เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 145 กฎดั้งเดิมของคนจีน
ตอนที่ 145 กฎดั้งเดิมของคนจีน
ได้ยินซ่งอวิ๋นฮั่นพูดเชนนี้ ซ่งจื่อเซวียนกลับตกตะลึง เอ่ยถามว่า “อะไรคือผมไม่ต้องกังวล คุณคิดจะจัดการยังไง”
ซ่งอวิ๋นฮั่นหัวเราะ ยกน้ำแกงห้าสายขึ้นมาดื่มอีกหนึ่งอึก แล้วกล่าวว่า “ใช้วิธีของฉัน หวงฟาคนแบบนี้…แกจัดการไม่ได้หรอก”
“ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องบอกผม อย่างน้อยผมก็มีสิทธิ์ที่ต้องรู้ใช่ไหม”
ตัวของซ่งจื่อเซวียนเองก็ยังไม่ได้สังเกต สถานการณ์ตอนนี้เหมือนครอบครัวจิบน้ำชาคุยกันหลังกินข้าวเสร็จ เด็กที่เพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังพูดแสดงความคิดที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่กับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง
“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น ทั้งสองคน…เจอกันมากี่ครั้งแล้วเนี่ย” หานหรงรู้สึกงุนงงอย่างเห็นได้ชัด
ได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นฮั่นกับซ่งจื่อเซวียนสบตากันหนึ่งที ก่อนหัวเราะออกมา
“เหอะๆ นี่คือความลับของผมกับจื่อเซวียน”
พอกินข้าวแล้ว ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงเรียกพนักงานมาเก็บ และยังสั่งเครื่องดื่มมาให้หานหรงสองแม่ลูก แต่ซ่งอวิ๋นฮั่นกับซ่งจื่อเซวียนกลับปลีกตัวอยู่ในห้องหนังสือ
“เอ่อ เรื่องนั้นคุณจะจัดการยังไงครับ” ซ่งจื่อเซียนกล่าว
ซ่งอวิ๋นฮั่นหัวเราะ “แกพูดมาก่อนว่าจะรับปากกับฉันหรือเปล่า”
“รับช่วงต่อบริษัทของคุณงั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ หนึ่งที ก่อนส่ายหน้าช้าๆ “ผมไม่ชอบการถูกคนบังคับ ถึงผมจะเป็นคนได้ผลประโยชน์ก็ตาม”
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินก็ถอนหายใจหนึ่งที เขาพลางคิดในใจว่าตัวเองแพ้แล้ว ตอนที่ตัวเองเคยออกไปผจญโลกกว้าง มีหรือที่เขาจะยอมแพ้ใคร แต่เมื่อเจอกับลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง เขาแทบไม่มีตัวเลือกอย่างสิ้นเชิง
“ได้ เรื่องนี้แกเป็นคนพิจารณาเองเถอะ จื่อเซวียน แกรู้ไหมว่าหวงฟามีตำแหน่งอะไรในเมืองตู้เหมิน” ซ่งอวิ๋นฮั่นเอ่ยถาม
“รู้ครับ เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในวงการอาหารของเมืองตู้เหมิน และยังมีอิทธิพลมากในวงการใต้ดิน”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ถูกแล้ว ยักษ์ใหญ่ในวงการอาหารของเมืองตู้เหมินหลายคนล้วนเคยออกทีวี ขึ้นหน้าปกหนังสือพิมพ์กันทั้งนั้น แกรู้ไหมทำไมหวงฟาไม่เคย”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายจึงส่ายหน้า
“เพราะว่าเขาเป็นคนใต้ดิน คนที่อยู่ในวงการใต้ดินทุกคนล้วนไม่ใช่คนสะอาด อย่างน้อย…เงินก้อนแรกก็เป็นเงินไม่สะอาด พวกเขาเลยไม่กล้าโผล่หน้าออกมา กลัวว่าจะสืบเจอเรื่องสกปรกในอดีตของตัวเอง” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
“แล้วคุณล่ะ”
“ฉันเหรอ เหอะๆ ฉันไม่ใช่คนใต้ดิน ถึงจะเคยไปมาหาสู่กับพวกเขาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินเส้นทางนั้น เป็นนักธุรกิจจริงจัง…สบายใจมากกว่า อย่างน้อยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนใครเปิดโปงเรื่องลับอะไร”
“ก็จริงเหมือนกัน” ซ่งจื่อเซวียนพูด จุดบุหรี่หนึ่งมวนยื่นให้ซ่งอวิ๋นฮั่น ขณะเดียวกันก็เลิกคิ้วขึ้น เหมือนกำลังถามเขาว่าจะสูบไหม
ซ่งอวิ๋นฮั่นโบกมือ “แกสูบเถอะ ฉันพูดต่อ สาเหตุที่หวงฟามีอิทธิพลมาก เป็นเพราะมีทั้งพลังของคนในวงการใต้ดินและศักยภาพในวงการอาหารของตู้เหมิน ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เขาทำให้แกลำบากใจ อย่างน้อยก็ต้องหาคนที่ควบคุมเขาอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ควบคุมเขาเหรอ ในเมืองตู้เหมินมีคนแบบนี้ด้วยเหรอ”
“เหอะๆ แกถามได้ดีมาก จริงๆ แล้วต่อให้เมืองตู้เหมินมีคนแบบนี้จริง พวกเราใช่ว่าจะรู้จัก แต่…ฉันรู้ว่าที่ปักกิ่งมีคนที่ช่วยพูดได้” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูด
“หืม” ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด ทันใดนั้นจึงเบิกตาโตทั้งสองข้าง “คุณหมายถึง…ท่านเป้ยเล่อในปักกิ่งเหรอ”
“แกรู้จักท่านเป้ยเล่อด้วยเหรอ” ซ่งอวิ๋นฮั่นถามอึ้งๆ
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่ครับ แค่เคยเจอครั้งหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ชื่อเสียงของเขาผมเคยได้ยินมาก่อน น่าจะเทียบกับตำแหน่งของเสี่ยหวงในตู้เหมินได้ใช่ไหม”
ซ่งอวิ๋นฮั่นเอ่ยยิ้มๆ “แกพูดถูก แต่ตำแหน่งของสองคนนี้ต่างกันลิบลับ หวงฟาหากเทียบกับท่านเป้ยเล่อมากสุดก็เป็นแค่คนรวยในท้องถิ่น แต่ท่านเป้ยเล่อนอกจากมีอิทธิพลมากในปักกิ่งแล้ว ยังเป็นคนในสังคมชนชั้นสูงของตู้เหมินและมณฑลอวิ๋นอันอีกด้วย
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตื่นเต้นในใจ ท่านเป้ยเล่อคนนั้นดูแล้วอายุประมาณยี่สิบกว่าปี เหตุใดถึงประสบความสำเร็จมากขนาดนั้น
แต่พอลองคิดดู เขาก็แอบหัวเราะ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเกิดมาในตระกูลแบบนั้น คนเป็นพ่อเก่ง ลูกชายก็ย่อมไม่ต่างกัน ไปไหนมาไหนก็ต้องมีเกียรติบ้างใช่หรือเปล่า
พอนึกถึงตรงนี้ เขาพลันนึกถึงเฮ่อเหยียนข่ายคนนั้น ไม่ใช่ว่าอาศัยอิทธิพลของพ่อ ทำตัวหยิ่งผยองในตลาดอาหารทะเลหรอกเหรอ
เดิมทีเขาอยากเล่าเรื่องนี้ให้ซ่งอวิ๋นฮั่นฟังเสียหน่อย แต่พอนึกสภาพร่างกายของอีกฝ่ายในตอนนี้ จึงไม่พูดออกไป ยิ่งไปกว่านั้นเจิ้งอวี่อาจจะเคยเล่าให้ฟังแล้ว
“ความหมายของคุณคือ…คุณรู้จักท่านเป้ยเล่อเหรอครับ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “รู้จักนิดหน่อย ท่านเป้ยเล่อมีสโมสรพักผ่อนแห่งหนึ่งในปักกิ่ง ตอนแรกขาดอาหารทะเลสดหลายอย่าง ถามพ่อครัวหลายคนก็ไม่มีตัวเลือกที่ถูกใจ สุดท้ายฉันเลยเสนอเมนูอาหารสามอย่างให้เขา ถือว่าค่อนข้างพอใจเลย”
“ถ้างั้น…ก็คือเคยติดต่อกันบ้างใช่ไหม แล้วเรื่องนี้เขาออกมือช่วยได้ใช่ไหม”
“ไม่ง่ายขนาดนั้น หลังจากนั้นฉันกับท่านเป้ยเล่อคุยกันแค่สองสามครั้ง ถือว่าได้คุยกันบ้าง ถึงเขาจะอายุมากกว่าแกสองสามปี แต่พวกเราก็เรียกกันเป็นพี่น้อง ยังไงตำแหน่งของเขาก็สูงขนาดนั้นแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
“ฉันรู้ว่าหวงฟากับเขาพอรู้จักกันบ้าง แต่พวกเขาเป็นความสัมพันธ์ด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ ส่วนฉันกับเขาเป็นมิตรภาพของลูกผู้ชาย บางทีฉันพูดไปอาจจะได้ผลอยู่บ้าง” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง เขี่ยบุหรี่ทิ้งในที่เขี่ยบุหรี่
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้ผมคิดหาวิธีจัดการเองดีกว่า ผมไม่อยากใช้เส้นสายของคุณ อีกอย่าง…”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนเดาะลิ้นเสียงดัง “อีกอย่างผมก็พูดไปแล้วว่าอยากเจอหวงฟา”
“อะไรนะ แกพูดกับใคร” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดถามอย่างกังวลใจ
“เคอซานน่ะ เขามาก่อเรื่องเมื่อสองสามวันก่อน มาหาเรื่องถึงที่บ้าน ทำให้แม่กับพี่สาวไม่กล้าออกจากบ้านทั้งวัน ผมก็ร้อนใจ เลยบอกว่าอยากเจอหวงฟา!”
“เคอซานว่ายังไง” ซ่งอวิ๋นฮั่นถาม
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ บอกว่า “ผมก็ใจร้อนไป เขามองออกว่าผมไม่ได้ล้อเล่น เลยบอกว่าจะรีบติดต่อให้ผมทันที”
“ไม่น่าเลย จื่อเซวียน ในสายตาของฉันแกมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน ทำไมถึงทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้ แกรู้ไหมว่าหวงฟาเป็นคนยังไง เขาสามารถทำให้แก…เฮ้อ!”
“ผมไม่เสียใจ เขาจะทำอะไรผมก็ได้ แต่ไม่ควรหาเรื่องแม่ มาหาเรื่องแม่ของผมผมไม่ยอมหรอก ผมขอสู้กับเขาสุดชีวิต!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความโมโห ถลึงตาขณะพูด
ผ่านไปพักหนึ่ง ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงพยักหน้า “ช่างเถอะ เรื่องเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่ถึงเคอซานจะนัดให้แล้วแกก็อย่าไป เรื่องนี้เดี๋ยวฉันออกหน้าเอง!”
“ไม่ได้ครับ ร่างกายของคุณเป็นแบบนี้แล้ว คุณจะออกหน้าทำไม!”
“ไม่ได้ก็ต้องได้ แกกับหวงฟาคนละตำแหน่งกัน ถ้าหากฉันไป อย่างน้อยเขาคงจะไว้หน้าบ้าง หน้าตาของฉันซ่งอวิ๋นฮั่นคนนี้…น่าจะคุ้มค่ากับเงินพอสมควร!” ขณะพูด ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกัน
เห็นท่าทางของซ่งอวิ๋นฮั่น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกยุบยิบที่หัวใจ ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีใครยินดีทำเพื่อเขาแบบนี้มาก่อน
ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธอีก แต่แอบตัดสินใจว่า ถ้าหากเคอซานติดต่อหวงฟาแล้ว เขาจะไม่บอกซ่งอวิ๋นฮั่น แต่จะมุ่งหน้าไปด้วยตัวเอง
“ยังมีปัญหาหนักอะไรอีกไหม จื่อเซวียน ร่างกายของฉันแกก็รู้ ฉันอยากช่วยพวกแกแก้ปัญหาอย่างเต็มที่”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดประโยคนี้ออกมาจากใจ สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาติดหนี้สามคนแม่ลูกมากเกินไป ตอนนี้ใกล้จะตายแล้ว เขายินดีใช้ความสามารถทั้งหมดปกป้องพวกเขา ถึงแม้จะสายไป แต่จะพยายามใช้พลังทั้งหมดอย่างสุดความสามารถ
“ไม่มีแล้วครับ เรื่องอื่นผมจัดการเองได้ แต่…ช่วงนี้คุณช่วยหาที่พักให้หน่อยได้ไหมครับ ผมไม่อยากให้พวกเขามารบกวนแม่อีก” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินแล้วจึงครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นก็พักที่โรงแรมเถอะ ฉันมีหุ้นส่วนอยู่ในข่ายอ้อ และคนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมาก แม้แต่อารองของแกก็ไม่รู้ ถ้าฉันอยากพักที่นี่ระยะยาวสักห้องก็ไม่มีปัญหาแน่นอน”
“ไม่ได้ครับ แม่ใช้ชีวิตอยู่ในย่านเมืองเก่าจนชินแล้ว ถึงจะเปลี่ยนก็ต้องเป็นสถานที่คล้ายๆ กัน จู่ๆ เข้ามาพักในโรงแรม เธอต้องรับไม่ได้แน่นอน” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
ซ่งอวิ๋นฮั่นถอนหายใจหนึ่งที “จื่อเซวียน แกก็รู้ หลายปีที่ผ่านมานี้ถึงแม้จะหาเงินได้แล้ว แต่ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว และก็ไม่มีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในมือ ถ้างั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะให้เงินแก แกเอาไปซื้อคอนโดสักห้อง ให้หานหรงเลือกแบบที่เธอชอบ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “แม่ไม่เอาแน่นอน เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ถ้าคุณพอจะมีเส้นสาย ช่วยหาบ้านชั้นเดียวสักหลังเถอะ แม่อยู่จนชินแล้ว ผมไม่อยากให้แม่ต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต”
“ได้ ฉันจะหาให้โดยเร็ว แล้วเดี๋ยวก็ซื้อเลย”
“ไม่ต้องครับ ผมซื้อเองดีกว่า” คำพูดของซ่งจื่อเซวียนปฏิเสธซ่งอวิ๋นฮั่นอย่างชัดเจน อย่างไรส่วนลึกในใจของเขา เขาก็ยังเรียกคำว่าพ่อออกมาไม่ได้
“เปล่าครับ เปล่าเลย พูดจริงๆ นะ พวกเราสองคนเจอหน้ากันกี่ครั้งเอง เกลียดเหรอ ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่ไม่อยากให้คนบีบบังคับผม ตั้งแต่เด็กก็เป็นแบบนี้แล้ว ตอนนี้ก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงน่ะ”
คำพูดนี้ทิ่มแทงหัวใจของซ่งอวิ๋นฮั่น เหมือนมีดเล่มหนึ่งปักเข้าไป เลือดไหลอาบ
ทว่าเมื่อพิจารณาถึงศักดิ์ศรีของซ่งจื่อเซวียน เขาจึงพยักหน้า “ได้ แล้วแต่แกเลย”
หลังจากคุยกันอีกสักพักหนึ่ง พอนึกถึงสุขภาพของซ่งอวิ๋นฮั่น ซ่งจื่อเซวียนจึงพาหานหรงสองแม่ลูกกลับไป อย่างไรสุขภาพของเขาในตอนนี้แย่ลงทุกวัน ไม่ควรนอนดึก
กลับเข้ามาในรถ ถังหย่าฉีนอนหลับสนิทไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ปลุกเธอ บอกให้ซางเทียนซั่วขับรถกลับบ้านทันที
ส่วนหานหรงแม่ลูกที่นั่งอยู่ข้างหลังก็คอยดูแลถังหย่าฉี โดยเฉพาะหานหรง เธอปล่อยให้ถังหย่าฉีพิงตัวเธอ พยายามให้อีกฝ่ายนอนหลับสบาย
ซ่งจื่อเซวียนหันไปพูดว่า “แม่ครับ ปล่อยเธอไปเถอะ ทับไหล่แม่แบบนี้หนักตายเลย”
“ฉันไม่ปล่อย คนเขากำลังนอนหลับสบาย จะยังไม่ให้เธอนอนดีๆ อีกเหรอ ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ เลยนะ” หานหรงพูด พลางปัดผมที่ยุ่งเหยิงของถังหย่าฉีไปข้างหลัง เผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวสะอาดของเธอ
ซ่งอีหนานเงียบมาตลอดทาง เจอหน้าพ่ออีกครั้งหลังจากห่างหายไปสิบแปดปี จิตใจของเธอเหมือนคลื่นยักษ์ ซัดสาดโครมครามไม่หยุด
หานหรงก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอ เธอรู้จักนิสัยของลูกสาวตัวเอง เวลานี้ ซ่งอีหนานต้องการเวลาค่อยๆ ย้อนความทรงจำ สำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง พ่อคือตำแหน่งที่สำคัญมากในชีวิตของเธอ
“เจ้ารอง เรื่องในวันนี้…ลูกยังต้องพูดกับแม่นะ”
ซ่งจื่อเซวียนหันไปพูดว่า “แม่ครับ ลูกอยากฟังความคิดเห็นของแม่”
นี่คือคำพูดจากใจของซ่งจื่อเซวียน ถึงแม้เขาจะไม่แสดงตัวตอนอยู่ต่อหน้าซ่งอวิ๋นฮั่น แต่ลับหลังแล้ว เขาอยากฟังความคิดเห็นของแม่จริงๆ
“ลูกไม่ต้องสนใจแม่ แม่จะฟังลูก แต่มีคำหนึ่งที่แม่ต้องพูดกับลูก”
“แม่พูดเลยครับ ลูกฟังอยู่”
หานหรงจัดแขนของถังหย่าฉีที่ไหลลงมาแล้วเอ่ยว่า “คนเราน่ะ ชีวิตนี้จะกลายเป็นคนแบบไหนก็มีหมด มีคนดี และก็มีคนจน แต่คนจีนอย่างพวกเราให้ความสำคัญกับกฎดั้งเดิม คนเรา…สุดท้ายก็ต้องรู้จักรากเหง้าของตัวเอง”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของหานหรงทันที อย่างไรที่โรงแรมในวันนี้ ซ่งอีหนานยอมรับซ่งอวิ๋นฮั่นแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนยังกัดฟันไม่ยอมเรียก
“แม่ครับ ลูกรู้ดี แต่แม่ต้องให้เวลาลูกหน่อย”
หานหรงพยักหน้า “ลูกชายของฉันฉันรู้จักดี แม่ไม่บังคับลูก แต่กฎนี้…แม่ต้องพูด”
ซ่งจื่อเซวียนเบ้ปากเล็กน้อย พลันรู้สึกซับซ้อนอยู่ภายในใจ บรรยากาศในรถเริ่มเงียบลงอีกครั้ง
“ซ่งจื่อเซวียน…เมื่อไรจะถึงห้องเก็บเหล้า ฉันอยากดื่มเหล้า…” จู่ๆ เสียงของถังหย่าฉีก็ดังขึ้นมา…
…………………………………………..