เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 12 ตัดสินใจ
ตอนที่ 12 ตัดสินใจ
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนหันหลังไปเห็นหัวเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากมุมผนัง ก็ฝืนยิ้มจางๆ ออกมา
บางทีเวลานี้อาจจะมีแค่กู่เสี่ยวเป่าที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมาได้ ทุกวันเด็กขอทานคนนี้จะมีความสุขไร้ซึ่งความกังวล พูดจาตามอำเภอใจเป็นอิสระไม่ถูกบังคับ ช่างน่ารักจริงๆ
แต่คำว่าพี่รองคำนี้กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง นอกจากกู่เสี่ยวเป่าแล้วยังไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้มาก่อน
“เหอะๆ เสี่ยวเป่าเหรอ ทำไมนายมาดึกขนาดนี้เล่า ร้านอาหารปิดหมดแล้ว”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้มเผล่ เดินเต๊ะท่ามา “หึๆ ฉันกินไปแล้ว ก็เมื่อกี้เห็นพี่เดินก้มหน้าก้มตา เป็นอะไร อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ ถ้าฉันเป็นเหมือนนายคงจะดี ทั้งวันไม่มีเรื่องให้ต้องกลุ้ม”
“หา? หึๆ ที่จริงแล้วทุกคนก็มีเรื่องให้กลุ้มกันทั้งนั้นแหละ แค่พี่ไม่จำเป็นต้องเห็นแค่นั้นเอง” กู่เสี่ยวเป่าพูดพลางพิงกับกำแพง ประสานมือสองข้างจับที่ท้ายทอย แสดงให้เห็นว่าปลงอยู่บ้าง
ซ่งจื่อเซวียนอดยิ้มออกมาไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้ทำท่าทางอย่างผู้ใหญ่ช่างน่ารักเสียจริง
“นายก็มีเรื่องให้กลุ้มเหรอ”
“แน่สิ แต่ฉันจะเอาเรื่องกลุ้มมาแปะไว้บนหน้าทุกวันไม่ได้หรอก นั่นไม่เศร้าตายเหรอ”
แม้คำพูดจะเรียบง่าย แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกว่ามีเหตุผล เขาพยักหน้าพูดว่า “ก็ถูก โยนเรื่องกลุ้มออกไป แล้วก็ต้องใช้ชีวิตแบบมีความสุขต่อ”
พูดพลาง ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งลงที่ฐานของกำแพงข้างๆ กู่เสี่ยวเป่า กู่เสี่ยวเป่าเห็นอย่างนั้นก็ยิ้ม นั่งลงเช่นกัน
“พี่รอง พี่เป็นอะไรไป เป็นเพราะคนที่พูดกับพี่เมื่อกี้หรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “เมื่อกี้…นายเห็นเหรอ”
“ใช่น่ะสิ คนที่ขับรถเก๋งสีดำคันนั้นเมื่อกี้ เขารังแกพี่ใช่ไหม ถ้าใช่พี่ก็บอกฉัน ฉันจะช่วยพี่เอง!” กู่เสี่ยวเป่าพูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นต้นแขนบางๆ ที่เปรอะโคลนเล็กน้อย
เห็นท่าทางน่ารักของกู่เสี่ยวเป่าครั้งนี้ ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้มไม่ออก เขาพิงกำแพงแหงนหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกมาช้าๆ ทันที
“เรื่องบางเรื่อง…ไม่มีใครช่วยฉันได้หรอก”
เห็นหน้าอึมครึมของซ่งจื่อเซวียน กู่เสี่ยวเป่าขยับเข้าใกล้เขาด้วยใบหน้าสงสัยเต็มประดา “พี่รอง พี่สนิทกับคนคนนั้นมากใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่…แต่ก็ไม่ใช่ ไอ้สนิทก็สนิทกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่…กลับห่างไกลมาก เหอะๆ เสี่ยวเป่า นายคงไม่เข้าใจ”
“เข้าใจเยอะแล้วมันมีประโยชน์อะไรเหรอ แถมยังไม่ใช่เรื่องเจ็บปวดของตัวเองอีก ฉันคิดว่าแค่ได้กินข้าวก็เป็นความสุขแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มอย่างรู้ใจ ลูบหัวกู่เสี่ยวเป่า “เหอะๆ เสี่ยวเป่า ความคิดของนายนี่เรียบง่ายจริงๆ นะ แต่…กลับมีเหตุผลซะงั้น”
“นั่นแน่อยู่แล้ว กินอิ่มถึงจะสมเหตุสมผลที่สุด แม้แต่ข้าวยังไม่มีจะกิน จะมีเวลาไปมีความสุขหรือความทุกข์อีกเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนมองกู่เสี่ยวเป่า คำพูดง่ายๆ แบบนี้กลับเหมือนแฝงเหตุผลหลักๆ ไว้ด้วย แท้จริงแล้ว ตัวเองในตอนนี้แม้แต่แม่ของตัวเองยังดูแลไม่ได้ ยังจะพูดถึงอารมณ์ดีไม่ดีอะไรนั่นอีกเหรอ
“เสี่ยวเป่า ตอนนี้ฉันกำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกหนึ่ง ในใจสับสนสุดๆ”
“ฮะ ทางเลือกอะไรล่ะ”
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องสับสนในใจของตัวเองออกมา นั่นก็คือจะออกจากร้านอาหารชุนเซียงแล้วไปหาทางหลินเทียนหนานดีหรือไม่
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว พี่รองพี่จะรวยแล้วใช่ไหมเนี่ย”
“อะไรเสี่ยวเป่า ฉันไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น แค่อยากจะทำให้ชีวิตแม่ดีขึ้นก็เท่านั้น ฉันไม่ได้อยากให้เขาที่อายุมากแล้วออกไปรับจ้างรายวันอีก”
“พี่รอง พี่นี่กตัญญูจริงๆ!” กู่เสี่ยวเป่ายกนิ้วโป้งให้ อย่างไรในยุคสมัยนี้ วัยรุ่นที่คิดอย่างซ่งจื่อเซวียนมีน้อยลงเรื่อยๆ
“แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรจะไปหรือไม่ไปดี ฉันต้องการเงินมากก็จริง แต่…”
“แต่พี่ก็ผูกพันกับร้านอาหารชุนเซียงอยู่บ้าง แถมยังมีพี่สาวคนสวยด้วยใช่ไหม” กู่เสี่ยวเป่าแลบลิ้นปลิ้นตาด้วยรอยยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา “ถ้าพูดถึงเรื่องความรู้สึก กับร้านอาหารมันก็ผูกพันบ้างอยู่แล้ว ยังไงหลังจากที่ฉันลาออกจากโรงเรียนก็ทำงานที่ร้านอาหารชุนเซียงมาตลอด แต่…ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือฉันไม่มั่นใจว่าทำหน้าที่ได้”
“มั่นใจ? พี่รองหนอพี่รอง ต้องมั่นใจอะไรอีก เงินมากมายตั้งขนาดนี้จะไม่เอาเหรอ พี่บ้าไปแล้วจริงๆ ตอนนี้พี่ต้องการเงินถึงขนาดนั้น ต่อให้จะได้เงินเดือนแค่เดือนเดียวก็โอเคแล้วนี่”
ความจริงคำพูดนี้ของกู่เสี่ยวเป่า ซ่งจื่อเซวียนก็เคยคิดมาก่อน ต่อให้ได้ทำงานแค่หนึ่งเดือนแต่ได้มาแปดหมื่นก็พอแล้ว ทว่าเขาไม่อยากไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ หลังจากนั้นหลินเทียนหนานที่มีเจตนาดีก็จะรู้สึกผิดหวัง แล้วยังทำให้ร้านเขาวุ่นวายอีก
เห็นซ่งจื่อเซวียนก้มหน้าไม่พูดไม่จา กู่เสี่ยวเป่าก็พูดต่อ “พี่รอง ฉันรู้ว่าพี่อยากจะทำให้เรื่องนี้ให้ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้พี่ไปกินข้าวก่อนดีไหม พี่แทบจะกินข้าวไม่ลงอยู่แล้ว ยังจะมาคิดว่าจะทำเรื่องนี้ได้ดีไหมอยู่อีกเหรอ”
ประโยคนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตัวขึ้นมา “บางทีที่นายพูดอาจจะถูก ไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันต้องกลับไปกินข้าวกับแม่ก่อน จะปล่อยให้แม่เหนื่อยอีกขนาดนี้ไม่ได้…”
“อีกอย่างนะ…หึๆ พี่รอง พึ่งแค่ฝีมือของพี่ ฉันรับประกันเลยว่าพี่จะไม่เป็นไร”
“หืม พึ่งตัวข้าวผัดน่ะเหรอ”
“ฮ่าๆ ถูกต้อง พูดอย่างนี้พี่อาจจะไม่เชื่อนะ อาหารชั้นยอดที่ฉันเคยกินมีมากพอๆ กับที่บอสใหญ่เคยกิน ข้าวผัดจานนั้นของพี่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมาแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “เด็กขอทานอย่างนายวันๆ เอาแต่ขอทานอยู่ตามถนน ถ้าพูดว่าเคยกินของอร่อยมาไม่น้อยฉันเชื่อนะ แต่จะไปมากเท่ากับพวกบอสใหญ่พวกนั้นได้ยังไง”
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ กู่เสี่ยวเป่าพิงกำแพงยกยิ้มอย่างมั่นใจ ในรอยยิ้มแฝงความลึกลับไว้หลายส่วน
สองพี่น้องคุยกันอีกสักพัก ซ่งจื่อเซวียนเห็นว่าดึกมากแล้ว ถึงได้แยกกับกู่เสี่ยวเป่าอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก นับตั้งแต่ออกจากโรงเรียนกลางคัน หลักๆ ทุกวันเขาก็ไปทำงานที่ร้านอาหาร แม้กระทั่งเพื่อนก็ไม่มี คำว่าเพื่อนคำนี้มีค่ากับกู่เสี่ยวเป่ามาก แล้วทำไมจะไม่มีค่ากับซ่งจื่อเซวียนเล่า…
…………….
ที่โต๊ะกลาง หยางต้าฉุยยกชาผู่เอ่อร์[1]มาดมด้วยใบหน้าเสพสุข จิบไปหนึ่งอึก คลอนหัวเบาๆ อย่างเคลิบเคลิ้ม
“สองร้อยหยวนห้าสิบกรัมไม่เสียเปล่า ชาดี ชาดีจริงๆ อารมณ์ดีก็ต้องดื่มชาดี ฮ่าๆ…”
หยางต้าฉุยพูดกับตัวพร้อมยิ้มออกมา ในวงการชา ใบชาห้าสิบกรัมสองร้อยหยวนส่วนใหญ่ถือเป็นราคาปกติ แต่สำหรับคนตระหนี่ถี่เหนียวอย่างหยางต้าฉุยก็ถือว่าแพงมากแล้ว นี่ก็เพราะใช้ต้อนรับผู้ตรวจสอบคุณภาพเมื่อปีที่แล้วถึงได้ซื้อมา หลังจากนั้นวางไว้เป็นปีถึงตัดใจดื่มได้สักกา
ขณะกำลังจิบ ก็ได้ยินเสียงลูกบิดเปิดประตู หยางต้าฉุยเห็นหยางเสวี่ยที่เดินเข้ามา พูดเจือหัวเราะว่า “เหอะๆ ลูกสาวพ่อ ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ พ่ออยู่บ้านคนเดียวได้ พวกแกคุยกันเยอะๆ อีกสักหน่อยสิ”
ปกติหยางต้าฉุยเป็นคนหัวโบราณ ตอนที่หยางเสวี่ยใส่น้อยชิ้นไปสักหน่อย เขาก็อดไม่ไหวหยิบผ้าห่มมาปกปิดตัวลูกสาวเสียแน่น สั่งสอนเรื่องไม่อนุญาตให้มีความรักร้อยแปดสิบรอบเป็นอย่างน้อย เพราะเกิดกลัวว่าลูกสาวจะเสียหาย
แต่ครั้งนี้ เขามุ่งเป้าไปที่ซ่งจื่อเซวียนจริงๆ ถ้าพูดว่าคืนนี้ลูกสาวไม่กลับบ้าน เกรงว่าเขาคงหัวเราะออกเสียงด้วยซ้ำ เพราะนั่นอธิบายว่าลูกเขยเต่าทองคำอยู่ในมือแล้ว
เห็นใบหน้าหยางต้าฉุยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่หยางเสวี่ยไม่มีอารมณ์จะยิ้มออกมา เธอกลอกตา พูดว่า “ไม่ชอบที่ลูกกลับบ้านเร็วหรือไง หรือว่าพ่อคิดจะให้ลูกกับเจ้ารองนอนด้วยกันถึงจะดีใช่ไหม”
ประโยคนี้ทำหยางต้าฉุยชะงัก “หา? เป็นอะไรลูกสาวพ่อ ไม่ดีใจเหรอ โธ่ หรือว่าลูกไม่ชอบให้พ่อรีบร้อนใช่ไหม พ่อจะบอกลูกให้นะ โอกาสตอนนี้น่ะ ถ้าไม่รีบคว้าไว้มันจะไม่ทันนา พ่อดูออกนะว่าเจ้ารองคิดอะไรกับลูก บวกกับลูกสาวพ่องดงามดั่งบุปผา อยากจะจับเขาไว้ก็เป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเอง”
“เหอะ ใครอยากจะจับเขากัน บนโลกนี้ไม่มีพ่อที่เป็นอย่างพ่อแล้ว มีที่ไหนผลักลูกสาวของตัวเองไปในกองไฟล่ะ” หยางเสวี่ยพูดชิชะ หลังจากนั้นก็เดินไปที่โซฟา ยกชาขึ้นจิบหนึ่งอึก
เห็นหยางเสวี่ยโกรธ หยางต้าฉุยก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “ลูกสาวพ่อ ตกลงเป็นอะไรกันแน่ พวกแกทะเลาะกันเหรอ ไม่น่านะ เจ้ารองนั่น…หรือว่าทำข้าวผัดจักรพรรดิได้แล้วอารมณ์ร้ายกว่าเดิม”
“พ่อเลิกพูดถึงข้าวผัดจักรพรรดินั่นของเขาสักที พ่อคิดว่าลูกสาวพ่อโง่ใช่ไหม นั่นเป็นแค่ข้าวผัดธรรมดาๆ ลูกก็ผัดออกมาได้!”
“อะไรนะ ข้าวผัดธรรมดา ลูกชิมแล้วเหรอ”
“เพ้อเจ้อ ไม่อย่างนั้นลูกจะโมโหขนาดนี้เหรอ พ่อนี่เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ!”
หยางเสวี่ยพูดจบ ก็เดินโมโหเข้าห้องไป ปิดประตูเสียงดังปัง
หยางต้าฉุยสูดลมหายใจ คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลูกสาวกำลังหงุดหงิด เขาก็ไม่อยากยั่วโมโห จึงนั่งลงที่โซฟาอย่างไม่เข้าใจ พึมพำกับตัวเองว่า “ต้องไม่ใช่สิ วันนั้นฉันชิมแล้วจริงๆ อีกทั้งหลินเทียนหนาน…”
……………..
แยกกับกู่เสี่ยวเป่า ซ่งจื่อเซวียนซื้อสุราตรงไปในบ้านตาเฒ่าฟาง ทันทีที่เข้ามาในบ้านก็ได้ยินวิทยุทรานซิสเตอร์ส่งเสียงละครงิ้วท่อนหนึ่งแสบหู
“ปู่ รอผมเปลี่ยนงานก่อนนะ ผมจะเปลี่ยนวิทยุให้ก่อนเครื่องหนึ่ง” ซ่งจื่อเซวียนเดินมาใกล้ฟางจิ่งจือ วางสุราไว้บนโต๊ะเล็ก ดึงผ้าคลุมชายชราให้สูงขึ้นสักหน่อยทันที
ฟางจิ่งจือเลิกคิ้วมองซ่องจื่อเซวียนแวบหนึ่ง วางวิทยุทรานซิสเตอร์ลงเบาๆ “เสียงอะไรก็ฟังได้ไม่ใช่เหรอ เปลี่ยนมันไปก็เท่านั้น ซื้อเหล้ามาดีกว่า”
“หึ เปลี่ยนแล้วก็ต้องซื้อเหล้ามาให้ปู่อยู่ดีอะ”
“โห ได้ยินอย่างนี้แสดงว่าตัดสินใจได้แล้วเหรอ” ฟางจิ่งจือเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียน ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยดีใจอยู่หลายส่วน
สำหรับฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนมีพรสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน ก็ต้องฝึกฝน ต้องแสดงความสามารถ อุดอู้อยู่ในร้านอาหารชุนเซียงนั่นจะต้องไม่มีอนาคตแน่นอน
“อืม ปู่ ผมตัดสินใจแล้ว ต่อให้ไม่โอเคก็ต้องลองดู”
“เหลวไหล อะไรคือลองดูเล่า พูดอย่างนี้อย่างกับเป็นพวกผู้หญิง ผู้ชายน่ะจะทำสิ่งใดก็ต้องทำให้ดีสิ!”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองบนอย่างจำใจ “ตาเฒ่าอย่างปู่มีอารยะมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ โชคดีนะที่ผมเป็นผู้ชาย ถ้าหลังจากนี้ผมยุ่งแล้วจะหาผู้หญิงสักคนมาดูแลปู่ ปู่ปากแบบนี้คงได้ทำให้คนเขาตกใจหนีไปหมด”
“อารยะทวดแกสิ ต่อปากต่อคำใช่ไหม ข้าจะได้ฉีกสูตรอาหารทิ้งซะ!” ฟางจิ่งจือพูดอย่างโมโหพลางจับเก้าอี้หยัดกายลุกขึ้นยืน
ซ่งจื่อเซวียนรีบเข้าไปพยุงชายชรา พูดกลั้วหัวเราะ “ดูปู่สิ จะรีบร้อนไปไหน ปู่อายุปูนนี้แล้วจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ทำไม มา นั่งลงก่อน ผมผิดเองโอเคไหม”
“เปิดเหล้าให้ปู่สิ” ฟางจิ่งจือถึงได้เอนกายพิงพนักด้านหลัง
“ได้เลย” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเผล่พลางเปิดขวดสุรา “ปู่ดื่มสิ จริงด้วย คราวที่แล้วปู่พูดถึงตะหลิวลายนกฟินิกซ์นั่นน่ะ…”
ฟางจิ่งจือเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย “เหอะ…หลาน นี่แกไม่ได้มาหาฉัน แต่ถ่อมาดูตะหลิวเชียวเหรอ”
“จะเป็นไปได้ยังไง นี่ผมตั้งใจแวะซื้อเหล้ามาให้ปู่ไม่ใช่เหรอ แต่ครั้งก่อนปู่ก็พูดไว้แล้วนี่ ถ้าไม่ได้เจอผมสักหน่อยในใจก็คันยุบยิบน่ะ” พูดพลาง ซ่งจื่อเซวียนก็ขยับเข้าใกล้ฟางจิ่งจือ “เหอะ ปู่คงไม่ได้เป็นตาแก่ขี้โม้พูดโกหกใช่ไหม”
ได้ยินดังนั้น ฟางจิ่งจือก็ปาแก้วในมือลงพื้นทันที “ไสหัวไป ข้าไม่เคยพูดโม้เลยทั้งชีวิต!”
เห็นแก้วที่แตกอยู่บนพื้น ซ่งจื่อเซวียนก็กลืนน้ำลายหนึ่งอึก “โธ่ ใจร้อนอีกแล้ว แต่เราก็คุยกันแล้วนี่ รอผมเข้าใจสูตรอาหารจานที่สองก่อน ปู่ถึงจะเอามาให้ผมดูน่ะ”
ฟางจิ่งจือยักไหล่พลางยิ้มเย็น “ปู่พูดคำไหนคำนั้น ฉันก็กลัวว่าเด็กอย่างแกทั้งชีวิตนี้จะไม่เข้าใจน่ะสิ”
“ล้อกันเล่นแล้ว พรสวรรค์ผมเหนือกว่าปู่เยอะ” พูดพลาง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าห้องไป หยิบสูตรอาหารออกมาอ่าน
ในบ้านกลับมามีเสียงงิ้วดังขึ้นอีกครั้ง สองคนปู่หลานไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ฟางจิ่งจือที่พิงอยู่กับพนักเก้าอี้เผยรอยยิ้มอย่างเข้าใจออกมา
………………………………………………
[1] ชาผู่เอ่อร์ (普洱) เป็นชาหมัก มีน้ำชาสีดำ มีกลิ่นและรสชาติเข้มข้น ผลิตจากใบชาที่ชนกลุ่มน้อยอำเภอผู่เอ่อร์เป็นผู้ปลูกอยู่ทางใต้ของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน