เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 123 สนามรบของลูกผู้ชาย
ตอนที่ 123 สนามรบของลูกผู้ชาย
ทันทีที่เปิดกระติกเก็บความร้อน ซ่งอวิ๋นฮั่นอดไม่ได้ที่จะอึ้งค้าง เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ปากกระติกและดมกลิ่นอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองซ่งจื่อเซวียน
“หือ มองผมทำไม กินสิ”
“นี่…แกทำเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหงึกๆ
ซ่งอวิ๋นฮั่นจิบน้ำแกงและตักน้ำแกงเข้าปากอีกหนึ่งคำ จากนั้นก็เผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มในพริบตา
“จื่อเซวียน ฉันรู้แค่ว่าแกเป็นเชฟที่ต้าสือไต้ และทำอาหารชื่อดังที่เรียกว่า…ข้าวผัดจักรพรรดิ แล้วเมนูนี้คืออะไรล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเพิ่งจะรู้ว่าที่จริงซ่งอวิ๋นฮั่นรู้เรื่องของตัวเองมาโดยตลอด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงคิดว่านี่คือการจับตาดู แต่ตอนนี้…จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกเอาใจใส่อยู่เสมอ
“นี่เรียกว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย”
“ชื่อสูงส่ง น้ำแกงมีสีทอง บวกกับน้ำมันจากเนื้อวัวและจากแฮมที่เคี่ยวออกมา จนกลายเป็นไขลายดอกคล้ายเกล็ดปลาสีทอง และน้ำแกงห้าสายหมายถึงเส้นพวกนี้ใช่หรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ ผมไม่คิดว่าคุณจะกินอย่างพิถีพิถันขนาดนี้”
ซ่งอวิ๋นฮั่นคลี่ยิ้ม “ฉันไม่ได้พิถีพิถัน แต่น้ำแกงนี้ดูดีเหลือเกิน พอเริ่มได้กลิ่นก็ดึงดูดได้มากแล้ว ไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอมของน้ำแกงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสดของอาหารทะเล กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อวัว แฮมและไข่ฝอย รสชาติทั้งสามเข้ากัน…ไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจกันจริงๆ”
“เหอะๆ คุณเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสและยังติชมอาหารเมนูนี้”
“ถ้าแกไม่ได้เป็นคนทำ บางทีฉันคงไม่ละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้” ซ่งอวิ๋นฮั่นระบายยิ้ม เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงแล้วกินต่อ
ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกแล้วจุดบุหรี่หนึ่งมวน
มองดูความเจริญรุ่งเรืองในอ่าวชิงหลง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขากลับรู้สึกอ้างว้างในใจอยู่บ้าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับสถานที่แห่งนี้
เขาสามารถทำข้าวผัดจักรพรรดิและน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายได้ เขาสามารถรู้จักมักจี่กับทางฝ่ายเจ้าพ่ออย่างเสี่ยเฉิงปาได้ และเขายังทิ้งงานที่เงินเดือนหนึ่งแสนถึงสองแสนเพื่อเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งของตัวเองได้
แต่…เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ว่าร่างกายของซ่งอวิ๋นฮั่นนั้นอ่อนแอจนเป็นอย่างนี้ ชัดเจนว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงมีความสุขที่ได้แก้แค้น แต่ตอนนี้ เหลือเพียงความอ้างว้างนี้เท่านั้น
“จื่อเซวียน ฉันว่าฉันควรยืนยันทักษะการทำอาหารของแก ในสายอาชีพนี้…แกมีพรสวรรค์”
จู่ๆ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เอ่ยปากพูดกะทันหัน
“ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดและยังคงมองอ่าวชิงหลงที่อยู่นอกหน้าต่าง
“ร่างกายของฉันไม่สู้ดีแล้วนะ ฉันเบื่ออาหารเกือบทุกวัน สิ่งที่ฉันอยากกินมากที่สุดทุกวันตอนอยู่ที่โรงแรมห้าดาวแห่งนี้คือข้าวต้มกุ๊ยหนึ่งชาม ฉันถึงขั้นวานให้เจิ้งอวี่เสาะหาอาหารเหลวให้ฉันด้วย แต่อาหารที่แกทำ…ทำให้ฉันอยากอาหารแล้ว”
คำพูดนี้ราวกับทิ่มแทงหัวใจของซ่งจื่อเซวียน เขากลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาสุดขีดและพยักหน้า “ถ้าคุณชอบกิน…ผมจะเอามาให้คุณอีก”
เขาไม่รู้ว่าสิบกว่าปีที่แล้วร่างกายของซ่งอวิ๋นฮั่นเป็นอย่างไร ในตอนนั้นเขาคงจะมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงเหมือนตัวเอง แต่ตอนนี้…
ซ่งอวิ๋นฮั่นหยิบกระติกเก็บความร้อนขึ้นมาแล้วจิบน้ำแกงหนึ่งคำ ปิดฝาก่อนเอ่ยถาม “กระติกเก็บความร้อนให้ฉันเก็บไว้ได้หรือเปล่า”
“หือ?”
“ถ้าพรุ่งนี้แกไม่มา ฉันจะได้อุ่นน้ำแกงน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมองซ่งอวิ๋นฮั่น แม้ว่าใบหน้าของเขายังคงอ่อนเยาว์ แต่ร่างกายกลับป่วยอย่างชัดเจน สภาพจิตใจไม่สมกับอายุของเขาเลย
“อืม เก็บไว้เถอะ อ้อ ถ้าว่าง…ผมจะนัดกับแม่เสียหน่อย”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดถึงตรงนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เงียบไป เขามองโต๊ะน้ำชาตรงหน้าราวกับเหม่อลอย
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหย่อนก้นบุหรี่ในกระถางต้นไม้แล้วเดินกลับไปนั่งที่โซฟา
ครู่หนึ่ง ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เอ่ยปาก “ฉันไม่เคยเพ้อฝันว่าจะได้เจอพวกเธออีก และไม่มีความกล้าด้วย แต่ถ้าแกหวังแบบนี้ ฉันก็จะเจอ”
“คุณติดค้างไม่ยุติธรรมกับพวกเธออยู่นะ”
ในขณะที่พูดประโยคนี้ อันที่จริงสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจก็คือถ้าซ่งอวิ๋นฮั่นมีชีวิตอยู่อีกไม่นานจริงๆ เช่นนั้นบางทีนี่อาจเป็นเรื่องสุดท้ายและเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เขารู้สึกสบายใจ
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้าอย่างแรง “แล้วแต่แก แกโตแล้ว แกจัดการให้ได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนเม้มริมฝีปากเบาๆ พยักหน้าแล้วพูด “ได้ คุณสุขภาพไม่ดีก็อย่าไปไหนดีกว่า เจอกันที่อ่าวชิงหลงนี่แหละ”
“ตามนั้น อ้อ ฉัน…” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “จื่อเซวียน ถึงฉันจะรู้ว่าแกจะปฏิเสธ แต่ฉันยังหวังว่าจะได้บอกแกอีกเรื่องหนึ่ง”
“รอให้คุณเจอแม่ผมก่อนแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้าช้าๆ ก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรอีก
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร เรื่องนี้ก็คงต้องเป็นเรื่องธุรกิจของเขา หากซ่งจื่อเซวียนไม่รับช่วงต่อ ซ่งอวิ๋นฮั่นคงทำได้แค่รอจนกว่าเขากำลังจะตายและมองดูคนนอกเข้ามาครอบครอง
ส่วนเขานั้น ทำงานหนักมาครึ่งชีวิตโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ ผลลัพธ์สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น
แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้โน้มน้าวใจซ่งจื่อเซวียน แม้ว่าในวันหนึ่งเขาจะตัดสินใจ มันก็เกิดจากหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความอยากได้อยากมีแต่อย่างใด
“จื่อเซวียนเอ๋ย จริงๆ แล้ว…ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวแกจะมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ ตอนนี้แกเป็นเถ้าแก่เองแล้ว ความรับผิดชอบก็มีมากขึ้น”
“อืม ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน อันที่จริง…แม่กับพี่สาวต่างหากที่เป็นแรงผลักดันให้ผม ตอนนี้ผมโตแล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้พวกเธอต้องทนทุกข์กับความยากจน และยิ่งไม่อาจปล่อยให้ถูกข่มเหงรังแกได้!”
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินก็น้ำตาคลอเบ้า “เป็นคำพูดของพวกเจ้าพ่อ สมแล้วที่เป็นพวกเจ้าพ่อแห่งตู้เหมิน แต่…จื่อเซวียน ถ้าแกลงมือทำด้วยตัวเองตอนนี้ ต้องระวังตัวทุกเรื่อง ธุรกิจอาหารนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”
“ผมรู้ วงการอาหารก็เหมือนยุทธภพแห่งหนึ่ง ที่จริงผมก็ได้บทเรียนมาไม่น้อย”
คำพูดนี้ทำให้ซ่งอวิ๋นฮั่นรู้สึกเจ็บจี๊ด ความจริงเด็กในวัยซ่งจื่อเซวียนควรอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพ่อแม่ ตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยและยังไม่ต้องเข้าสังคมเลยด้วยซ้ำ แต่เขาพูดประโยคนี้ออกมาว่าได้บทเรียนมาไม่น้อย แน่นอนว่าคงพบเจอประสบการณ์มามากมาย
“จื่อเซวียน ฉันขอโทษ มันเกิดขึ้นเพราะฉันเอง”
“ไม่ใช่หรอก ทุกคนต่างก็มีความยากลำบากเป็นของตัวเอง ตอนนี้ผมไม่ได้เกลียดคุณขนาดนั้นแล้ว จริงๆ นะ” ซ่งจื่อเซวียนมองซ่งอวิ๋นฮั่นด้วยสายตาที่จริงใจ
ซ่งอวิ๋นฮั่นกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เขาระบายยิ้ม
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ยิ้มแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้ว
“โอเค งั้นก็ดี แต่…ฉันจะบอกให้นะเจ้าหนู ไม่ใช่ว่าวงการอาหารเป็นยุทธภพแห่งหนึ่ง แต่สังคมต่างหากที่เป็นยุทธภพที่กว้างใหญ่ วงการอาหารนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม แกจะได้พบเห็นอีกมากมาย”
“คุณอยากให้ผมยอมถอยเหรอ”
“เปล่า ตรงกันข้ามต่างหาก” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดอย่างจริงจัง “ฉันหวังว่าแกจะยืนหยัดอยู่ในยุทธภพนี้ได้ จนถึงยืนอยู่ในจุดสูงสุด นี่ถือเป็นสนามรบสำหรับลูกผู้ชายโดยเฉพาะ แกในตอนนี้…ทำให้ฉันประหลาดใจ”
เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เผยยิ้ม ในใจรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะเมื่อก้าวเข้ามาในยุทธภพนี้ ไม่มีใครพูดอะไรกับเขายกเว้นตาเฒ่าฟางที่บอกหลักการสำคัญที่ยิ่งใหญ่บางอย่างแก่เขา
“เป็นเพราะแกคือลูกชายของฉัน ฉันอยากให้แกเป็นหงส์และมังกรในหมู่ผู้คน แต่สิ่งเหล่านี้…แค่พึ่งพรสวรรค์อย่างเดียวไม่เพียงพอหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดอยู่นานและเอ่ย “คุณกำลังตั้งตนเป็นคนรุ่นก่อนนะ”
“เปล่านะ ข้อแรกฉันเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ไม่ใช่แค่คนรุ่นก่อนเท่านั้น ข้อที่สอง นี่ไม่ใช่การตั้งตน ลองบอกสถานการณ์ช่วงนี้ของแกหน่อยสิ” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหัวเราะเบาๆ “ได้สิ ขอผมดูหน่อยว่าคุณมีเคล็ดลับอะไรบ้าง”
……
ในล็อบบี้ของโรงแรม หลังจากที่เฮ่อเหยียนข่ายจากไป โจวเผิงก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาอยู่นานและยังไม่ได้ออกไป
เขาอยากรอให้ซ่งจื่อเซวียนออกมา ดูว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายมาทำอะไรกันแน่ แต่รอมาเกือบชั่วโมงแล้วก็ไม่เห็นสักที
“แปลกจัง เขาพักอยู่ที่นี่เหรอ ไม่น่าจะใช่…ถึงเงินเดือนจะสูง แต่เขาคงไม่ถึงขั้นผลาญเงินพักที่โรงแรมห้าดาวแบบนี้หรอกมั้ง
ไอ้เด็กนี่มาหารือธุรกิจใหม่เหรอ หลังจากออกจากต้าสือไต้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวยจริงๆ นะ เหอะๆ ฉันจะดูว่านายจะโบยบินไปที่ไหน…”
……
ซ่งจื่อเซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ซ่งอวิ๋นฮั่นฟัง นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาระบายกับคนอื่นแบบนี้
ซ่งอวิ๋นฮั่นฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ากังวลใจ
“จื่อเซวียน ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกต้องผ่านอะไรมามากมายขนาดนี้ ช่วงเวลาสั้นๆ นี้…สำหรับแกมันช่างขมขื่น”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้น ไม่ว่าจะขมขื่นแค่ไหน ผมก็รู้จักการหาเงินมาเลี้ยงดูแม่นะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน
“ให้ฉันมวนหนึ่งสิ”
ซ่งจื่อเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุณ…สุขภาพของคุณจะสูบบุหรี่ได้หรือไง”
“เหอะๆ ถ้าใกล้จะตายแล้วจริงๆ ยังต้องกลัวอะไรอีกถ้าจะสูบบุหรี่สักมวนก่อนตายน่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกปวดใจเล็กน้อย เขาถอนหายใจแล้วหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนส่งให้ซ่งอวิ๋นฮั่นพร้อมทั้งจุดไฟให้เขา
หลังจากสูบบุหรี่ไปหนึ่งครั้ง ซ่งอวิ๋นฮั่นก็กล่าว “ปัญหาตอนนี้มีอยู่สามอย่าง แต่จริงๆ แล้วมีเพียงสองอย่างเท่านั้น”
“คุณว่ามา!” ซ่งจื่อเซวียนเข้ามาใกล้
“อย่างแรก หวงฟานึกถึงแก ก็แค่นึกถึงแกในฐานะคนที่ช่วยเขาหาเงิน หรือเพราะนึกถึงสูตรอาหารของแกเท่านั้น จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”
“ถูกต้อง พูดต่อเลย” ความอยากรู้อยากเห็นของซ่งจื่อเซวียนถูกกระตุ้นขึ้นมาฉับพลัน
“อย่างที่สอง ก็คือร้านอาหารร่ำรวยจะขายได้ดีเทน้ำเทท่าหรือเปล่า หากทำได้ เฉิงปาจะทุ่มเทสุดตัวให้กับแก แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงแกทำโฆษณาให้ตรงจุด ร้านอาหารร่ำรวยก็จะตั้งตระหง่านได้ในไม่ช้า”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ดังนั้นนี่คือปัญหาที่คุณกำลังพูดถึงเหรอ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหน้า “อย่างที่สองฉันยังพูดไม่จบ จริงๆ แล้ว เฉิงปาจะช่วยแกได้ในช่วงแรก ขอแค่แกมีร้านอาหารแบบนี้อยู่ในมือสามแห่ง แกก็สามารถเรียนรู้เรื่องหนึ่งได้”
“ว่าจะไล่เฉิงปาออกไปได้ยังไงน่ะเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นกำไรจะหายไปเปล่าๆ แต่เนื่องจากเราจำเป็นต้องเรียนรู้การปฏิบัติตัว ดังนั้นแกต้องอธิบายให้เขาฟัง แกคิดว่าไง” ซ่งอวิ๋นฮั่นเอ่ยถาม
“ร้านหนึ่งให้กำไรเฉิงปาห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนร้านอื่นไม่เกี่ยวข้องกับเขา!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งอวิ๋นฮั่นกระตุกยิ้ม “ไอ้เด็กคนนี้แกฉลาดพอแฮะ แต่ต้องเพิ่มผลกำไรของร้านนี้ และไม่ให้ข้าวผัดจักรพรรดิกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายขัดกัน”
“ผมก็คิดอย่างนั้น”
“เหอะๆ ดีมาก จื่อเซวียนแกจำไว้ว่านักธุรกิจต้องมีวิธีคิดแบบนักธุรกิจ ไม่อย่างนั้นความเป็นธรรมและความมีน้ำใจของแกจะฉุดแกลงจนกว่าจะล้มเหลว และทุกคนจะทอดทิ้งแกไป” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมไม่เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน ผมเชื่อว่าถ้าผมแข็งแกร่งก็จะมีทีมที่ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนอยู่รอบตัว แต่ถ้าผมอ่อนแอ ผมก็จะอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว!”
“พูดได้ดีมาก ดังนั้น…ต่อไปคืออย่างที่สาม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่นกัน”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่ซ่งอวิ๋นฮั่นและเผยรอยยิ้มร้ายกาจ “อย่างที่สามคือการยืมใช้กำลังของคุณ”
“แกสังเกตไหมว่าเราสองคนแทบจะคิดคำถามและคำตอบเดียวกันพร้อมๆ กันอยู่เสมอ”
เมื่อซ่งอวิ๋นฮั่นพูดอย่างนี้ ทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา
“สรุปว่าแกต้องจำไว้ว่าในยุทธภพแห่งนี้ สนามรบของลูกผู้ชายคนนี้ ฉันคือผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแก และฉันเป็นคนเดียวที่ไม่มีเงื่อนไขอะไร!”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปหาซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ยื่นมือออกไปเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่งที่มือทั้งสองประสานกัน ราวกับว่าเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายไหลผ่านทั้งสองร่าง เลือดที่ไหลเข้าหากัน กลับมาผสมผสานกันอีกครั้งหลังจากผ่านพ้นไปสิบกว่าปี
………………………………….