เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 119 คุ้มที่จะไปสักรอบจริงๆ
ตอนที่ 119 คุ้มที่จะไปสักรอบจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนมองฟางจิ่งจือด้วยใบหน้าทะเล้น ต้องรู้ว่านี่คือสิ่งที่ชายชราสัญญาว่าจะมอบให้เขา ขอแค่ทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายที่แท้จริงออกมาได้ ก็จะยกตะหลิวลายฟีนิกซ์ให้เขา
“ปู่ไม่ไปเอาเหรอ”
“ปู่…”
“ปู่?”
ซ่งจื่อเซวียนสะกิดสองสามครั้ง เห็นแค่สองตาของฟางจิ่งจือปรือลงเล็กน้อย แล้วก็กรนออกมา…
“เฮ้อ ปู่ เราอย่าเล่นกันแบบนี้เลยน่า พูดไว้แล้วก็ทำเมิน นี่ปู่จะไม่รักษาคำพูดใช่ไหมเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ฟางจิ่งจือยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลับลึกไปแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ก็ได้ ตาแก่ สมแล้วที่เป็นปู่น่ะ
เขาลุกขึ้นกระแอมไอสองครั้ง “อะแฮ่มๆ ท่านปู่ฟาง เหล้าขวดนี้บนโต๊ะของท่านนี่ผมเอาไปก่อน เพื่อลงโทษที่ท่านไม่รักษาคำพูด ลงโทษด้วยการงดเหล้าสามวัน!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบขวดเหล้าเดินออกไปข้างนอก ยังไม่ทันเดินถึงประตู ก็ได้ยินเสียงช้าเนิบของฟางจิ่งจือจากด้านหลัง
“แกจะรีบทำไมเล่า…ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่ให้แก ก็แค่ง่วงอยากงีบแป๊บเดียว…”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนอดหัวเราะออกเสียงไม่ได้ หันหลังเดินไปที่เตียงทันที
“โธ่ ผมแค่พูดเองตาเฒ่า ใช่ว่าผมจะไม่ให้ปู่งีบสักหน่อยนี่ ปู่ให้ตะหลิวผม ปู่ก็งีบได้เต็มที่แล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ฟางจิ่งจือค่อยๆ หันหน้าไปมองซ่งจื่อเซวียน เดิมใบหน้าแก่ชราไม่ได้มีอารมณ์อะไร แต่สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยอง
ความหยิ่งผยองนี้ อาจจะมาจากประสบการณ์ที่ปักกิ่งสมัยชายชรายังหนุ่มๆ หรืออาจจะ….เพราะเกิดจากตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแค่ว่าถูกมองแบบนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง พูดว่า “ปู่มองผมขนาดนั้นทำไมเนี่ย ถ้าปู่ง่วงก็เอากุญแจมาให้ผมสิ ผมไปเอาเองโอเคไหม”
ฟางจิ่งจือจ้องมองซ่งจื่อเซวียนอีกสองสามวินาที พูดว่า “ประคองฉันหน่อย”
ถึงอย่างไรก็อายุปูนนี้แล้ว คนแก่อายุแปดสิบเก้าสิบปี กินเหล้าสองสามขวดได้ทุกวันก็หาได้ยากมากแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนประคองชายชราให้ลุกขึ้นจากเตียง เดินตรงไปที่ประตูห้องอีกห้องหนึ่งในลานบ้าน พูดว่า “ก็ได้ ตาเฒ่าหาเองเถอะ ผมรู้ว่าปู่ไม่ให้ผมดูหรอก”
ฟางจิ่งจือกลอกตาใส่เขา ไม่ได้พูดอะไร ปลดแม่กุญแจ แต่ก่อนจะเข้าไปก็ยังหันหน้ากลับมามองแวบหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนทำหน้าจนปัญญา “ผมไม่แอบดูหรอกน่า ปู่ก็ไปเอามาเถอะ”
ฟางจิ่งจือถึงได้วางใจ เดินเข้าไป ไม่นานนัก ก็ถือตะหลิวอันหนึ่งเดินออกมา
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซ่งจื่อเซวียนเห็นตะหลิวลายฟีนิกซ์ แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นในทุกๆ ครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ เพราะเขาใกล้จะได้ครอบครองสมบัติชิ้นนี้แล้ว
ฟางจิ่งจือมองตะหลิวในมือ พูดว่า “ไอ้หนู ตะหลิวลายฟีนิกซ์นี่ก็คือตะหลิวแบบเรียบ แต่เครื่องครัวที่เป็นเหล็กตุนเหลืออยู่ไม่กี่อย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักหรือสัมผัสก็นับว่าเหนือกว่าทั้งหมด”
“ผมรู้ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้าไปเอาตะหลิว แต่ฟางจิ่งจือจับไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะปล่อยมือ
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก มองไปที่ชายชราทันที เห็นแค่สองตาของฟางจิ่งจือจ้องเขาอยู่ ถึงจะไม่พูด แต่ก็ดูออกว่าตัดใจไม่ลง
นี่ไม่ใช่ว่าขี้เหนียว แต่เหมือนว่าคนที่ชอบสะสมอย่างฟางจิ่งจือถึงจะมีความรู้สึกนี้ในจิตใจ เขารักสมบัติทุกชิ้นที่เขาเก็บสะสม สมบัติพวกนี้ไม่ใช่แค่มีข้อดีที่เขานับไม่จบไม่สิ้น ทั้งยังมียุคสมัย การผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและประสบการณ์ เหมือนกอบกุมประวัติศาสตร์ร้อยปีไว้ในมือ คุณค่าก็หนักหน่วงขึ้นมาทันที
“ปู่…” ซ่งจื่อเซวียนพูดเสียงเบา
ฟางจิ่งจือพยักหน้าน้อยๆ “ไอ้หนู เครื่องครัวที่ดีต้องคู่กับพ่อครัวที่ดี ไม่อย่างนั้นจะไม่คู่ควรกับของ แกอย่าทำให้ปู่มองผิดไปนะ”
“ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ปู่วางใจ ปู่สอนผมยังไง ผมก็ทำอย่างนั้น”
“อืม…ถ้างั้น…ก็แค่นี้แหละ”
พูดจบประโยคนี้ ฟางจิ่งจือถึงปล่อยมือ ซ่งจื่อเซวียนกอบกุมตะหลิวลายฟีนิกซ์ไว้ในมือ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าเขาอยากได้เจ้าตะหลิวลายฟีนิกซ์มานานแค่ไหน แต่พอได้ถืออยู่ในมือจริงๆ กลับกลัวว่าจะไม่คู่ควรกับเครื่องครัวชิ้นนี้ ตนเอง…ไม่รู้ว่าจะคู่ควรกับมันได้ไหม
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง ฟางจิ่งจือกลับไปนอนที่ตั่ง ส่วนซ่งจื่อเซวียนนั่งอยู่ข้างๆ เตียงเขา
“ปู่ คราวก่อนปู่บอกว่าเครื่องครัวที่เป็นเหล็กตุนแบบนี้บนโลกมีไม่เกินสามชิ้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางจิ่งจือพยักหน้าค่อยๆ “ถูกต้อง ฉันเคยพูดอยู่บ่อยๆ เผลอๆ…มีไม่ถึงสองชิ้นด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น หลานต้องรักษาตะหลิวชิ้นนี้ไว้ให้ดี ถ้าหาย…ก็คือหายไปแล้ว”
“ผมเข้าใจแล้วครับปู่ ในสายตาปู่ ตะหลิวลายฟีนิกซ์ชิ้นนี้ไม่ใช่แค่เครื่องครัว ซ้ำยังเป็นของเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง เป็นอารยธรรมจีนแผ่นดินใหญ่ของพวกเรา”
“ใช่แล้ว จุดนี้เราสองคนปู่หลานเหมือนกัน ฉันรู้ว่าแกชอบของดี ชอบของเก่าแก่แบบนี้ ฉันถึงยกมันให้แก เพราะของดีต้องตกอยู่ในมือของคนที่เข้าใจอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นอารยธรรมสายนี้ก็จะขาดตอน เข้าใจหรือยังไอ้หนู”
“เข้าใจแล้วครับปู่ ผมเชื่อฟังปู่”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางรินสุราใส่แก้วให้ชายชรา “จริงสิปู่ เครื่องครัวเหล็กเขียวเป็นยังไงเหรอ”
“เหล็กเขียว?” ได้ยินประโยคนี้ ฟางจิ่งจือก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “เหล็กเขียวแพร่หลายในยุคหมิงชิง แต่ช่วงกลางจนถึงช่วงปลายราชวงศ์ชิง เทคโนโลยีในการสร้างเหล็กเขียวก็ถูกเซาะกร่อนไปแล้ว”
“ถูกเซาะกร่อนเหรอ นั่นไม่ได้หมายความว่าตอนนี้สิ่งของที่ทำจากเหล็กเขียวก็มีน้อยแล้วเหรอ”
“ประมาณนั้น…แต่ดีกว่าเหล็กตุนมาก ตอนนี้ยังมีของที่ทำจากเหล็กเขียวเหลือรอดอยู่มาก ถึงอย่างไรลักษณะเด่นก็เป็นตัวกำหนด เหล็กเขียวถึงยังเหลืออยู่”
“เป็นเพราะระดับความแข็งของเหล็กตุนใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ เหล็กตุนนั้นแข็งมาก มีความเปราะบางสูง สิ่งของหลายอย่างเลยเสียหายไป แต่เหล็กเขียวไม่เหมือนกัน มีความเหนียวมากกว่าเล็กน้อย ทนทานกว่า แต่…ก็เพราะนำความร้อนได้ไม่เท่าเหล็กตุน ดังนั้นตอนที่ ‘ผัด’ จึงแพ้”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้าน้อยๆ “เข้าใจแล้วครับ แต่ว่าถ้าเทียบเหล็กเขียวกับเครื่องครัวตอนนี้ก็ดีกว่าไม่น้อยหรือเปล่า”
“นั่นแน่อยู่แล้ว กระทะเหล็กตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนไม่ติด กรรมวิธีไม่ได้ละเอียดบวกกับการโกงแรงงานและใช้วัสดุคุณภาพต่ำ ออกแบบไม่สมเหตุสมผล ถ้าพูดตามตรงก็…ใช้ไม่ได้เลย”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนผงะไปทันที ตั้งแต่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ก็สามารถดูออกว่าเงื่อนไขด้านอาหารของตาเฒ่าฟางสูงมาก ถึงขั้นเหี้ยมโหดเสียด้วยซ้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าเครื่องครัวในยุคปัจจุบันในเงื่อนไขที่โหดเหี้ยมนี้จะถูกจัดอยู่ในประเภทใช้ไม่ได้…
เห็นปฏิกิริยาของซ่งจื่อเซวียน ฟางจิ่งจือก็ยิ้ม “เด็กโง่ แกต้องรู้ไว้นะว่าสาเหตุที่เครื่องครัวสมัยนี้เทียบกับพวกเครื่องครัวเก่าแก่ได้ยากนั้น ไม่ใช่ว่าเพราะของในสมัยนี้มันไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับฝีมือ”
“หืม ฝีมือเหรอ ปู่ ที่จริงต้องฝีมือในยุคปัจจุบันก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อนสิถึงจะถูก ถึงยังไงเทคโนโลยีก็พัฒนาอยู่ตลอด จะก้าวถอยหลังไม่ได้หรอก”
“ก็เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยีนี่แหละ มนุษย์ถึงได้ใช้เครื่องจักรมากยิ่งกว่าและไม่ใช้งานฝีมือ พอเครื่องจักรเข้ามาแทนที่งานฝีมือ เลยกลายเป็นการผลิตจำนวนมาก แกว่า…ผลลัพธ์ของสิ่งของที่ผลิตจำนวนมากจะเทียบกับงานฝีมือเมื่อก่อนได้เหรอ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ครุ่นคิด เหมือนว่าคำพูดฟางจิ่งจือจะมีเหตุผลจริงๆ
“อีกอย่างไอ้หนู แกต้องรู้ด้วยว่า เครื่องครัวใดๆ ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เอกลักษณ์นั้นมีที่มาจากคุณภาพของวัสดุและประโยชน์ในการใช้สอย ใช้วัสดุตามที่สั่งทำโดยเฉพาะสำหรับตัวเรา และประโยชน์ใช้สอยขึ้นอยู่กับความประณีตและใส่เสริมเติมแต่งจนเหมาะสมในท้ายที่สุด ไม่ใช่แค่เหมาะกับกำลังไฟ ต้องเหมาะกับคนทำด้วยเหมือนกัน”
“ผมเข้าใจแล้วครับปู่ ก็เหมือนกับตะหลิวลายฟีนิกซ์ คุณภาพของวัสดุกำหนดการนำความร้อนและกำลังไฟ อีกทั้งท่าทางกับจับตะหลิวก็ต้องพอเหมาะพอดี รูปทรงของตะหลิวทำให้จับได้พอดีมือ ถึงจะไม่มียางและพลาสติกของยุคปัจจุบัน แต่อาศัยงานฝีมือทำให้กันลื่นได้”
“หลานเอ๊ย ที่ว่าเด็กมีอนาคตสามารถสั่งสอนได้ ก็หมายถึงอย่างนี้แหละ ดังนั้นสิ่งที่พูดไปใช่ว่าฉันจะไม่เห็นด้วยกับเครื่องครัวสมัยใหม่ไปเสียทั้งหมด แต่…ความคิดชาญฉลาดของฝีมือประณีตที่แยบยลไม่ได้คงอยู่แล้วจริงๆ นอกเสียจากจะมีคนที่ทำเครื่องครัวด้วยฝีมือล้วนๆ อีกทั้งยังต้องมีเงื่อนไขแรกนั่นก็คือคนคนนี้ต้องเชี่ยวชาญการทำอาหารมาก ความเข้าใจเรื่องโลหะก็ต้องสมบูรณ์แบบเช่นกัน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ ที่จริงปู่ก็พูดถูก คนสมัยนี้ยิ่งใจร้อนกว่าเดิม ไม่มีใครยอมจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว ตั้งใจทำเรื่องหนึ่งให้ดี ทำเรื่องเรื่องหนึ่งให้ถึงที่สุด สิ่งที่ทุกคนสนใจก็คือกำไรมากกว่า”
“เหอะๆ ก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ เพราะงั้นถ้าอยากให้ฝีมือการทำอาหารนั้นยอดเยี่ยมลึกซึ้ง ก็หนีการสนับสนุนของเครื่องครัวไม่พ้นหรอก แต่เครื่องครัว…ของในสมัยนี้ยากจะได้มาตรฐานจริงๆ แถมงานฝีมือของเครื่องครัวครบชุดก็ยิ่งยาก” ฟางจิ่งจือพูด
“เครื่องครัวครบชุดเหรอ ปู่หมายความว่ายังไง เครื่องครัวนี่…มีแบบเข้าชุดด้วยเหรอ”
พูดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอยากหัวเราะอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไม พอฟางจิ่งจือพูดออกมาว่าครบชุด เขาก็นึกถึงเครื่องแต่งกายเข้าชุดในเกม โคตรตลกเลย…
แต่ฟางจิ่งจือกลับพยักหน้าหงึกหงัก “น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
“อะไรนะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป เครื่องครัวนี้ยังมีการจัดให้เข้าชุดด้วยเหรอ
“ในโลกทำอาหาร พ่อครัวชื่อดังก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ เครื่องครัวครบชุด แต่ครบชุดนี่ก็มีความสำคัญนะ กระทะตะหลิวนับว่าเป็นหนึ่งชุด ฝาก็ขาดไม่ได้ ไม่ว่าชิ้นไหนในนี้มีการเสียหายก็นับว่าเป็นของมีตำหนิเหมือนกัน เครื่องครัวชุดนี้ส่วนมากถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ถือว่าเป็นของดี”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าเครื่องครัวจะมีความสำคัญแบบนี้ด้วย
หรือก็คือ ถ้าจะให้ตะหลิวลายฟีนิกซ์ของเขาครบชุด ก็ต้องมีกระทะเหล็กตุนบวกกับฝาเพิ่มอีก ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ไม่ครบชุด
แต่ตามที่ชายชราพูด ถ้าเป็นเหล็กตุนทั้งหมดเกรงว่าอาจจะไม่ครบชุดเหมือนกัน เพราะไม่ได้มาจากช่างคนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในเหล็กตุนและฝีมือก็คงจะมีความคลาดเคลื่อน จึงเป็นการยอมรับว่ากระทะกับตะหลิวจะไปไม่ถึงจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปโดยปริยาย
“ปู่ ต่อให้มีกระทะเหล็กตุนอีกอัน ก็ไม่นับว่าครบชุดใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว เป็นเหล็กตุนเหมือนกัน ลักษณะพิเศษอาจคลาดเคลื่อนได้มากเนื่องจากการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ไม่เรียกว่าครบชุด!”
ที่ชายชราพูดเหมือนกับสิ่งที่ตัวเองคิดไว้จริงๆ อย่างนี้ก็หมายความว่า ถ้าอยากจะมีเครื่องครัวที่แท้จริงสักชุดหนึ่ง…ยากกว่าปีนขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก
“ปู่ การทำให้ครบชุดนี่ยากจริงๆ เลยนะ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เรียกว่าครบชุดอย่างอื่นนอกจากกระทะกับตะหลิวล่ะ”
“มีอยู่แล้วสิ ที่สำคัญที่สุดก็คือชุดมีด หลักเกณฑ์เหมือนกัน งานฝีมือมาจากมือของคนคนเดียว มีดทุกประเภทครบถ้วน วัสดุชั้นยอดและฝีมือชั้นเยี่ยม นี่ถึงจะเป็นเครื่องครัวชั้นหนึ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนแอบขบขันในใจ ถ้าหาสมบัติพวกนี้ในสมัยนี้ เกรงว่าจะไม่มีหวังแล้ว เครื่องครัวเยอรมันที่มีชื่อเสียงในตลาดบอกว่าฝีมือดีเท่าไร เกรงว่าถ้าให้ตาเฒ่าดูก็ใช้ไม่ได้
“ตาเฒ่า ที่จริงไม่ว่าจะพูดยังไง ถ้าเป็นกระทะเหล็กเขียวใบหนึ่งที่มีอายุหน่อย ก็จะต้องดีกว่าเครื่องครัวสมัยนี้ใช่ไหม”
ฟางจิ่งจือยิ้มน้อยๆ ชูนิ้วชี้นิ้วหนึ่งออกมา
“หนึ่งเหรอ”
“ดีกว่าร้อยเท่า”
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม ตาเฒ่าพูดขนาดนี้ ดูท่าในบ้านของตาแก่หวังนั่น…คุ้มที่จะไปสักรอบจริงๆ
…………………………………………