าแก่ของพวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน เอาของมาส่งแบบนี้ ฉันก็ได้กำไรน้อยมาก แต่ก็ถือว่าช่วยกันค่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพลันนึกถึงคำพูดของหวังเฉิงยง บอกว่ารสชาติของร้านอาหารร้านนี้ไม่อร่อยอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนี้รสชาติกลับมาเหมือนเดิมแล้ว สงสัยคงเป็นเพราะนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปของโต้วซานซานมา
“ไม่เลวจริงๆ รสชาติอร่อยมาก ฮ่าๆๆ เทียนซั่วโชคดีที่มีเธออยู่”
พอพูดถึงซางเทียนซั่ว โต้วซานซานก็หน้าแดงขึ้นมา ใบหน้ามีความสุขเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด
“อาจารย์ ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่ค่อยได้สนใจเทียนซั่ว เขาสบายดีไหมคะ อาจารย์ต้องช่วยฉันจับตาดูเขา อย่าให้เขาไปทำตัวเจ้าชู้ที่ไหนนะคะ” โต้วซานซานมุ่ยปากพลางพูด
ซ่งจื่อเซวียนทำสีหน้ากระอักกระอ่วน เขารับท่าทางแอ๊บแบ๊วของผู้หญิงไม่ไหวจริงๆ เทียบกันแล้ว เขาชอบแบบถังหย่าฉีมากกว่า บริสุทธิ์ ตรงไปตรงมา อารมณ์เหมือนเด็กสาวข้างบ้าน
“ได้ เธอวางใจได้ หมอนี่ไม่ออกนอกลู่นอกทางหรอก” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็พลันมีความคิดที่น่ากลัวมากอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา จึงอดหัวเราะไม่ได้ “อ้อใช่ ซานซาน เธอสนิทกับเถ้าแก่ร้านนี้มากใช่ไหม ผู้จัดการล่ะสนิทไหม”
“สนิทค่ะ มีอะไรเหรอคะ”
ซ่งจื่อเซวียนแอบดีใจ ดีเลย ถือว่าเป็นพรหมลิขิตโดยแท้!
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ เพิ่งจะช่วยหวังเฉิงยงวางกับดักไปเมื่อครู่ ตอนนี้ตัวเองกลับต้องวางกับดักที่สองเสียได้
วันนี้…เหนื่อยจริงๆ แต่เหนื่อยแบบมีความสุข
…
ซ่งจื่อเซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ กินกราแตงอีกสองสามคำ แล้วจึงพยักหน้าไม่หยุด
ไม่เสียแรงที่โต้วซานซานได้ชื่อว่าราชินีแห่งของหวาน ทำอาหารตะวันตกได้รสชาติดั้งเดิมจริงๆ รสชาติของขนมปังเลี่ยปาก็อร่อยกลมกล่อมพอดี แทบจะนำมากินคู่กับไวน์ได้เลย
ขณะที่กำลังกินอยู่ หวังเฉิงยงก็เดินเข้ามาในร้านอาหาร เนื่องจากเขาอยากรีบตกลงซื้อขาย จึงไม่รีรออะไรแล้ว ตอนนี้ก็หายใจแทบไม่ทัน
เขาเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ วางเงินหกพันห้าร้อยหยวนบนเคาน์เตอร์ก่อน แล้วพูดว่า “เอา…เอาล่ะ น้องชาย เอา…เอาเครื่องถมปัดสองใบนั้นมาให้ผมที”
ผู้จัดการมองท่าทางเหนื่อยหอบของหวังเฉิงยง แล้วพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “ขอโทษจริงๆ ครับคุณปู่ เครื่องถมปัดนั่น…ผมขายไม่ได้แล้ว”
“หา? ขายไม่ได้แล้วเหรอ หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรครับ ก็แค่…ผมไม่ขายแล้ว” ผู้จัดการตอบ
“อะไรคือคุณไม่ขายแล้ว เมื่อกี้ก็ตกลงกันดีแล้ว ผมอุตส่าห์วิ่งไปกดเงินตั้งไกล ตอนนี้พูดว่าไม่ขายแล้วซะงั้น แบบนี้เรียกว่ากลับคำพูดไม่ใช่เหรอ” หวังเฉิงยงตะโกนใส่ทันที
ผู้จัดการรีบพูด “คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก คุณพูดแล้วว่าเงินมาของไป คุณยังไม่ได้จ่ายเงิน เพราะงั้นก็ยังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น เพราะงั้นผมอยากจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนใจได้”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมทะเลาะกันเสียงดังล่ะ”
เห็นทั้งสองคนเสียงดังขึ้น ซ่งจื่อเซวียนก็รีบวิ่งเข้ามา ในใจพยายามกลั้นหัวเราะสะใจสุดขีด
…………………………………………