เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 135 ปู่กุ่ยลงมือ
ตอนที่ 135 ปู่กุ่ยลงมือ
การที่ซ่งอวิ๋นฮั่นไม่รู้จักบันทึกหย่งซั่นกลับไม่ได้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนแปลกใจ อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนในวงการอาหาร แต่กระทั่งคิดได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหวงฟา นี่ก็เทพไปหน่อยแล้ว
“คุณรู้ได้ยังไง”
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้ม ปิดกระติกเก็บความร้อน พูดว่า “รสชาติดีจริงๆ จริงสิ กระติกเก็บความร้อนคราวก่อนฉันล้างแล้วนะ แกก็อย่างลืมเอากลับไปล่ะ”
“อื้ม…”
“เอาบุหรี่ให้มวนสิ”
ซ่งจื่อเซวียนนึกขึ้นได้ว่าปกติซ่งอวิ๋นฮั่นน่าจะไม่สูบบุหรี่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ขอกับตัวเองทุกครั้งไป บางทีอาจจะไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ เพราะเขาก็ดูคุ้นชินกับการสูบบุหรี่
ซ่งจื่อเซวียนหยิบบุหรี่ให้เขามวนหนึ่ง เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นสูดเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ถามอย่างกระตือรือร้น “ลองพูดมาหน่อยสิว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับหวงฟา”
“วันนี้พอแกเปิดปากก็พูดถึงบันทึกหย่งซั่นเลย แถมตอนนี้เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดของแกก็คือหวงฟา ฉันก็ต้องคิดเชื่อมโยงแบบนี้อยู่แล้วสิ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็พยักหน้า “นี่ก็ไม่ผิดหรอก ผมเพิ่งรู้ไม่นานมานี้เองว่าหวงฟานึกสงสัยว่าผมมีบันทึกหย่งซั่นในมือ ถึงได้จับตามองผม แต่ว่าก็น่าแปลกมากที่เขาไม่ได้มาหาผมเลย แต่กลับสั่งให้คนอื่นเข้าใกล้ผมแทน”
“พอจะคิดได้ว่า อาจจะเพราะเสี่ยท่านนี้ตำแหน่งใหญ่มากแล้วก็ได้ถึงไม่ยอมออกหน้าเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังหวังพึ่งคนใต้บังคับบัญชาให้เอาบันทึกหย่งซั่นไปให้เขา”
ประโยคนี้ที่ซ่งอวิ๋นฮั่นพูด กลับพูดถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของเรื่องนี้ออกมา
“อย่างนั้นก็คือคิดจะแย่งไปใช่ไหม ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงหน้าไม่อายได้ขนาดนี้!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือแกมีบันทึกหย่งซั่นหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า และเล่าเรื่องความเป็นมาของบันทึกหย่งซั่นให้ซ่งอวิ๋นฮั่นฟัง รวมถึงคำพูดของตาเฒ่าฟางด้วย
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง สูบบุหรี่ในมือเสร็จ ก็ขยี้ก้นบุหรี่ในที่เขี่ยบุหรี่ด้านหน้า
“แกคิดว่า…ควรจะทำยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “บางที…ผมน่าจะคิดวิธีไปหาหวงฟานั่น อธิบายให้เขาฟังว่าผมไม่ได้มีบันทึกหย่งซั่นในมือ ถ้าต้องการ สามารถร่วมมืออะไรบางอย่างกับผมได้ แบบนี้ก็เบี่ยงเบนความสนใจเรื่องนี้ไปได้ขั้นหนึ่ง”
“ไม่ แบบนั้นไม่ดีแน่นอน!” ซ่งอวิ๋นฮั่นโบกมือพูด
“หืม ที่จริงผมก็ทำตามวิธีที่คุณสอนนะ จะเรื่องอะไรก็ต้องสานสัมพันธ์ไว้ก่อน ถูกไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ผิดอยู่แล้ว ต่อให้ไปสานสัมพันธ์กันขั้นหนึ่ง ก็ต้องดูเงื่อนไขแรก หวงฟาต้องไม่โอเคแน่!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร เหมือนรอให้ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดต่อ
ซ่งอวิ๋นฮั่นจุดบุหรี่อีกมวนหนึ่ง พูดว่า “ก่อนอื่น ฉันเดาว่าคนอย่างหวงฟา…ต่อให้บอกไปว่าแกไม่มีบันทึกหย่งซั่น เขาก็คงไม่เชื่อ ถ้าแกหยิบยกเรื่องร่วมมือกับเขาออกมา ก็คงไม่ได้ผลลัพธ์เหมือนกับที่ร่วมมือกับเฉิงปา เขาคงจะพิจารณาว่าจะทำยังไงให้แกทำงานให้เขาอย่างเต็มใจ”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เหมือนในสมองกำลังประมวลผลคำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่น
“อาจจะใช่ ถ้างั้นควรจะทำยังไงดีล่ะ”
“จื่อเซวียน ถ้าฉันให้แกทิ้งร้านอาหารร่ำรวย แกจะทำไหม”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างแรง “นั่นเป็นไปไม่ได้!”
ซ่งอวิ๋นฮั่นสูดลมหายใจลึก “แต่เหมือนว่าร้านอาหารร่ำรวยจะเป็นเป้าหมายหนึ่ง มีเป้าหมายนี้ หวงฟาเลยทำเรื่องต่างๆ ได้ง่ายดาย ถ้าฉันเดาไม่ผิด…เขาคงเริ่มก่อกวนแกแล้วใช่ไหม”
“ครับ ผมคิดว่าหลังจากนี้ก็จะมีอีก ผมบอกให้เสี่ยเฉิงปาออกหน้าแล้ว แต่ไม่ได้บอกเขาว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับหวงฟา ผมกลัวว่าเขาจะพะวักพะวน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“แกทำได้ดีแล้ว แต่ว่า…จื่อเซวียน กลัวว่าแบบนี้จะไม่มีประโยชน์เหมือนกัน เฉิงปาหยุดหวงฟาไม่ไหวหรอก มีแค่แกทิ้งร้านอาหารร่ำรวยถึงจะตัดกำลังของหวงฟาได้ หลังจากนี้แกก็หาพาร์ทเนอร์ที่มีอำนาจมากกว่าสักคน”
“อย่างหลินเทียนหนานเหรอ”
“ได้อยู่ แต่ถึงยังไงหลินเทียนหนานก็เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต่อให้เขาให้ความสำคัญกับแก ก็ยากจะสมน้ำสมเนื้อ สุดท้ายพวกแกจะไม่ได้ร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “คุณคงจะไม่…ไม่ได้หมายถึงธุรกิจของคุณหรอกนะ”
“จะช้าจะเร็วยังไงธุรกิจของฉันก็เป็นของแก เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัย แต่…สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าอยากจะต้านหวงฟาได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือทิ้งร้านอาหารร่ำรวยไปซะ”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ “ผมขอคิดก่อนแล้วกัน จริงสิ ผมคิดว่า…อีกสองสามวันจะพาแม่มาหานะ พวกคุณควรจะได้เจอกัน เรื่องบางเรื่อง…คุณต้องอธิบายนะ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินก็นิ่งเงียบ ที่จริงการเจอกันครั้งก่อน เขาก็รับปากกับซ่งจื่อเซวียนแล้วว่าจะเจอหานหรง แต่ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ใจกลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะในใจของเขา ตนเองเป็นหนี้หานหรง อีกทั้งชีวิตนี้ก็ชดใช้ให้ไม่หมด
“ต้องเจอจริงๆ เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมเผชิญหน้ากับสิ่งที่ควรจะเผชิญหน้าแล้ว ส่วนคุณ…ผมก็หวังว่าจะเป็นเหมือนกัน”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เบิกตากว้าง ใช่แล้ว ชีวิตมาถึงปลายทาง ยังจะมีเหตุผลอะไรมาขี้ขลาดล่ะ สิ่งที่ควรจะเผชิญหน้าก็ต้องเผชิญหน้า ไม่อย่างนั้น…แม้แต่โอกาสก็อาจจะไม่มีแล้ว
“ได้ แกจัดการเลย”
หลังออกมาจากโรงแรมข่ายอ้อ ซ่งจื่อเซวียนที่นั่งอยู่บนรถของเจิ้งอวี่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง ที่จริงเขาก็เคยคิดเรื่องที่ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดเหมือนกัน ถ้าตอนนี้ทิ้งร้านอาหารร่ำรวย เสี่ยหวงก็ไม่มีทางทำอะไรได้แล้ว
ถ้าก่อกวน มากสุดคือก่อกวนตนเอง อย่างนั้นแค่แจ้งความก็ได้แล้ว
แต่ถ้าเขาก่อกวนร้านอาหารร่ำรวยเรื่องก็จะต่างไปแล้ว ต่อให้ตัวเองสามารถแจ้งความคลี่คลายปัญหาหรือจะใช้ทางอื่นจัดการได้ กิจการของร้านอาหารก็จะได้รับผลกระทบด้วยแน่นอน บางทีถ้าร้านอาหารได้รับผลกระทบใหญ่หลวงขึ้นมา จะกลับตัวได้ก็ยากมากแล้ว
ถ้าตอนนี้ทิ้งร้านอาหารร่ำรวยไป มากสุดก็คือชดใช้เงินให้เสี่ยเฉิงปาเล็กๆ น้อยๆ เงินนี้ตนเองสามารถโปะได้ แต่ว่า…
แต่ว่าซ่งจื่อเซวียนไม่อยากจะทิ้งจริงๆ ร้านอาหารร้านแรกของตัวเอง ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขาหมดหนทางจนต้องใช้เหตุผลมากมายมาหาทางเลือก
“ฉันไม่เชื่อว่าหวงฟาจะยิ่งใหญ่คับฟ้า คำพูดของคุณเมืองตู้เหมินนี้จะถือเป็นคำขาดหรือไง!”
ซ่งจื่อเซวียนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมา…
วันที่สาม ร้านอาหารร่ำรวยมีคนเข้าร้านค่อนข้างเร็ว ยังไม่ถึงสิบเอ็ดโมง ก็มีลูกค้าเข้ามาหกคนแล้ว
แต่เมื่อหยางกังรับออร์เดอร์ของพวกเขาเสร็จ กลับชะงักไป “พี่ชาย พวกคุณสั่งกันแบบนี้…ไม่ค่อยเหมาะสมเกินไปมั้งครับ”
ลูกค้าคนนั้นเงยหน้ามองหยางกัง “แม่งพูดมากจังวะ ข้าหิวแล้ว เสิร์ฟอาหารสิ!”
หยางกังก็โมโห ในใจด่าหยาบคายพลางเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์
“นายท่านรองดูออร์เดอร์นี้สิครับ กี่โต๊ะๆ ก็สั่งเหมือนกันหมดเลย” หยางกังพูดพลางส่งออร์เดอร์ให้ซ่งจื่อเซวียนดู
ซ่งจื่อเซวียนรับใบออร์เดอร์มาดู โต๊ะละสองคน สั่งแค่ถั่วลิสงจานเดียว
อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือซ่งจื่อเซวียนเห็นพวกเขาหกคนเดินพูดคุยยิ้มแย้มเข้ามาด้วยกัน ตอนนี้กลับแบ่งเป็นสามโต๊ะ นั่งกันโต๊ะละสองคน อธิบายได้ว่าเป็นการมาหาเรื่อง
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังคิด ก็มีคนเดินเข้ามาอีกห้าคน ห้าคนนี้ก็แปลก มีสองโต๊ะนั่งสองคน ส่วนอีกคนก็ไปนั่งที่โต๊ะสุดท้าย
ร้านอาหารร่ำรวยมีทั้งหมดหกโต๊ะ นั่งกันแบบนี้ก็เต็มทันที ดูเหมือนร้านได้รับความนิยม แต่พวกเขายังไม่ได้สั่งอาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้
“พนักงาน สั่งอาหารหน่อย!”
หยางกังถาม “พวกพี่ๆ ก็เอาถั่วลิสงใช่ไหมครับ”
“รู้แล้วจะถามหาแม่แกเหรอ เสิร์ฟให้ฉันสิ!” ลูกค้าคนนั้นไม่เกรงใจเลยจริงๆ พูดตวาดใส่
“อาจารย์ นี่มันหาเรื่องกันนี่!” ซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านข้างพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เห็นกันอยู่ทนโท่ อย่าเพิ่งไปสนใจพวกเขา เสิร์ฟให้พวกเขาไป!”
“อะไรกัน อาจารย์ นี่แม่งรังแกกันนะ!” ซางเทียนซั่วไม่ยอม
“พวกเราทำธุรกิจ ไม่ได้เปิดร้านเคลื่อนย้ายศพ ไม่ควรหัวร้อนกับลูกค้า มีคนมาอีกแล้ว พาไปห้องส่วนตัวไป” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หยางกังพยักหน้า “ได้ครับ ผมฟังนายท่านรอง”
“ทำไมถึงช้าขนาดนี้วะ ยังเสิร์ฟถั่วลิสงไม่ได้อีกเหรอ” ลูกค้าตะโกน
ฟางรุ่ยได้ยินก็กำหมัดแน่นพูดว่า “นายท่านรอง ผมจัดการพวกเขาเลยได้ไหม!”
“อย่าก่อเรื่องสุ่มสี่สุ่มห้า ตอนนี้เปิดร้านอยู่ ตั้งแต่ตอนนี้ไป พวกเขาจะก่อเรื่องยังไงก็ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าพวกเขาร้อนรนกล้าลงมือ รุ่ยจื่อค่อยจัดการ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“เทียนซั่ว ตอนนี้นายโทรหาเสี่ยปา ให้เขามา และจำเป็นต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้น”
“โอเค อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง”
เห็นไม่มีคนสนใจ ลูกค้าคนหนึ่งก็ลุกขึ้น “ให้ตาย แม่งไม่อยากทำงานกันแล้วใช่ไหมวะ พูดกับพวกแกอยู่นะเว้ย!”
“แม่งเอ๊ย หูหนวกกันหมดแล้วใช่ไหม”
พวกเขาผลัดกันเอะอะโวยวายขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ แต่ก็เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ คนพวกนี้ไม่กล้าลงมือ คิดว่าสาเหตุที่พวกเขามาก็เหมือนกับซุนเวย นั่นก็คือมาหาเรื่องล้วนๆ
เพียงแต่วันนี้…เปลี่ยนเป็นลูกไม้อื่น ได้ ในเมื่อคุณเสนอผมก็สนอง
ตอนนี้เอง หยางกังก็ถือถั่วลิสงออกมาสองสามจาน แบ่งเสิร์ฟให้ทุกโต๊ะ โต๊ะละจาน
ส่วนคนพวกนั้นก็น่าสนใจ แต่ละคนหยิบเอาสุราขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตคนละขวด ดื่มกันอย่างออกรส
ที่เลวร้ายที่สุดก็คือมีลูกค้าคนหนึ่งพกเนื้อแดดเดียวและไส้กรอกมาเอง แถมยังแบ่งให้โต๊ะอื่นด้วย
“หน้าไม่อายจริงๆ มีที่ไหนมากินข้าวที่ร้านอาหารแบบนี้ แม่งเอ๊ย!” รุ่ยจื่อขมวดคิ้วพูด
ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ได้ร้อนรน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้มีลูกค้าคนอื่น ให้พวกเขาเล่นสนุกไป ถั่วลิสงห้าหกจาน ถึงจะให้ไปฟรีๆ จะสักกี่หยวนกันเชียว
ตอนนี้เอง ปู่กุ่ยก็มารายงานตัวตามเวลา ช่วงเวลาที่ปู่กุ่ยมาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ตาเฒ่าไม่กินอาหารเช้า มารายงานตัวที่ร้านอาหารร่ำรวยตอนเกือบเที่ยงตรงเวลาเป๊ะๆ สุราหนึ่งแก้ว กับถั่วลิสงหนึ่งจาน นับเป็นมื้อเช้าบวกกับมื้อเที่ยง ดูเหมือนเป็นตาแก่ขี้เมาคนหนึ่ง แต่หลายปีมานี้ก็คุ้นชินแล้ว ร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ตอนที่ปู่กุ่ยเพิ่งเข้ามา ก็เห็นลูกค้าคนหนึ่งพูดด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “แม่งเอ๊ย ไสหัวออกไปเลยขอทานตัวเหม็น ไม่เห็นเหรอว่าข้าดื่มเหล้ากันที่นี่น่ะ น่ารำคาญว่ะ ใครวะ”
ได้ยินดังนั้น ปู่กุ่ยก็พูดหน้าตึง “แกก็กินของแกไปสิ ยุ่งอะไรด้วยล่ะ”
พูดแล้ว ปู่กุ่ยก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ ลูกค้าคนนั้นก็ก่นด่าพลางลุกเดินมาทันที
“ไอ้แก่ ฉันคิดว่าแกรนหาที่ตายนะ!”
ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือไปผลักปู่กุ่ย เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ กลัวว่าปู่กุ่ยจะถูกทำร้าย รีบพูดขึ้นว่า “รุ่ยจื่อ”
ปฏิกิริยาของรุ่ยจื่อก็ฉับไวเช่นกัน พุ่งเข้าไปทันที แต่เขายังไม่ทันไปถึง ก็เห็นปู่กุ่ยขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นจับมือผู้ชายคนนั้น ขณะที่จับเอาไว้แน่ก็หักนิ้วไปด้านหลังจนโค้ง ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที
“โอ๊ย เจ็บ…”
ปู่กุ่ยออกแรงอีก ชายคนนั้นก็หลั่งน้ำตาออกมา แอ่นตัวไปด้านหลังคุกเข่าลงต่อหน้าปู่กุ่ย
“ไอ้หนุ่ม ฉันไม่ได้ยุ่งกับแก แกก็เปิดปากด่าฉัน ฉันไม่สนใจแก แกกลับลงมือ พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ”
ถึงแม้เทคนิคนี้จะไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้อะไร แต่ปฏิกิริยาของปู่กุ่ยรวดเร็วขนาดนี้ ก็ทำให้พวกซ่งจื่อเซวียนได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
โดยเฉพาะหยางกังที่อยู่ใกล้ๆ จู่ๆ ก็คิดถึงกิริยาท่าทางของตัวเองที่ทำกับปู่กุ่ยเมื่อสองวันก่อนขึ้นมาได้ จึงนึกกลัวขึ้นมาทันที…
ปู่กุ่ยตอนนี้ ไม่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเหมือนตอนปกติแล้ว เหลือเพียงแค่ความเคร่งขรึมและความก้าวร้าว
…………………………………