เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 132 ลงมือ!
ตอนที่ 132 ลงมือ!
พูดมาก็แปลก แขกคืนนั้นมีแค่ระลอกเดียว เมื่อครู่ยังครึกครื้นมาก แต่ผ่านระลอกนี้ไปก็เงียบเหงาทันที
พนักงานสองสามคนเก็บกวาดไปหนึ่งรอบ ก็นั่งว่างอยู่รอบๆ ทันที
แต่สำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้วนี่ไม่สำคัญเลย ถึงวันนี้ข้าวผัดจักรพรรดิจะออกเพียงห้าที่ กำไรทั้งหมดก็เพิ่มขึ้นมาแล้ว
ต้องรู้ว่า ต่อให้การหมุนเวียนของร้านอาหารจะมากเท่าไรก็เป็นเงินกำไรที่ยังไม่ได้หักต้นทุน รวมถึงค่าใช้จ่ายในนั้น ส่วนข้าวผัดจักรพรรดิหลักๆ ก็คือกำไรล้วนๆ!
ตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ด้านในเคาน์เตอร์ ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยนั่งบนเก้าอี้คนละตัวขนาบข้าง เท้าคางเหม่อลอย
ความเคลื่อนไหวเดียวก็คือปู่กุ่ย เขาดื่มสุราช้าๆ ตอนนี้ยังจิบสุราหนึ่งอึกแล้วกินถั่วลิสงเม็ดสองเม็ด
หยางกังข้างๆ เพิ่งหาวออกมารอบหนึ่ง “เมื่อกี้ยังยุ่งมากอยู่เลย เงียบอีกแล้ว น่าเบื่อจริงๆ”
“ถ้างั้นนายแสดงละครสักเรื่องไหมล่ะ ตีลังกาอะไรสักอย่างไหม” ซางเทียนซั่วพูดไปเรื่อย
หยางกังยิ้ม “ฉันทำได้ที่ไหนกัน เหอะๆ ไม่งั้นพวกเราเล่นสักหน่อยไหมล่ะ”
“เล่นอะไร” ซางเทียนซั่วถามพลางเท้าคางต่อ
หยางกังได้ยินก็หันไปมองในเคาน์เตอร์แวบหนึ่ง เห็นซ่งจื่อเซวียนเล่นโทรศัพท์ไม่เงยหน้าขึ้นมา ก็ล้วงไปที่ช่องข้างๆ ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ย หยิบเอาไพ่โป๊กเกอร์ออกมาสำรับหนึ่ง
“เล่นสองตาไหม”
ซางเทียนซั่วมองตากับฟางรุ่ย ถามว่า “เล่นเงินไหม”
“ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วสิ ไม่ใช้โชคสักหน่อยจะมีความหมายอะไร เราเล่นเล็กๆ น้อยๆ ตาละสิบหยวนโอเคไหม”
ซางเทียนซั่วยิ้ม “ได้ งั้นก็เล่นดู ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ว่ามาสิเล่นยังไง”
“เล่นโป๊กเกอร์เป็นไหม” หยางกังพูด
“ก็คือห้าใบพาสใช่ไหม มาสิ เล่นสักสองสามตา” ฟางรุ่ยก็เริ่มตื่นเต้นแล้ว นั่งยืดตัวตรงแล้วพูด
จากนั้น หยางกังก็เริ่มสับไพ่ เห็นท่าทางสับไพ่ของเขา นับว่าเชี่ยวชาญจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นมือเดียวหรือสองมือ เขาก็ทำได้…
“ฮิๆ ทำมั่วๆ เอง”
ปู่กุ่ยใกล้ๆ ก็ยิ้มตาม ถึงจะจดจ้องตลอดไม่ได้ แต่ยังมองผ่านๆ อยู่บางครั้ง
หยางกังแจกไพ่อย่างช่ำชอง พูดว่า “ไพ่โฮลสิบหยวน เรียกไพ่จากกองได้ตาละครั้ง สิบหยวนขั้นต่ำ โอเคไหม”
พูดถึงเรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็นซางเทียนซั่วหรือฟางรุ่ยก็มีเงินมากกว่าหยางกัง ดังนั้นก็คงไม่กลัวอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็แค่สิบหยวน…
“เอาสิ เริ่มเถอะ”
เห็นสถานการณ์ ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ในเคาน์เตอร์ก็เดินออกไปดูอย่างสนอกสนใจ ไม่ใช่ว่าการพนันเป็นเรื่องดี แต่เขาเข้าใจโป๊กเกอร์อยู่บ้าง คราวก่อนก็พนันกับเหล่าซื่อคนนั้นไปตาหนึ่งที่บ่อนของเสี่ยเฉิงปา โชคดีที่บีบให้อีกฝ่ายโกงได้ ถึงได้รู้จักกับเสี่ยเฉิงปา
เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินมา หยางกังก็ทำหน้าลำบากใจ “นายท่านรอง เล่นแค่…แค่สองตา ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ไม่เป็นไร พวกนายเล่นไปเถอะ ฉันจะดู”
หยางกังถึงได้วางใจเริ่มเล่น ทั้งสามคนเล่นกันสองสามตาถือว่าต่างคนต่างความคิด ซางเทียนซั่วชนะได้สามสิบหยวน อีกสองคนก็ไม่ได้แพ้เท่าไร
รวมถึงซ่งจื่อเซวียนด้วย ถึงจะไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็จริงจังขึ้นมา ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยก็ไม่ต้องพูดถึงเลย คึกคักขึ้นมาเต็มที่ทันที
การพนันก็เป็นแบบนี้ สามารถทำให้ร่ำรวยได้ในชั่วข้ามคืน และก็สามารถทำให้สิ้นเนื้อประดาตัวได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน เสน่ห์ของมันก็อยู่ที่พอได้เล่นก็ติดงอมแงม
แต่มีเพียงปู่กุ่ยที่อยู่ด้านข้าง ที่ยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ เรียบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ไว้ ทว่าตอนนี้ เขาเริ่มจดจ้องมามาที่โต๊ะไพ่ถี่ขึ้นแล้ว
“ฉันไม่เชื่อเรื่องโชคช่วยหรอก เปิดไพ่!” ซางเทียนซั่วกัดฟันร้องตะโกน
“ปัดโธ่ ให้ตายสิ แย่ขนาดนี้จริงๆ เหรอ” ซางเทียนซั่วพูดพลางกุมหน้าผาก “แม่ง หยางกัง แกไม่ได้โกงใช่ปะ ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้”
“ดูนายพูดดิ ถ้าฉันมีฝีมือแบบนั้น จะยังมาเป็นพนักงานที่นี่อีกเหรอ โชคล้วนๆ ต่างหาก!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร จนลุกขึ้นยืนเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์
ทั้งสามคนเล่นกันอีกสิบกว่าตา ตอนนี้หยางกังได้เงินไปพันกว่าหยวน ถึงซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยจะแพ้ไปหลายร้อยหยวน แต่ก็ไม่สาแก่ใจจริงๆ
ความรู้สึกแบบนี้ก็เหมือนกับเล่นไพ่นกกระจอก คืนเดียวแพ้ไปสองสามร้อยกระทั่งหลายพันอาจจะไม่ได้เจ็บไตเท่าไร แต่ถ้าไม่ชนะสักตา นั่นก็น่าอึดอัดแย่
ตอนนี้ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ถึงจะไม่สนใจกับเงินเล็กน้อยนี่ แต่ไม่ชนะเลยก็ไม่สบายใจจริงๆ
หยางกังยิ้ม แจกไพ่ต่อ
“ฉันเล่นด้วยสักตาได้ไหม”
ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังมา คนที่พูดก็คือปู่กุ่ยที่นั่งยองๆ อยู่ที่มุมผนัง
ซางเทียนซั่วหันหน้าไป “อะไรนะ ท่านผู้เฒ่าก็เล่นเป็นเหรอ”
“เหอะๆ เข้าใจนิดหน่อย แต่เห็นพวกนายเล่นกันน่าสนใจดี ก็เลยอยากร่วมด้วย”
ได้ยินดังนั้น หยางกังก็พูด “ไม่ต้องเลยตาแก่ คุณไม่มีเงินพวกเรารู้ๆ กันอยู่ กินเหล้ายังติดเงินไว้เลย คุณแพ้แล้วไม่ให้เงินจะทำยังไงล่ะ พวกเราก็ชนะเปล่าน่ะสิ”
“นั่นสิ ท่านผู้เฒ่าอย่าเพิ่งเข้าร่วมเลย พวกเราเล่นอีกสองสามตา นี่ก็แพ้มาตลอดคืนแล้ว” ฟางรุ่ยก็แพ้จนโมโห อดรนทนรอไม่ไหวรีบเปิดไพ่
แต่ตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ในเคาน์เตอร์ก็พูดขึ้นมาว่า “เงินของปู่กุ่ยมาเอากับฉันแล้วกัน เล่นด้วยกันเถอะ”
“หา ไม่ได้สิ นายท่านรอง ถ้างั้นใครจะกล้าชนะเงินของคุณล่ะ” หยางกังพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่เป็นไร ถือว่าปู่กุ่ยยืมเงินฉันไง ไม่นับว่าชนะเงินฉัน”
ปู่กุ่ยพยักหน้าหงึกหงัก “เอาอย่างแหละ อย่างนี้เลย”
“งั้นก็ได้ นายท่านรอง งั้นพวกเราไม่เกรงใจแล้วนะ”
พูดพลาง หยางกังก็เริ่มสับไพ่อย่างช่ำชอง
ปู่กุ่ยกลับยิ้ม เหลือบมองหยางกัง
ส่วนซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ในเคาน์เตอร์ กลับแสร้งทำเป็นเล่นโทรศัพท์ แต่อันที่จริงสายตาไปอยู่ที่โต๊ะไพ่แล้ว
“ให้ตาย สุดยอดเลยนี่ปู่กุ่ย หน้าไพ่เป็นควีนสองใบ ฉันหมอบแล้ว!” ซางเทียนซั่วพูด
ถัดจากนั้น ฟางรุ่ยก็หมอบแล้วเหมือนกัน แต่หยางกังกลับหน้าเปลี่ยนสี อดมองปู่กุ่ยแวบหนึ่งไม่ได้
“ตาแก่ ไพ่ดีไม่เลวเลย”
ปู่กุ่ยยิ้ม “นายก็ไม่เลวเหมือนกัน หน้าไพ่มีคิง ถ้าไพ่โฮลคือคิง ก็คือคู่คิง ยังชนะฉันได้นะ”
ได้ยินดังนั้น หยางกังก็มองไพ่โฮลของตัวเองอีกรอบ ก็คือคิง แต่ทำไมตอนที่ตาเฒ่านี่พูดถึงมั่นใจขนาดนี้ล่ะ หรือเขามองไพ่ออก เป็นไปไม่ได้หรอก
หรือว่า…เขามีควีนสามใบ ไม่มีทางแน่นอน ไพ่โฮลของเขาน่าจะเป็นเจ็ด!
คิดถึงตรงนี้ หยางกังก็ตาเป็นประกาย ยิ้มพูด “ก็ได้ งั้นผมลงกับคุณอีกรอบ เราเล่นลงหนักๆ ตาหนึ่ง ตาแก่ลงได้เท่าไรเนี่ย”
ปู่กุ่ยเกาหัว “ปัดโธ่…ทำไมนายถึงมั่นใจขนาดนี้ ฉันไม่ค่อยกล้าลงแล้วจริงๆ นะเนี่ย”
“ปู่กุ่ย อย่าไปกลัว ลงเลย ตานี้ฉันลงทุนให้เอง ลงหนักๆ ไปเลย” ซางเทียนซั่วเริ่มใส่ไฟทันที
ปู่กุ่ยได้ยินดังก็ทำหน้าลำบากใจ มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “เอ่อ…”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “ผมเองก็สนับสนุน หยางกัง นายลงได้เท่าไร”
หยางกังที่ถูกถามกลับชะงักไป โอกาสรวยมาแล้วเหรอ
สำหรับหยางกัง ตานี้ชนะแน่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่เขาสับไพ่กับตอนที่แจกไพ่ล้วนมีลูกเล่นทั้งนั้น
นี่ไม่ใช่การจงใจหลอกคน หยางกังคนนี้ตั้งแต่สิบกว่าขวบก็เล่นพนันเก่งแล้ว และก็โกงได้ด้วย เดิมเขาก็คิดว่าจะเล่นสบายๆ ชนะได้เงินซื้อบุหรี่สักสองมวน ใครจะไปรู้ว่าโอกาสจะมาขนาดนี้ รู้สึกคันยุบยิบในใจเล็กน้อยจริงๆ
“ไม่งั้น…สองพันไหม” หยางกังพูดส่งๆ
ซางเทียนซั่วฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว “ได้ สองพันนี่ฉันออกแทนปู่กุ่ยเอง แพ้ก็มาเก็บกับฉัน”
“หา ไม่ได้สิ ไม่ได้…” ปู่กุ่ยรีบโบกมือ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม พูดต่อว่า “ฉันกับรุ่ยจื่อรวมกันอีกคนละสองพัน ทั้งหมดหกพัน เปิดไพ่!”
หยางกังร่าเริงในใจ แต่คิดไม่ถึงว่าซ่งจื่อเซวียนก็ร่วมด้วย เขารีบพูดว่า “นายท่านรอง นี่ก็แค่เล่นกันสนุกๆ เอง เราอย่าเล่นใหญ่ขนาดนั้นเลย…”
“เหอะๆ ก็แค่เล่นกันนี่ ถ้าชนะนายเลี้ยงเหล้าฉันนะ!”
“ฮ่าๆๆ อย่างนั้นก็ได้ คุณพูดอย่างนี้ผมก็วางใจ ผมเปิดแล้วนะ!”
คู่คิง!
หน้าไพ่ของหยางกังใหญ่กว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนมึนงง มองไปที่ไพ่โฮลของปู่กุ่ยกันหมด
แต่ตอนนี้เอง ทุกคนในเหตุการณ์มีเพียงปู่กุ่ยและซ่งจื่อเซวียนที่เผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา
ปู่กุ่ยมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง ยกนิ้วโป้งไปให้เขาจากไกลๆ เปิดไพ่โฮลทันที
ควีนสามใบ!
“ฮ่าๆๆ ชนะแล้ว หยางกัง จ่ายตังค์มา!” ซางเทียนซั่วพูดอย่างตื่นเต้น
ฟางรุ่ยข้างๆ ก็พูดเช่นกัน “ในเมื่อเต็มใจจะพนันก็ต้องเต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ด้วย รีบเอาเงินมาเร็ว มีค่าเหล้าหนึ่งปีในอนาคตของปู่กุ่ยแล้ว”
“ไม่ได้หรอก เงินนี่เป็นของพวกนาย ไม่ใช่ตาแก่อย่างฉันสักหน่อย”
หยางกังหน้าซีดขาว เขาเบิกตากว้างมองไพ่ในมือของปู่กุ่ยที่ลงไว้ พูดอย่างโมโห “เป็นไปไม่ได้ ตาแก่ขอทานขี้โกง!”
“พูดอะไรของนายน่ะ พวกเรามองอยู่นะ” ซางเทียนซั่วพูด
“แต่…แต่ว่าไพ่โฮลนั่น…”
ปู่กุ่ยยิ้ม “ไพ่โฮลคือเจ็ดใช่ไหม”
“ใช่ ทำไมคุณ…”
ซ่งจื่อเซวียนเดินมา “หยางกัง ทำไมนายถึงรู้ว่าไพ่โฮลคือเจ็ดล่ะ”
“ผม…” หยางกังหน้าแดงขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวแล้วว่าตนเองหลุดพูด
“ให้ตาย หยางกัง นายโกงนี่เอง…” ซางเทียนซั่วพูดว่า
หยางกังละอายใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง เขามองปู่กุ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “ถ้า…ถ้างั้นเขาก็โกงเหมือนกัน”
ปู่กุ่ยเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ท่านผู้เฒ่าเขาดูออกตั้งนานแล้ว แค่ที่ผ่านมาไม่ได้พูด ตอนนี้เห็นนายชนะบ่อยเกินไปถึงได้มาจัดการ”
หยางกังได้ยินก็ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“หยางกัง เอาเงินคืนเทียนซั่วกันรุ่ยจื่อไปซะ หลังจากนี้เล่นในร้านเราได้ แต่อย่าโกงกับคนกันเอง เข้าใจหรือยัง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หยางกังพูดด้วยสีหน้าละอาย “นายท่านรอง ผมก็อยากเล่นแค่สองตาขำๆ ขอ…ขอโทษนะครับ”
“แม่ง นายนี่น่าเบื่อจริงๆ คราวหลังไม่เล่นกับนายแล้ว” ซางเทียนซั่วพูด
หยางกังก็พูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรตนเองก็ผิด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เอาล่ะ ท่านผู้เฒ่า ฝีมือคุณไม่เลวเลยจริงๆ นะ”
“ตลกแล้ว แค่เล่นส่งๆ เอง…” พูดจบ ปู่กุ่ยก็ถอยกลับไปที่มุมผนังดื่มสุราต่อ
ดื่มสุราหมด ปู่กุ่ยก็จากไป ซ่งจื่อเซวียนมองแผ่นหลังแก่เฒ่านั่นแล้วยิ้ม “แก๊งขอทานนี่เต็มไปด้วยคนมีความสามารถจริงๆ นี่ก็เป็นยอดฝีมือในสนามพนันคนหนึ่งเหมือนกัน…”
ไม่นานนัก เหลยจื่อก็พาลูกน้องมา ซ่งจื่อเซวียนบอกให้พวกเขาขึ้นไปดื่มชาแทะเมล็ดแตง จนร้านปิด ถึงได้ให้พวกเขาลงมาทำงานกะดึก
กลางคืนเงียบสงบ หลังจากพนักงานไปแล้ว พวกเหลยจื่อก็มาพักผ่อนกันที่ชั้นหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ติดตามเสี่ยปากันหมด เสี่ยปาสั่งให้พวกเขาทำงานกะดึก ก็ไม่ได้แค้นเคืองอะไร
กลางดึกตอนตีหนึ่งกว่า เงาดำๆ คืบคลานเข้าใกล้ร้านอาหารร่ำรวย คนที่เป็นผู้นำก็คือเวยเกอ ชายอ้วนที่มาก่อเรื่องเมื่อสองวันก่อน
ในมือของนักเลงคนอื่นๆ ถือด้ามสว่านและแท่งเหล็กไว้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาเยือนไม่ได้มาดี
“พี่เวย ข้างในมืดแล้ว น่าจะไม่มีคน”
พี่เวยได้ยินก็ยิ้ม “เชี่ยแม่ง ต่อยตีฉันใช่ไหม ได้ วันนี้พวกพี่ๆ จะมาล้างแค้นกัน ลงมือ!”
………………………………………….