เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 159 กับดัก
ตอนที่ 159 กับดัก
ทว่าเรื่องนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่สามารถพูดได้ อย่างไรตัวเองทำตัวไม่ดีก่อน แอบไปสำรวจเพื่อแย่งเครื่องถมปัด พูดออกไปตอนนี้ก็เท่ากับตัวเองยอมรับไม่ใช่เหรอ
วงการนี้ก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้คุณเชี่ยวชาญมากแล้ว ก็ใช่ว่าจะได้ของมาอย่างแน่นอน ข้อมูลของทุกอย่างที่รั่วไหลไป ก็จะไม่อธิบายให้ชัดเจน
ในใจรู้ว่าโดนแกล้งแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ยังเดินตามหวังเฉิงยงเข้าไปในร้านอาหารตะวันตกเอมโอช
ร้านอาหารตะวันตกเอมโอชถึงแม้จะเป็นร้านอาหารตะวันตก แต่เทียบกับระดับร้านอาหารหวนรำลึกแล้วต่างกันลิบลับ หากจะพูดว่าหวังเฉิงยงเคยมาที่นี่ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่แปลกใจขนาดนั้นแล้ว
ร้านอาหารไม่ใหญ่นัก มีพื้นที่ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบตารางเมตร โต๊ะอาหารหกตัว และโต๊ะค่อนข้างเก่า เป็นโต๊ะไม้เก่าทั้งหมด บริเวณโดยรอบเป็นกำแพงสีขาว ไม่มีการประดับตกแต่งอะไรมากนัก
หากไม่ได้ดูป้ายหน้าร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าที่นี่เหมือนร้านอาหารสุนัขในซอยมากกว่า ไม่เหมือนร้านอาหารตะวันตกเลยจริงๆ
“ไอ้หนุ่ม นายอย่ามองว่าที่นี่เป็นร้านเก่าล่ะ อาหารที่นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ”
“มีไม่ธรรมดาด้วยเหรอครับ ผมแค่อยากรู้ว่าเครื่องถมปัดลายตังกวยอยู่ที่ไหน” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างเร่งรีบ
หวังเฉิงยงขมวดคิ้ว “นี่นายเข้าใจไหมเนี่ย อ๋อคนอย่างนายนี่ พอเข้ามาก็ถามว่าเครื่องถมปัดลายตังกวยอยู่ที่ไหน ถ้าเขายอมขายให้นายก็บ้าแล้ว แม้แต่อาหารก็ไม่สั่ง คนเขาต้องรู้แน่นอนว่านายมาซื้อของเก่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าถูกต้อง ประเด็นหลักยังเป็นเพราะหวังเฉิงยงปั่นหัวตัวเองเล่น ไม่อย่างนั้นตัวเองคงไม่โกรธ จนอยากจะดูเครื่องถมปัดลายตังกวยเร็วๆ ขนาดนี้
“ฉันจะบอกนายให้นะ อาหารขึ้นชื่อที่สุดของร้านนี้คือซุปบีทรูท กราแตงกับสตูว์เนื้อครีม รสชาติอร่อยแบบดั้งเดิมแท้ๆ!”
“อาหารรัสเซียเหรอ”
“เก่งไม่เบา ไอ้หนุ่ม รู้จักด้วยเหรอ” ใบหน้าของหวังเฉิงยงเผยความชื่นชมออกมา
“ไม่ได้รู้จักขนาดนั้น ผมก็ไม่เคยกิน แต่เคยเห็นในหนังสือมาก่อน เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ร้านอาหารตะวันตกในประเทศจีนแทบจะมีแต่อาหารรัสเซียเป็นหลัก” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หวังเฉิงยงพยักหน้า “ถูกต้อง นี่คือเหตุผลของประวัติศาสตร์ ตอนนั้นพวกเรากับคนรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก พวกเราในยุคนั้นกินอาหารตะวันตก ก็คืออาหารพวกนี้ทั้งนั้น แค่ขนมปังทาเนยกินไม่พอหรอก ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “นั่นเรียกว่าเลี่ยปา(ขนมปังรัสเซีย)”
“ใช่ๆๆ ผู้เชี่ยวชาญ ฮ่าๆๆ พูดถึงอาหารตะวันตก ร้านอาหารตะวันตกเอมโอชก็มีประวัติยาวนานเหมือนกัน นายรู้จักร้านอาหารตะวันตกร้านแรกไหม”
“ร้านอาหารตะวันตกร้านแรกของประเทศจีน…น่าจะอยู่ที่ตู้เหมิน เปิดร้านโดยคนเยอรมัน” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“ถูกต้อง ร้านอาหารตะวันตกร้านนี้คือร้านอาหารตะวันตกแห่งแรกที่เปิดโดยคนจีน ถือว่าน่าสนใจเลยใช่ไหมล่ะ” หวังเฉิงยงกล่าว
“โอ้โห อย่างนั้นก็มีประวัติยาวนานเหมือนกัน แล้วทำไมไม่ทำร้านให้ดังไปเลยล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หวังเฉิงยงหัวเราะ “ดังงั้นเหรอ ก็ต้องดูว่าดังแบบไหน ในยุค 70 กับยุค 80 ร้านของพวกเขาดังระเบิดระเบ้อร้านแน่นไปตั้งหลายรอบ แบบนี้เรียกว่าดังไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหงึกๆ
“ต่อมาพวกเขาทำร้านแล้ว ก็ลงทุนในกิจการอื่น ร้านนี้จึงหยุดโตอยู่แค่นี้ ไม่ว่าจะขาดทุนหรือได้กำไร คนเขาก็ต้องการแค่การหวนรำลึกถึงอดีตเท่านั้น ยังไงนี่ก็เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองตู้เหมินเช่นกัน”
“ก็ไม่เลวนะ แต่…ผมขอถามหน่อย ทำไมผมต้องเลี้ยงล่ะ วันนี้ผมมาช่วยคุณ คุณควรต้องเลี้ยงไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“เหอะ นายพูดอย่างนี้ก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว วันนี้ถึงนายจะช่วยฉัน แต่ฉันทำให้นายได้เปิดหูเปิดตา ถูกต้องไหมล่ะ อาศัยแค่จุดนี้ให้นายเลี้ยงฉันสักมื้อจะเป็นไรไป”
ซ่งจื่อเซวียนจนใจ พลางพูดในใจว่าแกล้งฉันนี่นา ตอนนี้ยังจะพูดว่าอยากให้ฉันเปิดหูเปิดตา บอกให้ฉันเลี้ยงข้าว ตาแก่คนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ
แต่เขาก็ไม่สนใจนัก ในมือไม่เคยขาดเงินอยู่แล้ว เลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อแล้วได้ดูเครื่องถมปัดลายตังกวยใบนั้นถือว่าคุ้มค่าแล้ว
สำหรับคนที่รักของโบราณก็เป็นแบบนี้ จ่ายเงินแล้วใช่ว่าจะได้ของล้ำค่ามาครอบครอง มีของล้ำค่าแค่ได้ดูสักครั้งก็พอใจแล้ว
เหมือนมีดทำครัวเหล็กในสายตาของหวังเฉิงยง แค่ได้จับมีดหั่นเนื้อสักสองครั้งก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
จากนั้น หวังเฉิงยงจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหารสองสามอย่าง ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะไม่เคยกิน แต่ก็เคยได้ยินเมนูสองสามอย่างนี้มาก่อน
ทว่าถึงแม้ร้านจะเล็ก แต่ราคาอาหารกลับไม่ถูกเลย ทุกเมนูราคาหกสิบเจ็ดสิบหยวนขึ้นไป จึงสั่งมาสามอย่าง แค่ซุปบีทรูทก็สามร้อยหยวนแล้ว
สองคนกินอาหารราคาสามร้อยหยวน อยู่ที่ไหนก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลย
ในไม่ช้า อาหารสองสามอย่างก็มาวางบนโต๊ะ และตอนนี้รอบๆ ก็มีลูกค้ามานั่งอีกสองโต๊ะ
ซ่งจื่อเซวียนมองนาฬิกา “เวลานี้ยังมีลูกค้าอีก กิจการน่าจะอยู่ตัวมากเลยใช่ไหม”
“เหอะๆ คนที่มาส่วนใหญ่อายุเท่าพวกเรา มาหาความทรงจำเก่าๆ กัน แต่ฉันก็เห็นว่าช่วงนี้เด็กวัยรุ่นชอบมาอยู่ไม่น้อยนะ รสชาติคือราชาของจริง นายลองชิมอันนี้ดู กราแตงอร่อยมาก!”
ซ่งจื่อเซวียนกินหนึ่งคำ รสชาติไม่เลวจริงๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เลวเลย ผมไม่รู้ว่ารสชาติดั้งเดิมไหม แต่รสชาตินี้อร่อยจริงๆ เชฟของร้านนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน”
หวังเฉิงยงได้ยินแล้วก็หัวเราะ “ถือว่าพอได้ ยังไงก็มีประวัติยาวนานนับร้อยปี เชฟเปลี่ยนไปจากรุ่นสู่รุ่น และแต่ละรุ่นก็สู้รุ่นก่อนไม่ได้”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ อย่างนั้นก็เป็นร้านเก่าแก่อายุร้อยปีจริงๆ
หวังเฉิงยงขยับเข้ามาใกล้ซ่งจื่อเซวียน เอามือป้องปากแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้อาหารร้านของเขาไม่อร่อยเลย ฉันคิดว่าจะไม่มาแล้ว แต่ช่วงนี้รสชาติกลับมาอร่อยเหมือนเดิม ฉันได้ยินว่า พวกเขาจ้างเชฟนอกมา”
“จ้างเชฟนอกเหรอ ร้านอาหารทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ ตอนนี้มีร้านอาหารไม่น้อยที่ซื้อของสำเร็จรูปมาทำ แกะเทใส่จานแล้วก็ขาย เลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “นั่นก็ใช่ แต่รสชาติอร่อยดีนะ เชฟนอกที่จ้างมาสุดยอดมากเลย”
“ก็ใช่…อย่างแรกต้องเข้าใจอาหารรัสเซีย จากนั้นต้องเคยเรียนมาจริงๆ บวกกับความเข้าใจของตัวเอง เหอะๆ ของแบบนี้เรียนตามตำราอาหารไม่ได้หรอก ต้องลงมือทำจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงเริ่มสนใจพ่อครัวของร้านอาหารนี้แล้ว ฝีมือการทำอาหารแบบนี้…ถ้าหากได้ร่วมงานกับร้านอาหารร่ำรวย คงจะดึงดูดลูกค้าได้ไม่น้อย
แต่เสียดายที่ขนาดของร้านอาหารร่ำรวยเล็กไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงแบ่งเป็นโซนอาหารจีนกับโซนอาหารตะวันตกได้ แบบนี้น่าจะมีลูกเล่นเยอะกว่า
พอกินอาหารสองสามอย่างแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “คุณหยุดกินได้แล้ว รีบบอกมาว่าเครื่องถมปัดลายตังกวยอยู่ที่ไหน”
เมื่อทำความเข้าใจประวัติของร้านอาหารตะวันตกเอมโอชแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงเชื่อว่าคำพูดของหวังเฉิงยงเป็นความจริง ร้านเก่าแก่อายุร้อยปี โดยเฉพาะร้านอาหารตะวันตก มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีวัตถุโบราณลงยาฝ้าหลาง
ตอนนี้ สิ่งของที่ลงยาฝ้าหลางล้วนนำกลับมาจากต่างประเทศ และพบในร้านอาหารตะวันตกแบบนี้ได้ง่ายกว่า
หวังเฉิงยงยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ไอ้หนุ่มนายตาบอดเหรอ มองไปข้างบนสิ!”
ซ่งจื่อเซวียนรีบมองไปรอบๆ ทันที ด้านบนของกำแพงมีชั้นวางแสดงผลงานอยู่อย่างที่คิดไว้ ตรงนั้นจัดวางงานฝีมืออยู่ไม่น้อย มีแจกันดอกไม้ ขาตั้งภาพ แล้วก็มีเครื่องถมปัดลายตังกวยตามที่หวังเฉิงยงบอก
เหมือนดังที่หวังเฉิงยงกล่าว เครื่องถมปัดนี้ถือว่าเป็นสไตล์ชาววัง ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการลงยาหรือว่าการจับคู่สี ล้วนแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งและสง่างาม
นอกจากนี้แค่รูปทรงของโครงสร้างทองแดงก็ถือว่าสมบูรณ์แบบมากแล้ว ต้องเป็นฝีมือของปรมาจารย์แน่นอน ที่สำคัญคือดูจากด้านนี้แล้ว ต้องเป็นของแท้อย่างแน่นอน ไม่มีความเสียหายหรือแตกหักแต่อย่างใด
มองดูเครื่องถมปัด ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจละสายตาได้เลย มองดูเครื่องถมปัดลายตังกวยนั่น เหมือนได้เห็นภาพของวังในยุคนั้นก็ไม่ปาน องค์หญิงกับเหล่าสนมทั้งหลายกำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น นางข้าหลวงกวาดพื้นอยู่ข้างๆ เช็ดโคมไฟอยู่
พอนึกถึงภาพเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออมา
“เฮ้ยๆๆ ไอ้หนุ่ม คิดอะไรอยู่ ฉันกลัวว่านายจะยิ้มนี่แหละ ฉันบอกนายก่อนนะ เครื่องถมปัดคู่นี้เปลี่ยนมาใช้แซ่หวังแล้ว” หวังเฉิงยงรีบหยิบตะเกียบแตะไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“เฮ้อ คุณคิดจะเอามันมาได้ยังไง ของชิ้นนี้วางอยู่สูงขนาดนั้น คุณคิดว่าเขาจะรู้ไหมว่ามันมีราคา” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ
“ไร้สาระ ก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นจะวางไว้ตรงนั้นเหรอ ถ้าตกลงมาแตก คงเสียใจน่าดู”
ซ่งจื่อเซวียนค่อยๆ พยักหน้า พลางพูดในใจว่าก็มีเหตุผล ดูเครื่องถมปัดลายตังกวยคู่นั้น เขาก็ยังรู้สึกชื่นชอบ แต่เสียดายที่มาวันนี้ ของชิ้นนั้นเป็นของคนแซ่หวังไปแล้ว
ระหว่างที่พูด หวังเฉิงยงลุกขึ้นพูดว่า “นายคอยดูนะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปคุย อีกสักพักนายดูสัญญาณของฉันแล้วเข้าไปช่วยฉันด้วยก็แล้วกัน”
ซ่งจื่อเซวียนทำมือโอเค หวังเฉิงยงจึงเดินออกไป
เห็นหวังเฉิงยงพูดพลางใช้มือทำท่าต่างๆ กับผู้จัดการที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะไม่หยุด ทันใดนั้นจึงนึกถึงตอนที่ตัวเองได้ของโบราณมา ก็น่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน จึงรู้สึกว่าตลกพอสมควร
เขากินอาหารอีกสองสามคำ รสชาติอาหารร้านนี้ถูกปากเขามาก เขาไม่มองเครื่องถมปัดลายตังกวยต่อเพราะเขารู้กฎเกณฑ์ ตอนนี้ถ้ามองอีก หวังเฉิงยงจะไม่ได้สิ่งนี้มาครอบครอง
ในไม่ช้า เขาก็เห็นสัญญาณของหวังเฉิงยง จึงเดินเข้าไป
“พ่อ ทำไมจ่ายตังค์นานจัง” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปเรียกว่าพ่อทันที แต่ก็ไม่ถือว่าเสียหาย เพราะอายุของหวังเฉิงยงเยอะกว่าซ่งจื่อเซวียนอยู่มากโข
“ไอ้หยา ไม่ได้มาจ่ายตังค์ ลูกชาย พ่อรู้สึกว่าเครื่องถมปัดคู่นั้นสวยมาก ลูกคิดว่าเอาไปไว้ตรงหน้าต่างบ้านของเราดีไหม” หวังเฉิงยงชี้ไปที่เครื่องถมปัดลายตังกวยคู่นั้นพลางพูด
ซ่งจื่อเซวียนจึงมองไปตามนิ้วที่ชี้ไปของหวังเฉิงยง เอ่ยว่า “นั่นมันของอะไรน่ะ จะซื้อมันไปทำไม”
“ลูกไม่เข้าใจ พ่อไปหาคนมาดูฮวงจุ้ย บอกว่าหน้าต่างบ้านของเราขาดของวางสองชิ้น สองสามวันก่อนแม่ของลูกไปดูของแล้ว ยังหาของสวยถูกใจไม่เจอ พ่อรู้สึกว่าเครื่องถมปัดคู่นี้สวยมาก”
ซ่งจื่อเซวียนค่อยๆ พยักหน้า “อ้อ…อย่างนั้นก็แล้วแต่พ่อ ราคาเท่าไรเหรอ”
“เขาบอกว่าสืบทอดมาจากครอบครัว อยากได้สองหมื่นหยวนน่ะ”
“เท่าไรนะ” ซ่งจื่อเซวียนแสร้งตะโกนด้วยความตกใจ
“สองหมื่น…พ่อก็รู้สึกว่ามันแพงไปหน่อย” หวังเฉิงยงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“พ่อรีบหยุดเล่นเลย สองหมื่นหยวนเนี่ยนะ…ซื้ออย่างอื่นดีกว่า รีบกลับไปกินข้าวเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หวังเฉิงยงมองเครื่องถมปัดอีกครั้ง เอ่ยว่า “แต่ว่า…ผู้จัดการ คุณลดราคาหน่อยได้ไหม สองหมื่นหยวน..มันแพงเกินไป”
“พ่อ หยุดถามได้แล้ว รีบกลับไปกินข้าวเถอะ ไหนลองพูดมาสิว่าซื้อของโบราณปลอมๆ มาเท่าไรแล้ว ยังจะซื้ออีกเหรอ ที่บ้านคงโดนพ่อผลาญเงินไม่ช้าก็เร็ว!” ซ่งจื่อเซวียนตะคอกใส่
เวลานี้สีหน้าของซ่งจื่อเซวียนสมจริงมาก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหวังเฉิงยงจึงเรียกเขามา ไอ้หนุ่มคนนี้มีไหวพริบ…
พอได้ยินเช่นนี้ ผู้จัดการคนนั้นจึงไม่พอใจ รีบพูดทันที “พ่อหนุ่ม จะพูดจามั่วซั่วแบบนี้ไม่ได้นะ ของชิ้นนี้ฉันหยิบมาจากที่บ้านของตัวเอง และไม่คิดจะขายด้วยซ้ำ พวกคุณจะไม่ซื้อก็ได้ แต่เครื่องถมปัดนี่ไม่ใช่ของปลอมจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนกับหวังเฉิงยงแอบดีใจ พวกเขารอประโยคนี้อยู่ ถ้าผู้จัดการไม่โต้เถียง พวกเขาจะหาจุดตัดเข้าไปไม่ได้จริงๆ
หวังเฉิงยงรีบพูดว่า “ลูกเห็นไหม พ่อบอกแล้วว่าเป็นของจริง”
“พอเถอะ อย่างนั้นคุณลองพูดดู ว่าเป็นของยุคไหน” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“อันนี้เป็นของช่วงปลายราชวงศ์ชิง ไม่ผิดแน่นอน” ผู้จัดการพูด
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะ “พอเถอะ พ่อ ผมจะหาในอินเทอร์เน็ตให้พ่อเอง ว่าเครื่องถมปัดแบบนี้ราคาเท่าไร”
ขณะพูด เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเริ่มพิมพ์ค้นหา
จังหวะนี้เอง ประตูร้านถูกผลักออก มีร่างเงาของคนคุ้นเคยคนหนึ่งเดินเข้ามา
………………………………………….