เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 138 แตะต้องไม่ได้
ตอนที่ 138 แตะต้องไม่ได้
อันที่จริงที่ซ่งจื่อเซวียนแสดงออกมาเช่นนี้ เคอหงเทาก็ไม่มีข้อกังขาเลยสักนิด เขารู้มานานแล้วว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นลูกกตัญญู สิ่งที่เขาทำลงไปแตะขีดจำกัดของซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตู้เหมินมีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ‘รังแกผู้เฒ่าแต่ไม่รังแกคนหนุ่มสาว’ โดยเฉพาะคนที่มีศักยภาพสูงมากอย่างซ่งจื่อเซวียน การรังแกเขาเท่ากับการเพิ่มกำแพงให้ตัวเองในอนาคต
แต่เคอหงเทาไม่มีทางเลือกอื่น ด้านหนึ่งก็ซ่งจื่อเซวียนอีกด้านหนึ่งก็หวงฟา แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะแข็งแกร่งขึ้นอีกในอนาคต ก็อาจจะเทียบเคียงพลังอำนาจของหวงฟาไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เคอหงเทาทำได้แค่เลือกเชื่อฟังหวงฟาเท่านั้น
เคอหงเทาถูกซ่งจื่อเซวียนตรึงไว้กับผนัง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า “เจอเสี่ยหวงเหรอ ได้ ฉันนัดให้นายได้ แต่เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันเป็นแค่ตัวกลางเท่านั้น”
“หยุดพูดเลอะเทอะกับข้า โทรหาหวงฟาตอนนี้ เดี๋ยวนี้!”
เห็นสายตาของซ่งจื่อเซวียน เคอหงเทาก็รู้ว่าเขาเอาจริง ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงคิดว่าคนคนนี้บ้าไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการแส่หาเรื่องเสี่ยหวง แม้แต่การทำให้เสี่ยหวงไม่พอใจก็เท่ากับการรนหาที่ตาย
ทว่าตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนต้องการตรงไปหาถึงประตู ความกล้าหาญแบบนี้…คนอื่นไม่มี
เคอหงเทาพยักหน้าเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ออกมาทันที ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกดโทรหาหวงฟา
แต่ไม่มีการตอบรับหลังจากมีเสียงรอสายหลายสิบครั้ง เคอหงเทามองไปที่ซ่งจื่อเซวียนแล้วพูด “เขาไม่รับ”
“โทรอีก!” ซ่งจื่อเซวียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในสายตาของเขาตอนนี้ไม่มีทั้งเสี่ยหวงหรือเสี่ยเคอซาน ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใครก็ตาม ถ้ามารังแกแม่ฉัน แม่งไม่ยอมเด็ดขาด!
………………………….
ณ ตึกจวี้เฟิงชั้นที่สิบหก
สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่สร้างขึ้นในชั้นน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิมในยามค่ำคืน เมื่อเปิดไฟสลัวจะส่องสว่างทั่วทั้งชั้นราวกับแสงจันทร์ ฉากต่างๆ เช่น ภูเขาจำลองและพืชพรรณเขียวขจีเหล่านี้ที่ไม่ควรปรากฏในอาคารพาณิชย์สมัยใหม่ดูเป็นธรรมชาติเป็นพิเศษ
ได้ยินเสียงน้ำไหลอย่างชัดเจน ในขณะที่หยดน้ำตกลงมา ละอองน้ำก็ลอยขึ้น ช่างเป็นฉากที่น่าทึ่ง
ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังก็วางมือและบีบเบาๆ บนไหล่ของเขา บางจังหวะก็ลูบไล้แก้มและใบหูของเขา หวงฟายกยิ้มเพียงเล็กน้อย สีหน้าเคลิบเคลิ้มถึงขีดสุด
“เสี่ยหวง โทรศัพท์ของคุณดังมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงไม่รับสักทีล่ะคะ” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถาม
หวงฟากระตุกยิ้ม “มีเธออยู่ข้างกายฉัน ฉันจะไปคิดรับโทรศัพท์ได้ยังไงกัน”
“ดูคุณพูดเข้าสิ ฉันไม่กล้าเหนี่ยวรั้งธุระของคุณนะคะ” ขณะที่พูด ผู้หญิงคนนั้นก็โน้มตัววางหน้าอกของเธอลงบนแผ่นหลังหวงฟา และกระซิบข้างหูเขาเบาๆ “เสี่ยคะ ฉันชอบคุณ อยากอยู่เคียงข้างคุณ แต่ฉันไม่กล้าเหนี่ยวรั้งธุระของคุณหรอกนะคะ”
หวงฟาคลี่ยิ้มเล็กน้อย ขยับมือขึ้นลูบไล้มือหยกนั่น “ยัยปีศาจน้อย เธอฉลาดดีนะ แต่เธอไม่ต้องสนใจธุระของเสี่ยหรอก เธอแค่ปรนนิบัติเสี่ยให้ดีก็พอ”
หญิงสาวยิ้มอย่างยั่วยวนและจุ๊บบนใบหน้าหวงฟาทันที
“เอาล่ะ รับก็ได้ อีกเดี๋ยวเหวินคุ่ยจะมา แล้วเราไปกินมื้อดึกด้วยกัน”
เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินก็มุ่ยปาก “มื้อดึกอะไรกัน เวลาพวกคุณพูดคุยเรื่องนู่นนี่ก็จะผลักไสฉันทุกครั้งเลย”
“เหอะๆ ไม่ดีเหรอ เรื่องบางเรื่องไม่รับรู้ไม่ฟังจะดีกว่านะ”
หวงฟายกยิ้มและมองโทรศัพท์อีกครั้ง
เหตุผลที่เขาไม่รับโทรศัพท์ไม่ใช่เพราะผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังเขา แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าในเวลานี้เสี่ยเคอซานกำลังทำงานอยู่แน่นอน และถ้าโทรหาตัวเองมีเหตุผลเพียงสองข้อเท่านั้น
เหตุผลข้อแรกคือเขาพบเจอปัญหาตอนทำงาน หวงฟาไม่คิดจะยื่นมือช่วยเขาแก้ไขในเวลานี้ งานได้มอบให้เขาไปแล้ว มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองแล้ว
ข้อที่สองคืองานเสร็จสิ้นแล้วและเขาต้องการรายงานกับตัวเอง ถ้าอย่างนั้นหวงฟายิ่งไม่ต้องรับเลย เพราะด้วยตัวตนของเคอหงเทา ควรจะมารายงานด้วยตนเองแทนที่จะโทรมา
แต่หวงฟาคาดว่าเป็นเหตุผลข้อแรก เพราะเขารู้จักเคอซานดี อีกฝ่ายเป็นคนที่เรียงลำดับความสำคัญของงานเป็น จะไม่โทรมารายงานสถานการณ์อย่างแน่นอน ดังนั้น…คาดว่าอาจจะเจอปัญหา
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เถียนเหวินคุ่ยก็เดินออกมาจากลิฟต์แล้วตรงไปที่โต๊ะ เขาเห็นโทรศัพท์ที่ยังกะพริบอยู่
หวงฟายิ้มอย่างสบายใจและพยักหน้า ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย “พูดถูก ไป เราไปกินมื้อดึกกัน”
พูดจบ เขาก็ออกจากโต๊ะน้ำชา ไม่ได้รับสายโทรศัพท์และปล่อยให้ดังต่อไป
……
ในซอย เคอหงเทาหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าว “โทรไปสิบกว่าสายแล้ว ไม่มีใครรับเลย”
อันที่จริงเคอหงเทารู้อยู่แก่ใจว่าเสี่ยหวงไม่ได้พักผ่อนในเวลานี้ สายนี้…จงใจไม่รับอย่างแน่นอน
ทั้งยังไม่ต้องอธิบายเหตุผล ถ้าเป็นเขาเองก็จะไม่รับเช่นกัน ใครมันจะไปหาเรื่องใส่ตัวกันล่ะ
ซ่งจื่อเซวียนจ้องเขม็งและพยักหน้า “ได้ แต่แกต้องรีบติดต่อหวงฟาให้ฉันโดยเร็วที่สุด บอกว่าฉันซ่งจื่อเซวียนต้องการพบเขา!”
“ไม่มีปัญหา ฉันรับปากนาย ปล่อยได้หรือยัง” เคอหงเทาไม่สนใจอีกแล้วว่าเสื้อผ้าของเขาถูกซ่งจื่อเซวียนคว้าไว้อย่างไร ประเด็นหลักคือตรึงเขาไว้กับกำแพงด้วยแรงขนาดนี้ เขาชักจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ปล่อยเคอหงเทา ฟางรุ่ยในอีกด้านหนึ่งก็ปล่อยต้าลี่ไปด้วย
ต้าลี่รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เสี่ย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
เคอหงเทาโบกมือ “ไม่เป็นไร”
จากนั้นเขาก็มองซ่งจื่อเซวียนและกล่าวต่อ “ซ่งจื่อเซวียน อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือนนายนะ เสี่ยหวงไม่ใช่คนที่จะไปแหย่เล่นได้ เรื่องบางอย่าง…นายต้องระวังตัวให้ดี”
“นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!” ซ่งจื่อเซวียนพูดน้ำเสียงเย็นชา
เคอหงเทาพยักหน้า “ฉันเข้าใจ แต่เกรงว่าฉันยังต้องทำเรื่องบางอย่างอีก นายก็รู้ว่าฉันขัดขืนเสี่ยหวงไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น…อย่าโทษฉันแล้วกัน”
“ตามใจ ฉันซ่งจื่อเซวียนขอสู้ แต่ฉันจะบอกแกให้นะเคอซาน อย่าใช้วิธีสกปรกๆ กับฉัน ถ้าแกยังทำแบบนี้กับแม่ฉันอีกล่ะก็ ฉันจะทำให้ทั้งครอบครัวแกอยู่ไม่เป็นสุข!”
ซ่งจื่อเซวียนชี้ไปที่เคอหงเทาพลางพูด จนถึงตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนเลือด แสดงให้เห็นว่าเขาโกรธแค่ไหน
เคอหงเทาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็พยักหน้าแล้วหันหลังกลับจากไป
ซ่งจื่อเซวียนมองเขาแล้วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันหลังก้าวเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจอีก
เมื่อเห็นว่าแม่และพี่สาวปลอดภัยดี ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แม่ พวกมันไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม”
“ไม่ แม่แกไม่ได้รังแกง่ายขนาดนั้นสักหน่อย เจ้ารอง แกไปแหย่ใครเขามา” หานหรงเอ่ยถามด้วยความกังวล
แม้ว่าจะถูกเคอหงเทากักอยู่ในบ้านและหิวมาทั้งวัน แต่ในแวบแรกหานหรงก็ยังเป็นห่วงสถานการณ์ของลูกชาย กลัวว่าเขาจะเดินผิดทางและทำในสิ่งที่ผิด
“แม่ไม่ต้องห่วงลูก ลูกไม่เป็นไร ลูกแค่กลัวว่าพวกมันจะกลับมาอีก พวกมันมาตั้งแต่เมื่อไร” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“มาตั้งแต่เช้า อยู่บ้านกับฉันกับแม่ทั้งวัน ฉันยังไม่ได้กินอะไรทั้งวันเลยเนี่ย” ซ่งอีหนานกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็กำหมัดแน่น “แม่งเอ๊ย ไอ้เชี่ย ผมต้องไปคิดบัญชีกับพวกมัน”
หานหรงห้ามซ่งจื่อเซวียน “โธ่เอ๊ยพ่อทูนหัวของฉัน แกอย่าออกไปเลย แกฟังแม่ก่อนได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนจับมือแม่ “แม่ ลูกปล่อยให้พวกมันมายุ่งวุ่นวายกับแม่ไม่ได้ นี่มันเรื่องของลูก ถ้ากระทบกับคนในครอบครัวมันจะหมายความว่ายังไง จะไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานเหรอ!”
“ใช่ๆๆ พวกมันเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะงั้นอย่าไปยุ่งกับพวกมันเลย ฉันกังวลเวลาแกอยู่ข้างนอก ถ้าอย่างนั้นก็เลิกทำงานที่ร้านอาหารนั้นดีไหม กลับมาบ้านเถอะ แม่ไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะทำอะไรได้อีก!” หานหรงกล่าว
ฟางรุ่ยที่อยู่ด้านข้างยังกล่าวอีกว่า “ใช่แล้วนายท่านรอง ถ้างั้น…สองสามวันนี้อย่าเพิ่งไปร้านอาหารดีกว่า พวกเราจะได้ดูแลคุณป้าได้”
“หุบปากไป” ซ่งจื่อเซวียนจ้องไปที่ฟางรุ่ย “รุ่ยจื่อฉันจะบอกให้นะว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องแม่กับพี่สาวฉันเด็ดขาด แต่ฉันก็ต้องรักษาคำพูดด้วย ถ้าไม่สนใจร้านนั้นแล้วเสี่ยปาจะทำยังไง”
ฟางรุ่ยได้ยินก็ไม่พูดอะไรอีก
“ถ้ามันไม่เวิร์กจริงๆ ก็ย้ายที่อยู่ แม่ ลูกมีเงินในมือไม่เยอะมากแต่วางเงินดาวน์ได้ไม่มีปัญหา เราซื้อบ้านกันเถอะนะ”
“หา แกอย่าหุนหันพลันแล่นสิ ลูกชายแกเก็บเงินนั้นไว้ให้ดี ยังต้องใช้แต่งงานนะ แม่อยู่ที่นี่สบายดี มันติดดินด้วย แกไม่ต้องห่วงฉันทางนี้หรอก แม่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!”
มองดูแม่ในขณะนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา เหมือนกับที่เคอซานพูดไว้ ‘ตัวเองมีแม่ที่ดี’
หานหรงอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกภูมิใจมากที่เขายังสามารถพึ่งพาเธอในวัยนี้ได้
เขาพยักหน้าเล็กน้อย “โอเค แม่ไม่ต้องกังวล ลูกจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ลูกจะไม่ปล่อยให้พวกมันทำให้แม่ลำบากใจ และจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก”
“ดีแล้ว ฉันแค่เป็นห่วงแกน่ะเจ้าเด็กโง่ ถ้าแกไม่เป็นอะไร ครอบครัวเราก็มีความสุข แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับแก…”
ขณะที่พูดหานหรงก็หลั่งน้ำตา ปิดปากแล้วร้องไห้ “ฉันจะมีชีวิตอยู่ยังไง…”
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไปปรับลมหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เขาพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่า…จะถึงเวลาแล้ว
……………………
เคอหงเทาเดินออกจากซอยก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าของตนเปียกโชก เมื่อมีสายลมเย็นพัดมาก็ทำให้เขารู้สึกหนาว
“ต้าลี่ ไปที่ท้ายรถแล้วเอาเสื้อคลุมมาให้ฉัน”
“ครับเสี่ย”
เคอหงเทาพิงรถ จุดบุหรี่แล้วสูบเข้าหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นลูบหัวฝากาน้ำชาของตัวเอง ถึงพบว่าผมของตนแทบจะเปียกชุ่มแล้ว
เขาไม่ได้รู้สึกว่าหวาดกลัวซ่งจื่อเซวียน อย่างน้อยตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไรในตู้เหมิน อย่างมากก็เป็นยอดฝีมือด้านการทำอาหารอยู่บ้าง
แต่วันนี้รัศมีของอีกฝ่ายกลับแซงหน้าเคอหงเทาจริงๆ แม้แต่ตอนที่หวงฟาพูดคุยกับเขาก็ยังเรียกเขาว่าเสี่ยซาน แต่ในวันนี้ไม่นึกเลยว่าไอ้เด็กนั่นจะยืนกรานต่อสู้กับเขา
นับตั้งแต่เสี่ยเคอซานผงาดขึ้นมาก็ยังไม่เคยโดนใครทำเช่นนี้มาก่อน
หลังจากสวมเสื้อคลุมอีกตัว เคอหงเทาก็รู้สึกอุ่นขึ้นเล็กน้อย เขาพ่นควันออกมาแล้วเอ่ย “ต้าลี่ วันนี้…ฉันอยากรู้จักซ่งจื่อเซวียนใหม่อีกครั้ง”
ต้าลี่ก้มหน้าไม่พูดอะไร อันที่จริงในใจเขายังคงรู้สึกขอบคุณซ่งจื่อเซวียน มันเป็นบุญคุณชีวิต อย่างไรถ้าซ่งจื่อเซวียนลงมือจริงๆ ตอนอยู่ที่โรงแรมในหลานหยวน เกรงว่าก็จะไม่มีใครล่วงรู้
“ดูเหมือนว่า…ฟางรุ่ยจะติดตามเขาแล้ว” เคอหงเทาพึมพำกับตัวเอง
“เสี่ยครับ ผมไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนว่าทักษะของไอ้เจ้าฟางรุ่ยนั้นเหนือกว่าผม และห่างชั้นกันมากทีเดียว” ต้าลี่กล่าว
เคอหงเทาพยักหน้า “เฮ้อ สูญเสียคนที่มีพรสวรรค์ไป แต่เมื่อเปรียบเทียบกับซ่งจื่อเซวียนแล้ว ก็ไม่เห็นเป็นไรหรอก”
“เสี่ยครับ ถ้างั้น…เราอย่าทำอะไรซ่งจื่อเซวียนเลย ผมคิดว่าเขาเริ่มแข็งข้อแล้ว แตะต้องไม่ได้”
เคอหงเทาได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึง ที่จริงต้าลี่ก็อยู่บนเส้นทางนี้มานานแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ผู้คนต้องเรียกเขาว่าพี่ลี่ หลายปีที่ผ่านมาเขาเห็นพวกอันธพาลทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่มาไม่น้อย นอกจากเสี่ยหวงแล้ว เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีใครที่แตะต้องไม่ได้อีก
แต่วันนี้ไม่นึกว่าเขาจะประเมินซ่งจื่อเซวียนแบบนี้จริงๆ ต้องรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เป็นคนในวงการใต้ดิน
ทว่าเมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง เขายังต้องอธิบายให้เสี่ยหวงทราบ ท้ายที่สุดหากต้องการที่ยืนในตู้เหมินต้องไม่ต่อต้านเสี่ยหวงเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นเหมือนเฉิงปาที่มีเพื่อนร่วมทีมอย่างซ่งจื่อเซวียน
“ให้ฉินซินเจี๋ยมาหาฉัน!” เมื่อพูดจบเคอหงเทาก็พ่นบุหรี่ครั้งสุดท้ายออกมา โยนก้นบุหรี่ลงบนพื้น เหยียบประกายไฟแล้วขึ้นรถไป
……………………………………………