เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 139 อาจารย์แม่ช่วยด้วย
ตอนที่ 139 อาจารย์แม่ช่วยด้วย
เมื่อพวกเขามาถึงร้านอาหารร่ำรวยในวันถัดมา ตัวซ่งจื่อเซวียนดูเหมือนจะตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากความแปลกใหม่ในช่วงนี้เขาจึงสนใจการเล่นโทรศัพท์มากขึ้น แต่วันนี้เขาไม่ได้เล่นเลย นั่งพักสายตาอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์เช่นนี้อยู่ตลอด
ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขารู้สึกกลัวเมื่อคิดว่าเคอหงเทาจะไปที่บ้านตอนเขาไม่อยู่
ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง เขาโทรไปหาที่บ้านเจ็ดแปดครั้ง แน่ใจว่าไม่มีใครมาแล้วจึงค่อยวางใจ
ถ้าหานหรงไม่ได้กำชับเขาในตอนท้ายว่าอย่าฟุ้งซ่านตอนทำงาน และจะบอกเขาทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น เกรงว่าถ้าไม่โทรไปสิบถึงยี่สิบสายเขาคงจะไม่วางใจ
จนกระทั่งมีคนมาสั่งข้าวผัดจักรพรรดิ ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินเข้าไปในครัว เขาทำอาหารเสร็จด้วยความเหม่อลอยอยู่บ้าง จากนั้นจึงกลับไปพักที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง
เมื่อเสิร์ฟอาหารแล้วซางเทียนซั่วก็เอ่ย “อาจารย์เป็นอะไรเนี่ย ใจลอยทั้งเช้าเลย รุ่ยจื่อเล่าเรื่องเมื่อวานให้ผมฟังแล้ว แต่อาจารย์อย่าเป็นแบบนี้สิ เราคิดหาทางแก้ไขกันได้น่า”
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขา “ไม่เป็นไร วางใจเถอะเทียนซั่ว นายจับตาดูที่นี่สักพัก ฉันจะออกไปสูบบุหรี่”
“อือ…” ซางเทียนซั่วมองดูซ่งจื่อเซวียนเดินออกไปด้วยความกังวลเล็กน้อย และถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เฮ้อ แม่งน่าหงุดหงิดฉิบหาย ทำไมเคอซานนั่นถึงน่ารำคาญนักล่ะ รุ่ยจื่อ แกแอบไปจัดการเขาก็ได้แล้วไหม”
ฟางรุ่ยกลอกตามาที่เขา “แกบ้าหรือเปล่า แล้วทำไมแกไม่ไปเองล่ะ”
“ฉันไม่มีฝีมือแบบแกน่ะสิ ถ้าฉันมี ฉันก็ไปบีบเคอซานแล้ว!”
“พอเถอะ แกรู้ไหมว่าทางเคอซานมีกันกี่คน และอีกอย่างนายท่านรองไม่ต้องการให้เราก่อเรื่อง แกสงบสติอารมณ์หน่อยเถอะ เชื่อฟังนายท่านรอง เขาจะมีต้องวิธีแน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนนั่งลงบนขั้นบันไดตรงประตูและจุดบุหรี่สูบหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์
“อาเจิ้ง วันนี้ผมว่าจะไปที่นั่นน่ะ”
“อ้อ ไม่มีปัญหาครับ กี่โมงครับผมจะได้ไปรับ” เจิ้งอวี่เอ่ยถามทันที
“ไม่ต้องหรอก วันนี้ผมจะไปเอง อาแค่บอกเขาสักคำก็พอครับ”
“หา? คุณจะมาที่นี่เอง…สะดวกเหรอครับ ให้ผมไปรับคุณดีกว่า”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม “ทำตามที่ผมบอกเถอะ ผมมีความคิดของผมอยู่”
เจิ้งอวี่ชะงักครู่หนึ่งแล้วจึงตกลง “ก็ได้ครับ ผมจะบอกคุณซ่ง แต่…”
“หืม”
“จื่อเซวียน ช่วงสองวันที่ผ่านมาคุณซ่งมีอาการไม่ค่อยดี ผมหวังว่าคุณจะไม่ไปกระตุ้นเขา”
“เขาเป็นอะไรครับ” ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา แม้ว่าปากของเขาจะเรียกคนคนนั้นว่า ‘เขา’ มาตลอด แต่สุดท้ายแล้วเลือดก็ข้นกว่าน้ำ เมื่อได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นกับซ่งอวิ๋นฮั่นก็ยังคงหวั่นใจ
ซ่งจื่อเซวียนถามจบ ปลายสายก็เงียบไปหลายวินาที ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงลมหายใจของเจิ้งอวี่ที่เริ่มปั่นป่วน ตามมาด้วยอาการหายใจไม่ออกอยู่หลายครั้ง
“คุณซ่ง เขา…” เจิ้งอวี่ปรับลมหายใจอีกครั้งและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เกรงว่าคงอีกไม่นานแล้วจริงๆ หมอไปรักษาเขาที่โรงแรมแล้วบอกว่าอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ ตอนนี้เขาสวมหน้ากากออกซิเจนทุกวัน อีกทั้งกินอาหารก็ลำบากไปหมด”
ได้ยินคำตอบนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกตะลึง เขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัวเองในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ฟาดโดนไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ…
เขารู้สึกเวียนหัวแทบจะตกเก้าอี้ล้มลงข้างๆ มือดันพื้นอยู่และโทรศัพท์แทบจะร่วงหล่นลงมา
“ผมเข้าใจแล้ว”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วางสายไป เขาเหม่อมองไปข้างหน้าโดยไม่มีเป้าหมายใดๆ เพียงแค่มองไปเท่านั้น…
ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจถูกต้อง ความจริงตอนที่พบกับซ่งอวิ๋นฮั่นครั้งก่อน เขาก็ตัดสินใจพาแม่และพี่สาวไปที่นั่นแล้ว หลังจากที่เคอซานมาก่อปัญหาที่บ้านเมื่อวานนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจ
หลังจากเหม่อลอยมานานก็มีมือหนึ่งวางบนไหล่ของซ่งจื่อเซวียน เขาหันกลับมาและสีหน้าของเขาก็อ่อนลงทันที
“หย่าฉี”
“วันนี้ฉันไม่มีเรียนเลยมาหานาย เป็นอะไรไป นั่งข้างนอกคนเดียวไม่หนาวเหรอ”
คำพูดของถังหย่าฉีเป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนอบอุ่นหัวใจ เขาคลี่ยิ้มพลางส่ายหัว “ไม่เป็นไรเข้าไปนั่งเถอะ เธออยากกินอะไรล่ะ ให้ฉันทำข้าวผัดให้เธอไหม”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้หิวมากน่ะ ก็แค่…จู่ๆ ก็อยากมานั่งทางนี้”
“มา เข้ามาเลย” ซ่งจื่อเซวียนพูดและให้ถังหย่าฉีเข้ามา
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ซางเทียนซั่วก็เอ่ย “ให้ตาย อาจารย์แม่มาได้ทันเวลาพอดี ตอนนี้อาจารย์ได้รับการช่วยเหลือแล้ว”
“ได้รับการช่วยเหลืออะไรกัน นายท่านรองไม่ได้เป็นอะไรตั้งแต่แรกแล้ว” ฟางรุ่ยกล่าว
“แกจะไปรู้อะไร ถึงอาจารย์ของฉันจะดูอ่อนแอ แต่เขามีนิสัยที่เข้มแข็ง เขาจะแสดงให้เห็นเหรอว่าในใจรู้สึกยังไง ในฐานะลูกศิษย์ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี”
ขณะที่พูดซางเทียนซั่วดูจริงจังสุดๆ และยังพยักหน้าอย่างแรง
“เขาเป็นอะไรล่ะ เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานงั้นเหรอ” ฟางรุ่ยถาม
“แน่นอนสิ อาจารย์ฉันเป็นใครล่ะ ลูกชายกตัญญูอันดับหนึ่งในตู้เหมินนะ เมื่อวานไอ้สารเลวเคอซานนั่นรังแกย่าของฉัน จะไม่ให้อาจารย์ฉันไม่สบายใจได้ไง”
“แต่นายท่านรองก็เล่นงานเคอซานไปแล้วนะ ไม่น่าจะไม่สบายใจจนถึงตอนนี้ ฉันเดาว่าเขากำลังคิดว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้มากกว่า” ฟางรุ่ยกล่าว
ซางเทียนซั่วส่ายหัว “แกจะไปรู้อะไร แกเข้าใจอาจารย์แบบฉันหรือเปล่า ฉันจะบอกให้นะว่าอาจารย์ของฉันไม่สบายใจ เขาทนดูไม่ได้ที่ย่าฉันไม่ได้รับความเป็นธรรม”
ทั้งคู่กำลังซุบซิบคุยกันในขณะที่ซ่งจื่อเซวียนและถังหย่าฉีนั่งลงที่โต๊ะแล้ว
“จื่อเซวียน ที่นี่มีเหล้าแบบไหนบ้างล่ะ”
“เหล้า? เธอไม่หิวไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ถังหย่าฉีพยักหน้า “ใช่ ฉันไม่หิว ไม่อยากกินอาหาร แต่อยากดื่มเหล้า”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็มองไปที่เคาน์เตอร์ “มีแต่เหล้าขาวทั้งนั้น ดื่มเพียวๆ ไม่ดีต่อกระเพาะ ถ้างั้นฉันจะเตรียมกับแกล้มให้เธอนะ”
แม้ว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี แต่การปรากฏตัวของนางฟ้าตัวน้อยถังหย่าฉีคนนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนผ่อนคลายได้ไม่น้อยจริงๆ แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ถังหย่าฉีเหมือนจะมีเรื่องไม่สบายใจเล็กน้อย
“เร็วกว่านั้นได้ไหม ฉันอยากดื่มเหล้าแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หย่าฉี เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ถังหย่าฉีเม้มริมฝีปากเบาๆ ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แม้ว่าท่าทางนั้นยังคงสวยหยาดเยิ้ม แต่ซ่งจื่อเซวียนก็กังวลยิ่งกว่า
“เจอเรื่องอึดอัดใจมาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามย้ำอีกครั้ง
ถังหย่าฉีถอนหายใจ “หยุดถามฉันแล้วเอาเหล้ามาให้ฉันสักขวด”
เมื่อพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองซ่งจื่อเซวียน “จื่อเซวียน ถ้าฉันรู้สึกแย่ ฉันมาหานายที่นี่ได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าจะดื่มเหล้าก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่เราจะดื่มเพียวๆ ไม่ได้ เธอรอฉันสักเดี๋ยวนะ ฉันจะทำอะไรให้เธอกินหน่อย”
คราวนี้ถังหย่าฉีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ก็ได้ นายช่วยทำให้ฉันหน่อยแล้วเดี๋ยวมาดื่มเป็นเพื่อนฉันสักสองแก้วนะ”
ต้องบอกว่าถึงแม้ถังหย่าฉีจะมีโฉมหน้าสะสวยและอ่อนโยน แต่ในฐานะผู้หญิงของตู้เหมินเธอก็ค่อนข้างกล้าได้กล้าเสีย เธอดื่มเหล้าแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็ดื่มไปไม่น้อย
แต่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่อยากให้เธอดื่มเยอะ สุดท้ายแล้วช่วงที่คนอารมณ์ไม่ดีมักจะเมาง่าย
หากเป็นช่วงปกติ นางฟ้าตัวน้อยคนนี้จะเมาอย่างไรก็ได้ ซ่งจื่อเซวียนคิดหาทางช่วยเหลือเธอได้เยอะแยะ แต่ไม่ใช่วันนี้ เขาจะพาแม่ไปเจอพ่อแท้ๆ ตอนกลางคืน เรื่องนี้เขาจะรอช้าไม่ได้แล้ว
ในไม่ช้า กลิ่นหอมสดชื่นก็โชยมาจากห้องครัว เลยมื้อเที่ยงไปแล้วห้องครัวจึงไม่ได้ใช้งาน ดังนั้นกลิ่นจึงแพร่กระจายไปทั่วห้องครัวด้านหลังและโถงด้านหน้า
หูเจิ้นตกตะลึงเมื่อได้กลิ่นหอมนี้ ตัวเขาเองไม่เคยปรุงอะไรที่หอมขนาดนี้มาหลายสิบปีแล้ว จึงคิดว่ามันเปล่าประโยชน์
เขาเบิกตากว้างและสบถ “เชี่ยไรเนี่ย…นายท่านรอง นี่คือซุปอะไรกัน มันหอมเกินไปแล้วมั้ง ผมขอชิมสักคำได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “ชิมสักคำเหรอ เหอะๆ เกรงว่านายจะไม่มีคุณสมบัติพอ เมนูนี้เสี่ยปายังไม่ได้ชิมเลยด้วยซ้ำ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ หูเจิ้นก็กลืนน้ำลายลงคอ ถ้าพูดอย่างนี้เขาคงไม่มีคุณสมบัติจริงๆ
แต่กลิ่นนี้หอมเย้ายวนจนทุกคนในห้องครัวมองซ่งจื่อเซวียนน้ำลายสอ กลิ่นนี้…ตอนทำงานในครัวพวกเขาไม่เคยได้กลิ่นเลย
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขาแต่ละคน ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาครุ่นคิดแล้วกล่าว “เอาล่ะ เสี่ยวหลิว เอาน้ำใส่ชามมาให้ฉันหน่อย!”
“ได้ครับ นายท่านรอง คุณต้องการเท่าไรครับ”
“ครึ่งชามก็พอแล้ว!”
“จัดไป!” เสี่ยวหลิวคล่องแคล่วและเอาน้ำไปให้ซ่งจื่อเซวียนทันทีโดยไม่พูดอะไร แล้วยืนรออยู่ตรงนั้น
ซ่งจื่อเซวียนเห็นว่าถึงเวลาสมควรแล้วจึงเทน้ำลงไป ปริมาณซุปหนึ่งชามกลายเป็นสามชาม แม้ว่าจะดูจืดชืดอยู่บ้าง แต่เมื่อใส่เครื่องปรุงเพิ่มรสชาติเล็กน้อยก็เรียบร้อย
ในไม่ช้า ซ่งจื่อเซวียนก็ตักใส่ชามไม่กี่ใบ จากนั้นถือชามซุปที่ใหญ่ที่สุดแล้วเอ่ย “แบ่งให้พี่ๆ ในร้านนี้แล้ว มาชิมกัน”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องครัวพร้อมชามในมือ ส่วนคนเหล่านั้นก็รีบวิ่งพุ่งเข้าไปโดยไม่รอด้วยซ้ำ
“แม่ง ใครกล้ามาแย่งกับฉันนะคอยดู!”
หูเจิ้นพูดจบก็ไม่มีใครสนใจ สุดท้ายแล้วในเวลานี้คำพูดของนายท่านรองถือเป็นที่สิ้นสุด เมื่ออยู่ต่อหน้าอาหารอันโอชะก็ไม่ได้ทำตามคำสั่งหัวหน้าเชฟอีก
“แม่งสดชื่นจริงๆ โคตรอร่อย!”
“แถมยังเข้มข้นเหมือนน้ำแกง!”
หูเจิ้นชิมแยกรสชาติสองคำแล้วเอ่ย “นายท่านรองก็คือนายท่านรองล่ะนะ กลิ่นนี้…ไม่เข้าใจเลย ทำไมมันถึงมีกลิ่นหอมขนาดนี้…”
“เฮ้…นายท่านรอง เมนูนี้ชื่ออะไรเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม หันกลับมาบอก “น้ำแกงแสนอร่อย!”
เมื่อเดินถือน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไปที่โถงด้านหน้า ซ่งจื่อเซวียนอดตะลึงไม่ได้เพราะเขาเห็นขวดเหล้าขาวหกสิบสามดีกรีตรงหน้าถังหย่าฉี ในเวลานี้เหลือน้อยกว่าครึ่งขวดแล้ว
และแก้วที่อยู่ตรงหน้าถังหย่าฉีก็ว่างเปล่าเช่นกัน ตอนนี้เธอกำลังจะรินเหล้าต่อ
ซ่งจื่อเซวียนรีบสาวเท้าเข้าไปฉกขวดเหล้า “ให้ตายเถอะดื่มเหล้านี่ไปขนาดนี้เลยเหรอ เธอหยุดพักสักเดี๋ยวเถอะ รีบกินอาหารสักคำสิ”
ถังหย่าฉีไม่ได้เมา ได้ยินดังนั้นจึงไม่พูดอะไรและหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร เมื่อกินเข้าไปเธอก็อดเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ “นายทำเจ้านี่อีกแล้วเหรอ อร่อยจัง!”
“ถ้าอร่อยก็กินอีกสักสองคำสิ เอาล่ะ ดื่มเหล้าเกินครึ่งขวดไปแล้วนะ คนที่รู้ก็คิดว่าเธอดื่มคลายทุกข์ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าเธอเอาน้ำแร่ใส่ขวดนี่แกล้งเป็นคนคอแข็ง!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็หันไปมองที่เคาน์เตอร์พร้อมกับขมวดคิ้วถาม “ใครเป็นคนเอาเหล้ามาให้เธอ”
เมื่อเห็นแรงกดดันของซ่งจื่อเซวียน ใครจะกล้าสารภาพล่ะ
แต่ในเวลานี้ซางเทียนซั่วกลับซ่อนมือของเขาไว้ใต้รักแร้และชี้ไปที่หยางกัง
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเปิดปากก็เห็นฟางรุ่ยทำท่าทางเดียวกัน เพียงแต่ทิศทางที่ชี้กลับเป็นซางเทียนซั่ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มองซางเทียนซั่วด้วยสายตาเยือกเย็น “โกหกจะถูกเพิ่มโทษนะ!”
ซางเทียนซั่วได้ยินก็หันมืออย่างว่องไว อ้อมมือไปและชี้ที่จมูกของตัวเอง
“บ้าหรือเปล่า ยังไม่ได้เสิร์ฟอาหารเลยนายเอาเหล้าไปให้เธอทำไมฮะ” ซ่งจื่อเซวียนตะโกนเสียงดัง
ซางเทียนซั่วมองไปที่ถังหย่าฉี แต่ถังหย่าฉีเมินเขาและคีบอาหารกินอีกสองคำ
เขามองไปที่ฟางรุ่ยอีกครั้ง แต่ฟางรุ่ยแกล้งทำเป็นไม่เห็นทันทีและหันกลับมาเริ่มเช็ดชั้นวางเหล้าที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ สีหน้าซางเทียนซั่วแดงก่ำไปหมด นี่เรียกว่าไม่มีทางเลือก
“อาจารย์ คือ…อาจารย์แม่ให้ผมไปหยิบมา!”
“เธออยากได้นายก็ให้เหรอ เธอหรือฉันที่เป็นอาจารย์นายกันแน่!” ซ่งจื่อเซวียนตะโกน
“ก็ต้องอาจารย์สิที่เป็นอาจารย์ของผม แต่…เธอเป็นอาจารย์แม่ของผมเหมือนกัน ผมเข้าใจว่าอาจารย์แม่อาจจะ…แก่กว่าอาจารย์นิดหน่อย” ซางเทียนซั่วพูดพร้อมทำท่าทางตัวเล็กตัวน้อยด้วยการหนีบนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเข้าด้วยกัน ท่าทางนั้นดูปุ๊กปิ๊กจริงๆ…
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามาที่เขา “คิดว่านายน่าสงสารแล้วกัน ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าวันนี้หย่าฉีดื่มเยอะ ฉันจะมาคิดบัญชีกับนาย!”
“อย่างนี้ก็ได้เหรอ อาจารย์แม่บอกให้ผมไปหยิบแถมยังบอกอีกว่าถ้าอาจารย์โกรธก็เป็นความผิดของเธอ” ซางเทียนซั่วพูดพลางเดินออกจากเคาน์เตอร์มาข้างหลังถังหย่าฉีและกระซิบเสียงเบา “อาจารย์แม่ช่วยด้วย!”
…………………………………………..