เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 143 ไม่เคยเสียใจ
ตอนที่ 143 ไม่เคยเสียใจ
วินาทีที่ประตูลิฟต์เปิด มองไปยังโถงทางเดินที่โล่งว่างไร้ผู้คน หานหรงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“เจ้ารอง ลูกพาพวกเราผู้หญิงสองคนมาทำอะไรที่นี่น่ะ” ขณะพูด หานหรงก็มองไปรอบๆ ชั้นนี้ไม่มีใครเลยสักคน เงียบสนิท
อย่างไรชั้นที่ยี่สิบสองก็เป็นโซนห้องพักวีไอพีของโรงแรมข่ายอ้อ คนที่สามารถพักที่นี่ได้จึงมีไม่มาก บวกกับชั้นนี้มีที่เก็บเสียงอย่างดี จึงไม่เหมือนโรงแรมทั่วไปที่กั้นเสียงได้แย่มาก เสียงโห่ร้องมีความสุขหรือเล่นไพ่ดังขึ้นเป็นระยะพวกนั้น
“เจ้ารอง คืนนี้พวกเรา…จะพักที่นี่เหรอ” ซ่งอีหนานมองด้วยใบหน้าไม่อยากจะเชื่อ เพราะเธอไม่เคยเจอสถานที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน
เมื่อก่อนถึงแม้จะอยู่ที่หลานหยวน เธอถูกเซินซวี่เลี้ยงดูโดยที่ไม่รู้ตัว มากสุดก็อยู่อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ห้องเช่าราคาสามสี่พันหยวนต่อเดือน อีกทั้งตอนนั้นเธอชอบเซินซวี่จริงๆ จึงไม่ได้ใช้เงินของเขามากมาย ดังนั้นตามจริงแล้วเธอไม่เคยเห็นสิ่งที่เป็นของระดับไฮเอนด์เลย
และทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า คือความหรูหราระดับไฮเอนด์ของตู้เหมินแน่นอน เปิดห้องวีไอพีในโรงแรมดังเจ้าเก่าระดับห้าดาวของอ่าวชิงหลง ถ้าไม่ใช่ซ่งจื่อเซวียนพาพวกเธอมาที่นี่ เกรงว่าชาตินี้พวกเธอสองแม่ลูกคงไม่มีโอกาสมาที่นี่แน่นอน
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจไม่รู้จะตอบพวกเธออย่างไร จึงไม่พูดดีกว่า จากนั้นเดินตรงไปข้างใน
มองเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปอย่างคุ้นชิน หานหรงกับซ่งอีหนานสบตากันหนึ่งที แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยังเดินตามไป
จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูห้องพักของซ่งอวิ๋นฮั่น จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าช้าเร็วก็ต้องเจอ ต่อจากนี้ตัวเองอาจจะไม่ใช่ตัวเอกแล้ว เขาหันไปมองแม่ ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “แม่ครับ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
หานหรงมองประตูบานนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เธอไม่รู้ว่ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร แต่เวลานี้ เธอเหมือนตระหนักอะไรได้บางอย่าง
สายตาของเธอมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน น้ำตาซึม พร้อมกับมีแววอยากซักถาม ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงเคาะประตูทันที
วินาทีนี้ หานหรงเป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้เธอจะไม่รู้อะไร แต่ตอนนี้เธอเข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว ซ่งจื่อเซวียนพาพวกเธอสองคนแม่ลูกมาพบใครสักคน และคนคนนี้เป็นใคร…จริงๆ ไม่ยากที่จะคาดเดา
ทว่าในใจของหานหรงกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้จะไม่แน่ใจอยู่บ้าง แต่ยังเต็มไปด้วยความสงสัย อยากจะรู้คำตอบโดยเร็วเหมือนสาวน้อยคนหนึ่ง
ซ่งอีหนานก็เหมือนกัน ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะไม่พูดอะไรกับพวกเธอ ตอนนี้เธอก็รับรู้ได้ว่าตัวเองใจเต้นรัว
ประตูห้องเปิดออก ตอนที่ประตูแง้มออกมา ดวงตาคู่นั้นของหานหรงก็เต็มไปด้วยน้ำตา
เธอเหมือนรับรู้ล่วงหน้า จึงยากที่จะควบคุมอารมณ์ได้
ประตูเปิดออกเรียบร้อยแล้ว
ผู้ชายอายุไม่ถึงห้าสิบปีคนหนึ่งยืนอยู่ด้านในประตู
ซ่งอวิ๋นฮั่นในวันนี้ใส่เสื้อกระดุมถักสีฟ้าอ่อนแบบราชวงศ์ถัง ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุมถักด้านใน หลวมสบายและสะอาด
ทว่าซ่งจื่อเซวียนยังคงมองออกว่าสีหน้าของเขาแย่ลงกว่าเมื่อสองวันก่อน ถึงแม้ตอนนี้จะหวีผมเรียบร้อย ไม่ได้ใส่หน้ากากให้ออกซิเจน แต่สีหน้าที่ซีดขาวกับอารมณ์ในเบ้าตา ยากที่จะซ่อนเร้น
หานหรงเบิกตาโตทั้งสองข้าง ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา เอามือป้องปาก ถึงจะไม่ส่งเสียงร้องตกใจและร้องไห้ใดๆออกมา
ซ่งอีหนานที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน หน้าตาตกใจ ตอนที่ร้องไห้น้ำตาคลอเบ้า สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ซ่งอวิ๋นฮั่นเดิมทีอยากเผยรอยยิ้มออกมา แต่ตอนนี้กลับกลั้นไว้ในท้ายที่สุด น้ำตาเอ่อ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรพูดอะไร
การรอคอยสิบแปดปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง แต่ทั้งสามคนกลับไม่มีใครพูดสักคำ
ซ่งจื่อเซวียนยืนมองซ่งอวิ๋นฮั่นอยู่ที่เดิม แล้วจึงมองแม่กับพี่สาว แต่ไม่ได้พูดอะไร
เขารู้ว่า เวลาในตอนนี้ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เป็นของสามคนนี้
ตอนที่ซ่งอวิ๋นฮั่นจากไป ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก ทว่าซ่งจื่อเซวียนยังเป็นเด็กทารก จึงไม่รู้สึกอะไรเลย แต่สามคนที่อยู่ตรงหน้า เป็นครอบครัวสามคนที่มีความสุขในตอนนั้น
และในเวลานี้ จู่ๆ หานหรงก็หมุนตัววิ่งไปที่ลิฟต์ วันเวลาที่ช่างทรมานทำให้เธอตัวอ้วนและงุ่นง่านไปตั้งนานแล้ว แต่ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน กลับเป็นความเจ็บปวดที่เหมือนโดนเข็มทิ่มแทง
“แม่…”
ซ่งจื่อเซวียนตะโกนเรียกแล้ววิ่งตามไป วินาทีที่เขาขวางหานหรงไว้ หานหรงก็สวมกอดเขา
ต่อจากนั้น เธอจึงร้องไห้หนัก ร้องไห้ฟูมฟายแต่ไม่มีเสียง
หานหรงเอามือป้องปาก ขณะเดียวกันใบหน้าก็แนบติดเสื้อคลุมของซ่งจื่อเซวียน เช่นนี้ถึงจะกลบเสียงร้องไห้ได้อย่างสิ้นเชิง
เขาฟังเสียงร้องไห้ที่แหบแห้งของแม่ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกใจสลาย เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“แม่ อย่าร้องไห้เลย ลูกเห็นแม่ร้องไห้แล้วทนไม่ได้” ซ่งจื่อเซวียนร้องไห้พลางพูด
หานหรงเงยหน้าทุบหน้าอกของซ่งจื่อเซวียน “ไอ้ลูกไม่รักดี ทำไมไม่บอกแม่สักคำ
ทำไม…ทำไม…ลูกเห็นแม่เป็นตัวอะไร…”
หานหรงกำหมัดทุบลงไป ร้องไห้เสียงแหบ ทุกเสียงเหมือนร้าวรานปานขาดใจ แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก
ซ่งจื่อเซวียนยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้แม่ทุบต่อไป ยืนนิ่งไม่ขยับ น้ำตาไหลพรากอย่างบ้าคลั่ง
เขารู้ว่า สิบแปดปีที่ผ่านมาแม่ใช้ชีวิตอย่างไร ผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยเงินค่าแรงขั้นต่ำเลี้ยงลูกชายลูกสาวจนเติบใหญ่ ความลำบากนี้จะมีสักกี่คนที่จะทนรับไหว
สิบแปดปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยได้ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่เคยมีพื้นที่ของตัวเอง กระทั่งไม่มีความเป็นตัวเอง…
บางทีเธอควรจะปล่อยวางนานแล้ว แต่ความเป็นจริงทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงแกร่ง เผชิญหน้าทุกอย่าง เธอร้องไห้ไม่ได้ และยังต้องรู้สึกพอใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจเหล่านี้อยู่มานานจนถึงวันนี้เป็นเวลาสิบแปดปีเต็มๆ!
วินาทีนี้ เธอปล่อยวางแล้วในที่สุด ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าสามารถทำให้แม่ระบายอารมณ์ได้ คือความภูมิใจของตัวเอง
ไม่รู้ว่าทุบไปกี่ที หานหรงซบหน้าร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของซ่งจื่อเซวียนอีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนจึงยกมือตบหลังของแม่เบาๆ “แม่ครับ แม่ร้องไห้เลย ร้องไห้ออกมาเลย แต่วันนี้ลูกต้องพาพวกแม่มาที่นี่ ลูกรู้ว่าลูกผิด แม่จะด่าจะตีลูกยังไงก็ได้ แต่สิ่งที่ควรเผชิญหน้าสุดท้ายก็ต้องเจอนะ”
สองสามนาทีผ่านไป ซ่งอวิ๋นฮั่นยืนอยู่หน้าประตูตลอด ซ่งอีหนานก็เช่นกัน
เมื่อเห็นแม่ร้องไห เธอจึงร้องไห้ตาม แต่ไม่กล้าหันไปมองซ่งอวิ๋นฮั่น
ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ เธอคุ้นเคยเป็นอย่างมาก อยู่ห่างกันนานสิบกว่าปี ใบหน้านั้นแก่ชราลงไม่น้อย แต่เธอไม่กล้ายอมรับ
ในใจของเธอรู้ว่า ผู้ชายคนนั้น เคยเป็นโลกทั้งใบของเธอ ขอเพียงแค่มีเขาอยู่ ซ่งอีหนานก็ไม่เคยกลัวอะไร
แต่ผู้ชายคนนี้กลับจากเธอไปสิบแปดปี…
ตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนเดินประคองหานหรงกลับมาที่หน้าประตู หานหรงยังคงร้องไห้กระซิก หลายปีที่ผ่านมา ซ่งอีหนานกับซ่งจื่อเซวียนแทบจะไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้เลย มากสุดคือแอบร้องไห้ตอนกลางคืน แต่ถึงแม้พวกเขาเห็นก็จะไม่พูดถึง
แต่วันนี้ร้องไห้จนไม่มีเสียง เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ
หานหรงเงยหน้ามองซ่งอวิ๋นฮั่น “เจ้ารอง ประคองแม่เข้าไป”
“ครับแม่!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ประคองหานหรงเข้าไปในห้อง ซ่งอีหนานก็เดินตามเข้าไป ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงปิดประตู
หานหรงนั่งบนโซฟาไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาคู่นั้นมองไปข้างหน้า นั่งเหม่ออยู่แบบนั้น อย่างไรเรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เธอไม่ทันได้เตรียมตัวใดๆ
ซ่งอวิ๋นฮั่นเดินเข้าไปข้างโซฟา หายใจหอบหนึ่งที เอ่ยว่า “จื่อเซวียน อีหนาน พวกแกสองคน…เข้าไปนั่งในห้องแป๊บหนึ่ง ฉันอยากคุยกับแม่ของพวกแกตามลำพังครู่หนึ่ง”
ซ่งอีหนานมองซ่งจื่อเซวียน คนหลังพยักหน้า ทั้งสองคนจึงลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องของซ่งอวิ๋นฮั่น
เมื่อเห็นลูกทั้งสองคนเดินเข้าไปแล้ว ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงเดินไปตรงหน้าหานหรง
หานหรงตอนนี้มองแต่พื้นที่ว่างตรงหน้า ไม่อยากเงยหน้า หรืออาจจะ…ไม่กล้าเงยหน้า
เวลาสิบกว่าปี เธอเป็นแม่ที่เข้มแข็งมาก แต่ตอนนี้ยามอยู่ต่อหน้าซ่งอวิ๋นฮั่น เธอไม่มีความเข้มแข็งเลยสักนิด
อย่างไรคนคนนี้คือผู้ชายที่เคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอไปตลอดชีวิต เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หานหรงก็เข้มแข็งไม่ไหวแล้ว
แต่ตอนนี้ เธอเห็นเพียงซ่งอวิ๋นฮั่นคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าลง ซ่งอวิ๋นฮั่นในเวลานี้เหมือนกับนักโทษคนหนึ่ง
หานหรงนิ่งอึ้งไปทั้งตัว วินาทีต่อมาจึงร้องไห้ เธออยากจะประคองซ่งอวิ๋นฮั่นขึ้นมา แต่เธอกลับไม่กล้าที่จะสัมผัสเขา
“ผมทำผิดกับคุณ กับอีหนาน และกับจื่อเซวียน”
หานหรงร้องไห้มองไปอีกด้าน ไม่สนใจการกระทำของซ่งอวิ๋นฮั่น แต่เธอรู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังมีเลือดไหลอาบ
เธอรอคอยวันนี้มานานกี่ปี แต่พอเอาเข้าจริง กลับควบคุมไม่อยู่
“คุณลุกขึ้นเถอะ” หานหรงพยายามฝืนให้ตัวเองสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดหนึ่งประโยคอย่างสมบูรณ์
ซ่งอวิ๋นฮั่นกลับส่ายหน้า “ผมรู้ไม่ว่ายังไงผมก็ลบล้างความผิดไม่ได้ สำหรับพวกคุณสามแม่ลูก ผมคือคนบาป ทำผิดยากที่จะให้อภัย ไม่อาจละโทษได้”
หานหรงปรับอารมณ์ของตัวเอง เอ่ยว่า “จริงๆ แล้วหลายปีที่ผ่านมา…พวกเราก็ชินแล้ว ทั้งชีวิตนี้ถ้าไม่ได้เจอคุณ…ที่จริงก็ดีเหมือนกัน”
“ขอโทษนะ ตอนแรกผมจากไปโดยไม่บอกกล่าวทำให้คุณต้องลำบากมาหลายปี หานหรง ผมไม่หวังให้พวกคุณให้อภัยผม และผมก็ไม่กล้าคาดหวัง”
หานหรงส่ายหน้า “พูดแบบนั้นก็ไม่ได้ ผ่านไปตั้งกี่ปี พวกเราก็แก่กันแล้ว ถ้าพูดว่าไม่อยากเจอคุณอีก นั่นก็โกหกแล้ว แต่วันนี้ได้เจอกันจริงๆ…หัวใจของฉัน รู้สึกรับไม่ได้นิดหน่อย”
ซ่งอวิ๋นฮั่นยังคงก้มหน้าตลอด ได้ยินหานหรงพูดแบบนี้ เขาอยากจะให้หานหรงตบหน้าเขาจริงๆ อาจจะสบายใจกว่าตอนนี้ก็เป็นได้
“แต่ฉันไม่โทษคุณ ฉันเข้าใจคุณ คุณจากไปโดยไม่บอกกล่าวคุณจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ส่วนเรื่องที่ลำบาก…เพื่อลูกของฉันเองแล้ว ไม่มีอะไรลำบากค่ะ”
หานหรงถอนหายใจ เริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว
เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นรู้สึกปวดร้าวใจ เขารู้จักหานหรงดี เธออยู่ในตระกูลนักวิชาการ ถึงแม้จะไม่เอาแต่ใจ แต่ก็อ่อนแอ ทว่าสามารถพูดจาแบบนี้ได้ แสดงว่าเธอผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ…
“ผม…จากพวกคุณไปเพราะมีเรื่องลำบากใจจริงๆ แต่ตอนหลังผมกลับมาที่ตู้เหมิน ผมดันไม่กล้าเจอหน้าพวกคุณ นี่คือความผิดของผม จื่อเซวียนพูดถูก สิ่งที่ควรเผชิญหน้าสุดท้ายก็ต้องเจอ แต่ผมกลับไม่กล้า หานหรง หลายปีที่ผ่านมานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ลูกผู้ชายมาตลอด”
หานหรงส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ในสายตาของฉัน…คุณเป็นคนดี อวิ๋นฮั่น ฉันขอพูดกับคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ ได้แต่งงานกับคุณ มีลูกให้คุณถึงสองคน ฉันไม่เคยเสียใจเลย”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ก้มหน้าร้องไห้ออกมา และครั้งนี้ กลับเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของผู้ชายวัยกลางคน เสียงนั้นสั่นเครือจนน่าสงสาร
เวลานี้ ไม่ว่าเขาจะเคยสง่างามมากแค่ไหนในวงการธุรกิจ หรือมีตำแหน่งอะไร ทุกอย่างก็เหมือนฟองสบู่ที่หายไป
สิ่งที่เหลืออยู่ คือความเจ็บปวดทรมานที่เปราะบางที่สุดในส่วนลึกของหัวใจผู้ชายคนหนึ่ง
…………………………………………..