เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 137 ข้าอยากเจอหวงฟา
ตอนที่ 137 ข้าอยากเจอหวงฟา
แม้ว่าร้านอาหารร่ำรวยจะเปิดทำการตามปกติ แต่พวกนักเลงที่ชั้นหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อกิจการไม่มากก็น้อย
ลูกค้าบางคนเดินผ่านประตู เดิมทีอยากเข้ามาทานอาหาร แต่เมื่อเห็นมาแต่ไกลว่าลูกค้าเต็มร้านก็ไปเลือกร้านอื่น
นี่เป็นความสูญเสียสำหรับร้านอาหารร่ำรวยอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วพวกนักเลงเหล่านี้สั่งแค่ถั่วลิสงไม่กี่จานและยึดโต๊ะมากมายขนาดนี้ แม้ว่าปู่กุ่ยจะอยู่ด้วย ก็ทำได้เพียงหยุดพวกเขาไม่ให้ก่อความวุ่นวาย แต่ไล่พวกเขาออกไปไม่ได้
“พี่ เราหาทางก่อเรื่องไม่ได้เลย ตาแก่นี่ขวางอยู่”
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ลงมือไม่สะดวกจริงๆ ตาแก่นั่นอายุมากขนาดนี้แล้ว จัดการไปยังไงเราก็ไม่คุ้มเสีย”
หัวโจกพยักหน้าเล็กน้อย “ใครบอกว่าไม่ล่ะ ไม่เป็นไร พวกนายอยากกินก็กินอยากดื่มก็ดื่มไป เพราะคุณเถียนก็ไม่ได้ให้เราก่อเรื่องวุ่นวาย แค่มาก่อกวนกิจการพวกเขาเท่านั้น”
พวกนักเลงหลายคนนั่งอยู่แบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าให้ฟางรุ่ยไล่พวกเขาออกไปตอนนี้อาจมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ลูกค้าอาจคิดไปได้ว่าพวกเขากำลังกลั่นแกล้งคน
ทว่าเสี่ยเฉิงปาพาพวกจางเปียวและเหลยจื่อเข้ามาพอดี เมื่อเดินเข้าร้านอาหารแล้วก็ตรงไปหาซ่งจื่อเซวียน
เห็นเสี่ยเฉิงปา หัวโจกของนักเลงเหล่านั้นก็ผงะทันที แม้คนอื่นจะไม่รู้จัก แต่เขาเคยเจอเสี่ยเฉิงปามาก่อน
“เสี่ยปา…เถ้าแก่ร้านนี้รู้จักเสี่ยปาเหรอ” ในความคิดเขา ชัดเจนว่าผู้คนในร้านนี้พาเสี่ยปามากู้สถานการณ์
“พี่ คนคนนี้คือใครเหรอ พาคนมามากมายขนาดนี้…”
“หยุดพูดไร้สาระแล้วเตรียมถอนตัว นี่คือเสี่ยเฉิงปาจากเขตเฉิงตง!”
“หา? เสี่ยปาเหรอ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา ไม่มีใครในเขตเฉิงตงที่กล้ายุ่งกับเสี่ยเฉิงปาเลย”
ในขณะที่หลายคนกำลังคุยกันอยู่ เสี่ยเฉิงปาก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์ “น้องชาย หมายความว่าไงเหรอ”
“เสี่ยปา พี่น้องพวกนี้นั่งอยู่ที่นี่ทั้งเช้าแล้ว แต่ละคนสั่งถั่วลิสงหนึ่งจาน เหล้ากับเนื้อก็เอาติดตัวมาเอง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อก่อกวนครับ” ซ่งจื่อเซวียนชี้ไปที่กลุ่มคน
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นเข้าก็ยืนขึ้นและคิดจะออกไป แต่พวกจางเปียวและเหลยจื่อก็รั้งพวกเขาเอาไว้
“จะไปไหน แม่มันเถอะ กล้ามาก่อกวนแล้วตอนนี้จะหนีเรอะ”
“เสี่ยปาไม่ให้ไป พวกแกคิดจะเผ่นหรือไง”
เสี่ยเฉิงปาหันกลับมาเหลือบมองคนกลุ่มนี้ “เปียวจื่อ ลากทั้งหมดออกไปก่อน อย่าให้กิจการขัดข้อง ฉันจะเค้นพวกหมาเย็*นี้ทีหลัง”
“ครับเสี่ย!”
พวกนักเลงหลายคนก็มึนงงทันที พวกเขาเป็นแค่กุ๊ยเท่านั้น แต่คนที่มาเยือนในตอนนี้คือพวกนักเลงตัวพ่อ
หากไม่พูดถึงเสี่ยเฉิงปา แม้แต่จางเปียวและเหลยจื่อก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงบนท้องถนน
เมื่อเห็นว่าหลายคนถูกนำตัวออกไป ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะทำได้เพียงแบไต๋กับเสี่ยเฉิงปาแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเขารู้ว่าคนเหล่านี้ถูกเสี่ยหวงส่งมา จิตใจต้องสั่นคลอนอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่
“น้องชาย ไม่เป็นไร ทำกิจการของแกต่อไปได้”
“เสี่ยปาอยู่ตรงนี้เถอะ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว แล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ “เสี่ยครับ ไอ้พวกนี้…ถ้าผมเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับเสี่ยหวง”
แน่นอนว่าเมื่อซ่งจื่อเซวียนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เสี่ยเฉิงปาก็ผงะอยู่ครู่หนึ่ง
“หือ แกแน่ใจเหรอ” เสี่ยเฉิงปาหันกลับไปถาม
ซ่งจื่อเซวียนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง “ผมไม่กล้าฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็แน่ใจพอสมควร คุณเห็นไหมว่าคนพวกนี้ไม่ได้ก่อความวุ่นวาย แค่ขัดขวางกิจการเฉยๆ พูดง่ายๆ พวกเขาคือคางคกที่เกาะอยู่บนเท้าสร้างความรำคาญให้แต่ไม่กัด”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินก็ใคร่ครวญครู่หนึ่ง “น้องชาย แกคิดว่ายังไง”
“ง่ายๆ ครับเสี่ยปา ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าวผัดจักรพรรดิเริ่มจะขายได้มากขึ้น คุณใคร่ครวญดูก็น่าจะรู้ ผมว่า…ถึงเวลาที่คุณจะต้องแสดงจุดยืนแล้ว”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินก็หัวเราะครืนใหญ่ “ฮ่าๆๆ น้องชาย แกดูถูกเสี่ยเฉิงปาเกินไปหน่อยนะ ในเมื่อตกลงปลงใจกับแกและลงเรือลำเดียวกันแล้ว เรื่องนี้ฉันจะไม่มีทางถอย ถ้าเป็นหวงฟาจริงๆ ฉันจะพูดออกไปตรงๆ แล้วถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นในวันข้างหน้าก็ให้เสี่ยหวงบากหน้ามาหาฉันเฉิงปาคนนี้!”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ความกังวลของซ่งจื่อเซวียนก็น้อยลงครึ่งหนึ่ง เขากระตุกยิ้มเอ่ย “เสี่ยปา คุณช่างพิถีพิถันนัก ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ ที่ตัวผมซ่งจื่อเซวียนเลือกไปก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง จริงๆ แล้ว…เสี่ยเคอซานเคยมาหาผม”
“หือ มาหาแกทำไม ยังวางแผนที่จะแย่งแกไปอีกเหรอ” เสี่ยเฉิงปาถาม
เมื่อเห็นว่าเสี่ยเฉิงปาตกหลุมพรางฉับพลัน ซ่งจื่อเซวียนก็แอบขำ ยังคงสบายใจที่จะคบค้าสมาคมกับเสี่ยเฉิงปา ถ้าพูดแบบนี้กับเสี่ยเคอซาน เกรงว่าผลอาจจะไม่ออกมาเป็นเช่นนี้
“เสี่ยปา ไม่ใช่การแย่งไปแต่อยากร่วมมือต่างหาก คำพูดเดิมของเสี่ยเคอซานคือเขาอยากจะมาแทนที่คุณและร่วมมือกับผมด้วยวิธีแบบพวกเราที่เขตเฉิงซี”
“อะไรนะ โคตรแม่มันเถอะ โต้ตอบเขาไปแล้วใช่ไหม กล้าแย่งพี่น้องกับฉันเฉิงปา ไอ้หมากระจอก น้องชาย แกคงไม่ได้ตอบตกลงเขาไปหรอกนะ” ต้องบอกว่าในเวลานี้สีหน้าเสี่ยเฉิงปากังวลอยู่บ้างจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม “ถ้าผมตกลงไปแล้ว ผมยังจะคุยกับคุณอยู่ที่นี่ในตอนนี้เหรอครับ”
เสี่ยเฉิงปาถอนหายใจยาว “งั้นก็ดีแล้ว น้องชาย ถ้าแกอยากจะเขี่ยฉันทิ้งตอนนี้ ฉันคงเป็นตือโป๊ยก่ายส่องกระจกทั้งนอกทั้งในไม่ใช่คน[1] แกก็จากไป แถมยังล่วงเกินเสี่ยหวงไปแล้วด้วย แกจะทำแบบนี้กับพี่ชายไม่ได้นะ”
“วางใจเถอะเสี่ยปา เรื่องที่ผมซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงง่ายขนาดนั้น”
“โอเค แกทำงานเถอะ ฉันจะออกไปจัดการไอ้เด็กเวรพวกนั้น”
พูดจบ เสี่ยปาก็เดินออกไป ร้านอาหารก็สงบลงอย่างที่สุด
ปู่กุ่ยเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเจ้าของร้าน ฉันมีเรื่องจะพูด…ฉันไม่รู้ว่าเป็นคำพูดที่เหมาะสมหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็คลี่ยิ้มแล้วกล่าว “ปู่กุ่ย คุณอย่าเกรงใจ พูดมาเลย”
“ธุรกิจนี้น่ะทนกับความวุ่นวายไม่ไหวหรอก ถ้ามีปัญหาต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว ถ้าแก้เองไม่ได้ก็ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ได้ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสองสามครั้ง ฉันว่าร้านอาหารร่ำรวยของเรา…คงไปไม่สวยแน่ๆ”
ได้ยินคำพูดที่สุภาพแต่เต็มไปด้วยความจริงจังของปู่กุ่ย ซ่งจื่อเซวียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และพยักหน้าทันที “ท่านผู้เฒ่า ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ”
ปู่กุ่ยยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร วันนี้ฉันดื่มเสร็จแล้ว ฉันไปก่อนล่ะ”
“ค่อยๆ เดินนะครับ”
หลังจากที่ปู่กุ่ยจากไป ซ่งจื่อเซวียนก็เอนตัวพิงหลังเคาน์เตอร์และครุ่นคิดอยู่นาน
คำพูดของปู่กุ่ยสมเหตุสมผลอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อยากให้ร้านอาหารเกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่ร้านอาหารร่ำรวยเพิ่งเปิดใหม่ๆ และยิ่งไม่สามารถทนรับต่อความวุ่นวายได้
แต่การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น…เขาหมายถึงเสี่ยวเป่าเหรอ
กู่เสี่ยวเป่าน่าจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปู่กุ่ยมากที่สุด แต่เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้าง นึกขึ้นได้ว่ากู่เสี่ยวเป่าเคยเป่านกหวีดอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกเรียกอวี่เหวินเซี่ยว และสองครั้งหลังจากนั้นก็เรียกขอทานที่อยู่ใกล้ๆ สิบกว่าคนจนถึงหลายสิบคนมา
สถานะของเขาในแก๊งขอทานคืออะไรกันแน่
จากนิสัยของซ่งจื่อซวียน เขาจะไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ จากผู้อื่นจนถึงที่สุด สุดท้ายแล้วนั่นไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้กับอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังทำให้ตัวเองติดหนี้บุญคุณคนอีกด้วย
ซ่งจื่อเซวียนไม่ชอบรสชาติหนี้บุญคุณ
…………………….
ในบ้านของซ่งจื่อเซวียน เคอหงเทาจับจ้องที่นี่อยู่ตลอดทั้งวัน แต่หานหรงยังคงเงียบไม่พูดไม่จาดังเดิม
ตอนเที่ยง เคอหงเทาสั่งอาหารสองสามอย่าง แต่หานหรงและซ่งอีหนานก็ไม่ทานอะไรสักคำ
จนกระทั่งตอนนี้ ภายในห้องคนเหล่านี้ก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่
“คุณแม่ ทำไมคุณไม่เปิดใจล่ะครับ รายได้ของซ่งจื่อเซวียนตอนนี้ก็ไม่สูงนัก มันจะเป็นประโยชน์กับทุกคนถ้าคุณเกลี่ยกล่อมให้เขาร่วมมือ!” เคอหงเทากล่าว
“เป็นประโยชน์เหรอ เหอะๆ ฉันรู้ว่าพวกคุณจะได้ผลประโยชน์ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าอยากให้ลูกชายฉันทำอาหารให้พวกคุณเหรอ พวกคุณพูดมาสิว่ารังแกเราสองคนทำไม” หานหรงตวัดสายตามองเคอหงเทา
“โธ่เอ๊ยคุณแม่ ทำไมคุณถึงดื้อรั้นล่ะครับ อีกอย่างทำไมเราถึงได้ผลประโยชน์กันล่ะ ถึงตอนนั้นคุณจะได้อยู่บ้านหลังใหญ่ มีรถดีๆ ขับ ทานอาหารที่อยากทาน และสวมแก้วแหวนเงินทองไม่ดีเหรอครับ” เคอหงเทาคุกเข่าลงตรงหน้าหานหรง
ในชีวิตเขา เขาไม่เคยเจอผู้หญิงหัวรั้นขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรเธอก็ไม่เปิดใจ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เคอหงเทาก็เริ่มสนใจ ไม่ชอบเหรอ อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่คุณมีสิ่งที่ถูกใจก็โอเคแล้ว อย่างไรเสี่ยหวงก็บอกว่าพวกเธออยากได้อะไรก็ให้สิ่งนั้นไป
“เอาล่ะครับคุณแม่ ถ้าอย่างนั้นคุณบอกมาสิว่าถูกใจอะไร”
หานหรงเหลือบมองซ่งอีหนานแวบหนึ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันน่ะ แค่อยากให้ลูกชายและลูกสาวของฉันมีสุขภาพแข็งแรง ตั้งใจทำงานหาเงิน อย่าละทิ้งศีลธรรมเพื่อทำงานให้กับคนที่มีนิสัยต่ำๆ อะไรแบบนั้นก็พอแล้ว!”
“คุณ…”
เคอหงเทาไม่พอใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงสองคน เขาก็อยากจะตบปากจริงๆ
ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงและเป็นคนในครอบครัวซ่งจื่อเซวียน เขาก็พะว้าพะวงอยู่บ้างจริงๆ จะพูดให้ถูกก็คือ…ไม่กล้า
……
ยอดขายของร้านอาหารในตอนเที่ยงลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด แต่โชคดีที่เสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิได้สองที่ นับว่ามีกำไร
ตอนเย็นก็เช่นกัน แม้ลูกค้าจะไม่เยอะ แต่ก็เสิร์ฟข้าวผัดได้อีกหนึ่งที่ กำไรรวมในหนึ่งวันนับว่าพอใช้ได้ ไม่ดีเท่าต้าสือไต้ แต่ต้นทุนของร้านอาหารร่ำรวยก็ต่ำกว่าอย่างชัดเจน อันที่จริงคำนวณแล้วรายได้ก็ไม่ได้แย่
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเหนื่อยล้า หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้านทันทีไม่ได้ไปไหนต่อ
แต่เมื่อไปถึงหน้าปากซอยก็ชะงัก เขาจำรถยนต์เจ็ดที่นั่งคันที่จอดอยู่ข้างทางได้ชัดเจน
“รุ่ยจื่อ นายรออีกเดี๋ยวแล้วค่อยกลับที่พักนะ”
“หืม นายท่านรอง เกิดอะไรขึ้น”
ซ่งจื่อเซวียนพยักพเยิดไปทางรถคันนั้น “รถของเสี่ยเคอซาน”
“อะไรนะ เขา…เขาคงไม่ได้ไปที่บ้านใช่ไหม”
ปฏิกิริยาแรกของฟางรุ่ยก็ตรงกับสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนคิดไว้ เขารีบยกขาวิ่งเข้าไปในซอยโดยไม่มีเวลาทักทายคุณลุงเพื่อนบ้านระหว่างทาง
เมื่อใกล้ถึงประตูบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นเคอหงเทาและต้าลี่เดินออกจากบ้านของเขา เห็นอย่างนั้นเขาก็กำหมัดแน่น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ หานหรงรีบตามมาด้านหลังแล้วโยนถุงหลายใบออกไป
“เอาของของพวกคุณกลับไปด้วย!” หานหรงตะโกนเสียงดัง พูดจบก็ปิดประตูอย่างแรง
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างไว
เคอหงเทาเห็นซ่งจื่อเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง อันที่จริงเขาดูเวลาและคาดว่าซ่งจื่อเซวียนใกล้จะกลับมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบจากไป แต่ใครจะคิดว่าได้เจอหน้ากันอยู่ดี
ซ่งจื่อเซวียนคว้าคอเสื้อเคอหงเทาแล้วผลักเขาชิดกำแพง
ต้าลี่เห็นอย่างนั้นก็จะก้าวไปข้างหน้า แต่การเคลื่อนไหวของฟางรุ่ยนั้นเร็วกว่าอย่างชัดเจน มือหนึ่งกดลงบนหน้าอกของเขา แรงนั้นเหมือนกับภูเขากดทับ ต้าลี่ตกตะลึงไป
อย่างไรนี่เป็นการต่อกรแบบตัวต่อตัวครั้งแรกของเขากับฟางรุ่ย
ซ่งจื่อเซวียนจ้องเคอหงเทาเขม็ง ดวงตาของเขาแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะสั่นเทา “เคอซาน ฉันจะถามแกประโยคหนึ่ง แกทำอะไรแม่กับพี่สาวของฉัน”
“ปล่อยก่อนสิ!” เคอหงเทามองซ่งจื่อเซวียนอย่างเย็นชา สายตาไร้ซึ่งความเกรงกลัว
สุดท้ายแล้วในเขตเฉิงซีก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนแรก
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน แกแม่งมาทำบ้าอะไรที่บ้านของฉัน?!” ซ่งจื่อเซวียนกัดฟันพูดราวกับว่าเขากำลังจะฆ่าใครบางคน
เคอหงเทาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “นายก็รู้นี่ อย่าทำให้ฉันลำบากใจได้ไหม”
“โธ่เว้ย แม่ง ข้าอยากเจอหวงฟา!” ซ่งจื่อเซวียนแผดเสียงตะโกนออกมา
……………………………………………
[1] ตือโป๊ยก่ายส่องกระจกทั้งนอกทั้งในไม่ใช่คน (猪八戒照镜子里外不是人) หมายถึงไม่สามารถทำให้ใครพอใจได้