เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 141 หาโรงแรมพักก่อน
ตอนที่ 141 หาโรงแรมพักก่อน
“ฉันไม่เอา!”
พอได้ยินที่ซ่งจื่อเซวียนพูด ถังหย่าฉีก็ตะโกนเสียงดัง ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์
“เอาเหล้ามาให้ฉันอีกหนึ่งขวด!” ถังหย่าฉีหันไปพูดกับซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างใน
ซางเทียนซั่วงงมาก มองซ่งจื่อเซวียนด้วยใบหน้าที่ลำบากใจ
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับขึงตาใส่เขาหนึ่งที เพื่อบอกว่าไม่ต้องหยิบออกมา
ใครจะรู้ว่าถังหย่าฉีกลับมุดเข้าไปที่เคาน์เตอร์ด้วยตัวเอง หยิบเหล้าขวดหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกมา
ซางเทียนซั่วถึงแม้จะไม่กล้าให้ แต่ก็ไม่กล้าห้าม จึงได้แต่มองซ่งจื่อเซวียนอย่างเก้ๆ กังๆ
ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มเมาแล้ว รีบเดินไปข้างหน้า “แม่ทูนหัว เธอดื่มไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเอาน้ำผลไม้มาให้เธอแทนได้ไหม”
“ดูถูกใครเหรอ ฉันไม่เมา ไม่เป็นไรน่า ซ่งจื่อเซวียนนายพูดมาว่าจะดื่มเป็นเพื่อนฉันไหม ถ้าไม่ดื่มฉันจะดื่มขวดนี้ให้หมดเลย”
เมื่อเห็นดังนั้น ซางเทียนซั่วจึงเดินเข้ามา “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้น…ผมดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์แม่ดีไหม”
“นายไม่ได้ วันนี้ทุกคนดื่มได้ แต่นายไม่ได้” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“หา ทำไมล่ะครับ”
“ไม่ต้องถาม เดี๋ยวเย็นนี้นายก็รู้” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งลง “โอเค ฉันจะดื่มเป็นเพื่อน แต่พวกเราตกลงกันก่อน ดื่มขวดนี้หมดแล้วห้ามดื่มอีก”
“ทำแบบนั้นได้ยังไง ฉันจะดื่มให้หมด ถ้านายไม่ให้ ฉันจะไปดื่มที่ร้านอื่น!” ถังหย่าฉีเหมือนจับประเด็นได้แล้ว รู้ว่าหากพูดเรื่องนี้ ซ่งจื่อเซวียนจะต้องยอมเธอ
ดังคาด ซ่งจื่อเซวียนกลัวทันที เขาพยักหน้า “โอเค วันนี้มีเหล้าเยอะแยะ แต่เธอห้ามไปดื่มที่ร้านอื่น อยากกลับตอนไหน เรียกไต้ทงมารับก็พอ”
ถังหย่าฉีทำมือโอเค จากนั้นจึงรินเหล้า ชนแก้วกับซ่งจื่อเซวียน
พอดื่มเหล้าในแก้วแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงถามว่า “หย่าฉี เธอเป็นอะไรกันแน่ ดื่มแต่เหล้าก็คงแก้ปัญหาไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
“ฉันขออีกหนึ่งแก้ว!” ถังหย่าฉีไม่ตอบ หยิบขวดเหล้าขึ้นมาแล้วรินอีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนรีบเอามือปิดปากแก้ว เอ่ยว่า “ไม่ได้ ถ้าเธอไม่พูด พวกเราคงดื่มเหล้าต่อไม่ได้แล้ว”
ถังหย่าฉีจับขวดเหล้าแล้วหยุด ก้มหน้าเล็กน้อย “พ่อจะให้ฉันไปต่างประเทศ”
“อะไรนะ ไปต่างประเทศเหรอ” ถึงแม้ถังหย่าฉีจะพูดเสียงเบามาก แต่สู้ความหูดีของซางเทียนซั่วไม่ได้ เขากลับได้ยินหมด
เขาฟังแล้วจึงเดินไปข้างหน้า เอ่ยว่า “อาจารย์แม่ เป็นเรื่องดีจะตาย หลายคนต่างแย่งกันอยากได้โอกาสนี้ทั้งนั้น”
ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ได้ยินคำพูดของซางเทียนซั่วจึงพยักหน้าตาม “ใช่แล้ว ฉันได้ยินว่าพวกเรามีหลายคนอยากไปต่างประเทศ บอกว่าที่ต่างประเทศมีโอกาสเยอะกว่าประเทศของเรา”
ซางเทียนซั่วพยักหน้าหงึกๆ แสดงออกว่าเห็นด้วย
ถังหย่าฉีกลับกลอกตาใส่เขา “เรื่องดีเหรอ เป็นเรื่องดีแล้วทำไมนายถึงไม่ไปล่ะ”
“ผม…” ซางเทียนซั่วยิ้มแห้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ผมไม่จำเป็นน่ะสิ ฮ่าๆๆ ผมไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว”
“ฉันก็ไม่จำเป็น เรียนในประเทศก็ดีอยู่แล้ว ฉันไม่อยากไป!”
ถังหย่าฉีเบ้ปากเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนพลางครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น…เธอลองไปคุยกับคุณอาดูสิ สองคนพ่อลูกสุดท้ายก็ต้องปรึกษากันอยู่ดี”
“มีอะไรต้องปรึกษาล่ะ เขาไม่ให้ความสำคัญกับความเห็นของฉันเลยด้วยซ้ำ ตัดสินใจเอาเอง นี่เรียกว่าเผด็จการ!” ถังหย่าฉียิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ แล้วจึงชนอีกหนึ่งแก้ว
เธอดื่มเร็วมาก ซ่งจื่อเซวียนอยากจะห้ามแต่ไม่ทัน จึงเอ่ยว่า “ไอ้หยา ฉันว่าเราดื่มช้าๆ หน่อยดีไหม”
ถังหย่าฉีไม่สนใจ แต่น้ำตากลับไหลออกมา “ฉันอายุสิบเก้าแล้วนะ ทำไมแม้แต่เรื่องของตัวเองก็ตัดสินใจไม่ได้ ไม่มีใครสนใจฉันเลย”
พูดจบ เธอจึงฟุบลงไปกับโต๊ะแล้วร้องไห้ออกมา
ซ่งจื่อเซวียนลนลานทันที สิ่งที่เขากลัวคือเห็นผู้หญิงร้องไห้ พอร้องไห้…เขาก็ทำตัวไม่ถูก
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้ามองซางเทียนซั่ว สายตาเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือ แต่ซางเทียนซั่วก็แบมืออย่างจนใจยักไหล่เพื่อบอกว่าทำอะไรไม่ได้
ทั้งสองคนกำลังสบตากัน ปู่กุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยว่า “แม่หนู อย่าเพิ่งร้องไห้เลย หน้าตาก็สะสวย ร้องไห้แล้วน่าสงสารนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา มองไปทางปู่กุ่ยด้วยน้ำตา “ท่านผู้เฒ่า ฉันจะไม่ร้องไห้ได้ยังไง ไม่มีใครสนใจฉันเลย”
ปู่กุ่ยหัวเราะอย่างมีเมตตา “ใครบอก ฉันเห็นท่านเจ้าของร้านให้ความสำคัญกับเธอนะ เธอร้องไห้เขาก็กังวลมาก”
ถังหย่าฉีตกตะลึง ทันใดนั้นจึงหันหน้าไปทางซ่งจื่อเซวียน ดวงตาทั้งสี่สบกัน ตอนที่แววตาประสานกันซ่งจื่อเซวียนก็เขินอายมาก
“ท่านเจ้าของร้านเหรอ” ถังหย่าฉีถาม
ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างเขินอาย “เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าเรียกฉันแบบนี้น่ะ”
พรืด
ถังหย่าฉีหัวเราะออกมา
เมื่อเห็นเธอหัวเราะแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงวางใจ
“ดีจังเลย อาจารย์แม่หัวเราะแล้ว ใช่แล้ว ผมบอกแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไปต่างประเทศเหรอ จะไปก็ไปเลย!” ซางเทียนซั่วยิ้มซื่อๆ
ได้ยินประโยคนี้ ถังหย่าฉีจึงมองเขา ทันใดนั้นน้ำตาก็พลันไหลออกมา ก่อนจะฟุบหมอบร้องไห้บนโต๊ะอีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนจ้องซางเทียนซั่วเขม็ง “พูดจาเป็นหรือเปล่า พูดไม่เป็นก็ไปยืนตรงโน้น! เดี๋ยวก่อความวุ่นวายอีก!”
ซางเทียนซั่วทำสีหน้าจนคำพูด เพราะเขาพูดผิดจริงๆ
แต่ไม่แปลกที่ซ่งจื่อเซวียนต่อว่าเขา กว่าจะทำให้ถังหย่าฉีหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาดันปากเสียพูดเรื่องไปต่างประเทศอีก พอคิดว่าต้องไปต่างประเทศ ถังหย่าฉีจะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร
“แม่หนู ทำไมร้องไห้อีกแล้ว” ปู่กุ่ยพูดพลางนั่งลงข้างๆ ถังหย่าฉี “แม่หนู ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แก้ไขได้ทั้งนั้น ร้องไห้ไปจะมีประโยชน์อะไร และเธอก็สวยขนาดนี้ ร้องไห้แล้วไม่สวยนะ”
“ไม่สวยก็ช่างมันค่ะ ยังไงก็ไม่มีใครสนใจฉัน ฉันพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ถือสิทธิ์อะไรมาจัดการแทนฉัน ถือสิทธิ์อะไร”
ถังหย่าฉีร้องไห้หนักมาก
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจหนึ่งที “ไปเรียนต่อมหา’ลัยที่ต่างประเทศ…ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่…”
ถังหย่าฉีโยนความขัดแย้งไปที่ซ่งจื่อเซวียนแทน ตะโกนใส่เสียงดัง
ซ่งจื่อเซวียนกลับทำหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อย่างไรก็ไม่ใช่เขาที่อยากให้เธอไปต่างประเทศ..
ปู่กุ่ยที่อยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นมาบอกให้ซ่งจื่อเซวียนหยุดพูดก่อน แล้วจึงเอ่ย “แม่หนู จริงๆ แล้วพ่อของเธอหวังดีกับเธอมาก แต่ฉันก็เข้าใจเธอ ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองใช่ไหมล่ะ”
ถังหย่าฉีพยักหน้าน้ำตานองสองข้าง สภาพน่าสงสารแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง
“เธอคิดว่าเธอพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นเพราะพ่อของเธออยากให้เธอทำตามความคิดของเขา เธอรู้สึกว่าเหมือนมองข้ามความเห็นของเธอใช่ไหม”
อารมณ์ของถังหย่าฉีมั่นคงมากขึ้นพอสมควร พยักหน้าอีกครั้ง
ปู่กุ่ยหัวเราะ หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มหนึ่งที “คนเรานะ ต้องทำตามความเป็นจริง ส่วนความเป็นจริงคืออะไร นั่นก็คือผลงาน บางครั้งก็ถูกนำมาตัดสินว่าวีรบุรุษประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว”
“ท่านผู้เฒ่า คุณพูดแบบนี้ฉันไม่เข้าใจค่ะ” ถังหย่าฉีสะอื้นไห้สองที
“เหอะๆ ง่ายมาก พ่อของเธอต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแน่นอน เป็นคนใหญ่คนโต แต่ในสายตาของเขา เธอก็คือเด็กคนหนึ่ง เธอไม่สามารถตัดสินใจเองได้ และการตัดสินใจของเธอจะต้องผิดแน่นอน เพราะยังเป็นผู้ใหญ่ไม่เท่าเขา”
“ใช่ๆๆ ท่านผู้เฒ่าพูดถูก ฉันไม่ชอบจริงๆ ที่เขาเป็นแบบนี้ ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวว่าทำให้คนอื่นไม่ชอบมากแค่ไหน” ถังหย่าฉีพูดด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดเหมือนจะหาคนที่เข้าใจตัวเองได้แล้ว
ปู่กุ่ยค่อยๆ พยักหน้า “เธอรู้สึกแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเธอทำผลงานออกมาได้ เขาน่าจะไม่คิดแบบนี้แล้ว”
“ผลงานเหรอ ท่านผู้เฒ่า ถ้างั้นฉันจะทำอะไรได้ล่ะคะ ฉันเป็นแค่นักศึกษานะ”
“นั่นไง แม้แต่ตัวเธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะงั้นก็ต้องเชื่อฟังพ่อของเธอ แต่ถ้าเธอทำลายความคิดแบบนี้ได้ ทำผลงานชิ้นใหญ่ออกมา เขาก็จะทึ่งในตัวเธอ หรือ…อาจจะให้เธอตัดสินอนาคตของตัวเองด้วยซ้ำ!” ปู่กุ่ยเอ่ยยิ้มๆ
“หา? จริง…จริงเหรอคะ”
ปู่กุ่ยพยักหน้ายิ้มด้วยใบหน้าที่มีเมตตา
“เพราะเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาถึงเชื่อใจเธอ แต่ถ้าตัวเธอยังพิสูจน์ไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีสิทธิ์โทษพ่อของเธอ ยังไงตัวเธอก็รู้ว่าเขาหวังดีกับเธอแน่นอน”
ฟังประโยคนี้จบแล้ว ถังหย่าฉีก็เงียบไปพักหนึ่ง แต่ปู่กุ่ยกลับหัวเราะออกมา ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านเจ้าของร้าน ฉันดื่มเหล้าหมดแล้ว ขอตัวก่อนนะ”
ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นกำหมัดคารวะ “ปู่กุ่ย วันนี้เป็นเพราะคุณ ไม่งั้นพวกเราคงดูแลผู้หญิงคนนี้ไม่ไหวจริงๆ ผู้หญิงขี้เหล้าแท้ๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ ถังหย่าฉีกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ ดูเหมือนกำลังเหม่อลอยนึกถึงคำพูดของปู่กุ่ยอยู่
ปู่กุ่ยโบกมือ “เด็กวัยรุ่นมักสับสนเป็นเรื่องปกติ ฉันเป็นคนแก่ที่มีทั้งความอดทนและเวลา เธอไม่เสียใจก็พอแล้ว”
พูดจบ ปู่กุ่ยจึงหมุนตัวเดินออกจากร้านอาหาร ซ่งจื่อเซวียนมองแผ่นหลังของเขา แล้วพยักหน้าแรงๆ “ปู่กุ่ยเป็นคนพิถีพิถันมาก สมกับเป็นปู่จริงๆ”
หลังจากนั้น ถังหย่าฉีก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว เธอไม่ร้องไห้อีก และไม่ดื่มเหล้าต่อ
แต่เหล้าที่ดื่มไปก่อนหน้านั้นเริ่มตีกลับ อย่างไรเธอก็ดื่มเหล้าไปหนึ่งขวดโดยไม่ได้กินอย่างอื่นด้วย อย่าว่าแต่เธอที่เป็นผู้หญิงเลย ต่อให้เป็นคนหนุ่มร่างกายกำยำก็ทนไม่ไหว
ตอนบ่ายอาเจียนไปสองครั้ง จากนั้นก็เริ่มขอเหล้าเพิ่มจากซ่งจื่อเซวียนอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนย่อมไม่ให้อยู่แล้ว แต่ข้างนอกยังมีลูกค้าอยู่ พอเผลอตัว เธอก็หยิบเหล้ากับเบียร์ไปสองขวด หลังจากผสมเหล้ากับเบียร์เข้าด้วยกันแล้ว ฤทธิ์เหล้าจึงตีกลับมาทั้งหมด
จนกระทั่งเลิกงาน ถังหย่าฉีก็ยังไม่หมดแรง เอาแขนพาดไปที่ไหล่ของซ่งจื่อเซวียน เอ่ยว่า “ซ่งจื่อเซวียน ไป พวกเราไปกินปิ้งย่าง ดื่มเหล้ากัน เร็วๆ!”
“ดื่มอะไรอีกแม่ทูนหัว เย็นนี้ฉันมีธุระ เธอรีบเรียกไต้ทงมารับดีกว่า” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“รับอะไร พวกเรายังดื่มไม่เสร็จเลย ปล่อยให้เขารอไปก่อน!” ถังหย่าฉีกลับเผด็จการ โบกมือเป็นวงกว้าง เหมือนเป็นหญิงสาวผู้กล้าหาญ
ซ่งจื่อเซวียนก็เมาแล้ว มองซางเทียนซั่ว “เทียนซั่ว ตอนนี้นายกลับบ้านไปขับรถออกมาได้ไหม ฉันอยากใช้รถของนาย”
“ไม่มีปัญหาอาจารย์ มิน่าถึงบอกผมว่าอย่าดื่มเหล้า คืนนี้อยากให้ผมเป็นคนขับรถไปส่งพวกอาจารย์ที่ไหนครับ ฮิๆ!” ซางเทียนซั่วหัวเราะพูดด้วยใบหน้าที่ร้ายกาจ
“อย่าพูดไร้สาระ ฉันมีธุระ แล้วนายก็แวะไปรับแม่กับพี่สาวของฉันด้วย ฉันจะพาพวกเขาไปที่ที่หนึ่ง”
“หา? แบบนี้นี่เอง แต่…อาจารย์ จะทำยังไงกับอาจารย์แม่ล่ะ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนมองถังหย่าฉีที่พิงไหล่ของตัวเองอย่างสบายใจ เอ่ยว่า “เฮ้อ พาไปด้วยแหละ ไม่เป็นไรหรอก จะเอาเธอไปทิ้งที่ไหนก็ไม่ได้นี่นา”
”ฮิๆๆ ซ่งจื่อเซวียนนายดีจริงๆ เลย นายจะพาฉันไปเที่ยวที่ไหนเหรอ” ถังหย่าฉียิ้มให้
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตามองเธอหนึ่งที “ไปห้องเก็บเหล้า จะให้เธอดื่มทั้งคืนเลยดีไหม”
แต่ถังหย่าฉีกลับดีใจ “จริงเหรอ อย่างนั้นก็ดีมากเลย นายนี่ใจป้ำจริงๆ!”
ถังหย่าฉีพูดพลางจุ๊บไปที่ใบหน้าของซ่งจื่อเซวียนทันที
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง ซางเทียนซั่วก็เช่นกัน เบิกตาโตพูดว่า “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้น…ผมหาโรงแรมให้พวกอาจารย์นอนกันก่อนดีไหม”
………………………………………………….